คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1067 จุดจบของฮวาหรง
ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพคือหนึ่งในข่ายอาคมที่ทรงพลังที่สุดและมีพลังทำลายล้างที่สะท้านฟ้าสะท้านสวรรค์
ฉินอวี้โม่ก็ศึกษาข่ายอาคมดังกล่าวจนทำความเข้าใจได้เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้สามารถนำมันมาใช้ได้ ทว่ามันก็เป็นเพียงข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพในขั้นพื้นฐานเท่านั้น
หากเป็นข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพในขั้นสูงสุด มันจะสามารถสังหารฮวาฟางเฟยได้ภายในชั่วพริบตาโดยที่นางไม่มีโอกาสตอบโต้แม้แต่น้อย
“ฉินอวี้โม่ อย่าคิดว่าเจ้าจะชนะแล้ว !”
ฮวาฟางเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน แม้สถานการณ์ของนางจะตกกลายเป็นรองแล้ว นางก็ยังไม่แสดงความตื่นตระหนกออกมาแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ นางตระหนักถึงพลังของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพนี้แล้วและคาดการณ์ได้ว่าจะฝ่าทะลวงออกไปได้ไม่ยาก
ฉินอวี้โม่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดเนื่องจากทราบดีอยู่แล้วว่าข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของตนในตอนนี้ทำได้เพียงกักขังฮวาฟางเฟยอยู่ภายในเท่านั้นและไม่สามารถทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสได้ อย่างไรก็ตาม มันก็มากพอที่จะควบคุมฮวาฟางเฟยไว้ได้พักใหญ่ จุดประสงค์เดิมของฉินอวี้โม่คือการกดข่มฮวาฟางเฟยและทำลายความมั่นใจที่นางมีซึ่งจะส่งผลให้จัดการกับนางได้ง่ายมากขึ้นในอนาคต
“ในเมื่อครานี้เจ้าแสดงข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพออกมาแล้ว อยากเห็นนักว่าคราต่อไปที่ประจันหน้ากัน เจ้าจะใช้วิธีการใดในการรับมือกับข้า !”
คลื่นพลังที่มหาศาลปรากฏบนร่างของฮวาฟางเฟยอีกครั้งและกวาดออกไปยังเสาทั้งเก้าต้นรอบตัว
ตูมมม ! ตูมมม ! ตูมมม !
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพก็ถูกทำลายไปซึ่งทำให้ฮวาฟางเฟยกลายเป็นอิสระในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของนางในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เลือดไหลออกมาที่มุมปากของนางและลมหายใจของนางก็อ่อนแอลงกว่าก่อนมาก นอกจากนี้ ความสามารถในการต่อสู้ของนางก็ลดน้อยลงไปมาก
“นายหญิง…”
หงส์ฟ้าเหวี่ยงฝ่ามือโจมตีอสูรมหึมาอย่างรุนแรงก่อนเหาะกลับไปปกป้องฮวาฟางเฟยอย่างรวดเร็ว
หงส์ฟ้ามีพลังที่แกร่งกล้าอย่างที่สุดและแม้แต่อสูรรวมร่างของอสูรมากกว่าสองร้อยตัวก็ยังกำจัดมันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพราะอสูรที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งยังไม่ได้เข้าร่วมการรวมร่างครานี้ มิฉะนั้น หงส์ฟ้าก็ไม่มีทางเทียบชั้นได้อย่างแน่นอน
มังกรกระดูกดำกลางอากาศก็ตระหนักแล้วว่าสถานการณ์รอบตัวไม่ดีนักและพ่นก้อนพลังสีดำประหลาดตรงเข้าใส่ซิวก่อนถอยหลังหลบออกไป
“ถอนกำลังก่อนเถอะ !”
เวลานี้สถานการณ์ของทุกคนเลวร้ายลงเรื่อย ๆ และฝ่ายของดินแดนมหาเทพก็แข็งแกร่งกันอย่างมาก อีกทั้งยังมีหลายคนที่ยังไม่ลงมือด้วยซ้ำ แม้แต่หานโม่ฉือและฉินเทียนก็เพียงมองดูการต่อสู้จากด้านข้างโดยที่ไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ หากทั้งสองเข้าร่วมด้วย ผลลัพธ์ของสงครามครานี้ก็ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
“วันนี้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าชนะไปก่อน อีกไม่นานก็จะถึงเวลาของสงครามชี้ชะตาแล้ว เชิญมีความสุขให้เต็มที่ละ !”
