คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1069 ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด
ณ นิกายหมื่นบุปผา ฟู่อวิ๋นซิวนำคนของตนเดินทางกลับสำนักเมฆาครามและเหลยเจี้ยนเชิงก็เดินทางกลับนิกายกระบี่สายฟ้าพร้อมกับคนของนิกายเช่นกัน ในตอนนี้จึงเหลือเพียงฉินอวี้โม่ ฉินเทียน ฮวาเยว่และคนอื่น ๆ ที