มังกรกระดูกดำโบกมือเล็กน้อยและเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำทางไปสู่ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจขึ้นมา
“เหอะ ข้าก็จะบอกพวกเจ้าในสิ่งเดียวกัน ในระหว่างนี้เชิญพวกเจ้ามีความสุขให้เต็มที่ล่ะ !”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเบา ๆ และกล่าวออกไปเช่นกันโดยไม่คิดที่จะขัดขวางการหลบหนีของมังกรกระดูกดำ
เพราะถึงอย่างไรฝ่ายของจอมยุทธ์ปีศาจก็ทรงพลังเช่นกัน หากพยายามเหนี่ยวรั้งให้อีกฝ่ายติดอยู่ที่นี่ มังกรกระดูกดำและสมาชิกจอมยุทธ์ปีศาจคนอื่น ๆ ก็อาจระเบิดตัวเองได้ซึ่งจะทำให้เกิดความสูญเสียที่ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่จะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน นางจึงต้องปล่อยคนเหล่านี้ไปก่อน หลังจากนี้นางและทุกคนจะหารือกันถึงวิธีที่จะขุดหลุมฝังฝ่ายตรงข้ามเมื่อถึงสงครามชี้ชะตา !
“เหอะ ฉินอวี้โม่ รอก่อนเถอะ ! เมื่อสงครามชี้ชะตามาถึง นั่นคือวันที่เจ้าจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของข้า !”
ฮวาฟางเฟยเหาะเข้าไปหามังกรกระดูกดำและแค่นเสียงเย็นชาขณะจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเคียดแค้นอย่างที่สุด
“ข้าจะรอดู แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าพัฒนาฝีมือของตนเองเสียก่อน เจ้าในตอนนี้ยังไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้ข้ารู้สึกกลัวได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างยียวนและไม่ใส่ใจวาจาข่มขู่ของอีกฝ่าย
ครานี้นางสามารถกำราบฮวาฟางเฟยได้และในสงครามชี้ชะตาที่จะมาถึงก็ไม่คงต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงวันที่สงครามเริ่มต้น อย่างน้อยที่สุดข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของนางก็จะพัฒนาถึงขั้นกลางและจะเป็นไพ่ตายที่สำคัญอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่ารากฐานพลังที่หยุดนิ่งขาดการพัฒนามานานของตนใกล้ถึงคราวที่จะทะลวงพลังเต็มที…
ทันทีที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏ สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจก็รีบก้าวเข้าไปข้างในนั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของนิกายหมื่นบุปผาไม่สามารถก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายของมังกรกระดูกดำและได้เพียงยืนนิ่งอย่างไร้ที่ไป
เมื่อเห็นว่าฮวาฟางเฟยและมังกรกระดูกดำกำลังจะล่าถอยกลับไป สีหน้าของฮวาหรงก็ซีดเผือดทันที
นางทราบดีว่าการอยู่ที่นี่ต่อไปจะมีเพียงความตายเท่านั้น เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องการเอาชนะฮวาเยว่และหลบหนีไปโดยเร็วที่สุด
ฮวาเยว่ก็คาดเดาความคิดของฮวาหรงได้ทันทีและกระหน่ำโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แม้อยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกัน ความแข็งแกร่งของนางก็เหนือกว่าฮวาหรงเล็กน้อยและสามารถกดข่มอีกฝ่ายได้ ตอนนี้นางเพียงต้องการถ่วงเวลาเพื่อมิให้ฮวาหรงมีโอกาสหลบหนีซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างง่ายดาย
“จงอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลเถอะ !”
นางเปิดเผยจุดประสงค์ของตนเองทันทีและสีหน้าของฮวาหรงก็บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าไม่มีหนทางเอาตัวรอดได้เลย
“รอก่อนเถอะ ผู้ที่คว้าชัยชนะได้ในท้ายที่สุดจะมีเพียงจอมยุทธ์ปีศาจของเราเท่านั้น !”
มังกรกระดูกดำก็กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายและหายวับไปต่อหน้าทุกคน
คนที่เหลือก็ได้เพียงมองหน้ากันไปมาก่อนที่จะเริ่มอ้อนวอนขอความเมตตาไปตาม ๆ กัน
“ให้อภัยข้าเถิด เราไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
ศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาหลายคนที่เลือกอยู่เคียงข้างฮวาฟางเฟยเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนขอความเมตตาและสีหน้าตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
ฮวาหรงก็เหาะถอยออกไปในระยะไกลและกล่าวเสียงดังฟังชัด “ใช่ ใช่แล้ว พวกเราตกอยู่ภายใต้การกดดันของฮวาฟางเฟยและไม่ได้เต็มใจทำเช่นนั้นลงไป สหายฮวาเยว่ ฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรเราก็เคยเป็นสมาชิกของนิกายหมื่นบุปผาเหมือนกัน เราย่อมมีมิตรภาพที่ไม่อาจตัดขาด โปรดไว้ชีวิตพวกเราเถอะนะ”
เนื่องจากทราบดีว่าฉินอวี้โม่และทุกคนไม่มีทางปล่อยพวกตนไปอย่างแน่ ซ้ำร้ายยังไม่มีทางที่จะหลบหนีเอาตัวรอด ฮวาหรงและคนอื่น ๆ จึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตา
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้านี่มันหน้าด้านหน้าทนยิ่งนัก ข้าไม่ยักรู้ว่าเรามีมิตรภาพต่อกัน”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปหยุดลงข้าง ๆ ฮวาเยว่และมองฮวาหรงที่อยู่ไกลออกไปพร้อมกล่าววาจาเย้ยหยัน
ก่อนหน้านี้ฮวาหรงวางแผนสังหารนางหลายครั้งหลายครา หากมิใช่เพราะนางมีความแข็งแกร่งที่มากพอและมีไพ่ตายอยู่มากมาย เกรงว่าฉินอวี้โม่อาจต้องตายไปนานแล้ว ทว่าตอนนี้ฮวาหรงกล้ากล่าวอ้างว่าเคยมีมิตรภาพต่อกันและช่างเป็นความหน้าด้านหน้าทนอย่างที่สุด
“ฮวาหรง ก่อนหน้านี้ในนิกายหมื่นบุปผาเจ้าพยายามหาทางเล่นงานพวกเรามาตลอดและในภายหลังก็วางแผนชั่วร้ายเพื่อพยายามสังหารอวี้โม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเรามิใช่แม่พระและไม่มีทางลืมบาปของเจ้าไป อย่างไรก็ตาม เห็นแก่ว่าเราเคยอยู่ขุมกำลังเดียวกัน…เราจะไว้ชีวิตเจ้า ทว่าความผิดของเจ้าก็หนักหนาจนไม่อาจมองข้ามได้ มีเพียงการชดใช้อย่างสาสมเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าสำนึกผิด !”
ฮวาเยว่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดีและไม่คิดที่จะปล่อยฮวาหรงไปง่าย ๆ เช่นกัน ประกายความเยือกเย็นปรากฏในแววตาของนางก่อนพุ่งตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย
“อ๊ากกก !”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นและฮวาหรงเปลี่ยนกลายเป็นหญิงชราในชั่วพริบตา ฮวาหรงที่เคยดูเหมือนสตรีอายุสามสิบถึงสี่สิบปีกลายเป็นหญิงชราผมขาวและมีริ้วรอยชัดเจนบนใบหน้าทันที นางไม่มีรูปลักษณ์ที่สง่างามเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
เมื่อครู่ฮวาเยว่ทำลายรากฐานพลังทั้งหมดของนางไป และในอนาคตข้างหน้า ฮวาหรงจะเป็นเพียงคนไร้ค่าไร้พลังที่ไม่สามารถฝึกวิชาได้อีกต่อไป
“ฮวาเยว่ การที่เจ้าทำเช่นนี้มันแตกต่างไปจากการที่ฆ่าข้าให้ตายอย่างไรกัน ?!”
ฮวาหรงอ้าปากค้างและมองฮวาเยว่ด้วยแววตาชิงชังอย่างที่สุด
“แน่นอนว่าแตกต่าง อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ หากเจ้าคิดว่ามันไม่ต่างกัน เหตุใดจึงไม่จบมันด้วยตัวเองล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป นางทราบดีว่าฮวาหรงไม่มีความกล้าที่จะตัดสินใจเช่นนั้นอย่างแน่นอน
การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพนี้เป็นความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตายเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะนิสัยของฮวาหรง ต่อให้จะหมดสิ้นหนทางและไร้ความหวัง นางก็ยังไม่เต็มใจที่จะตาย
“ไปดูกันเถอะว่าในนิกายหมื่นบุปผาจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่มากเพียงใด”
ฉินอวี้โม่ก็ไม่สนใจฮวาหรงอีกต่อไปขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม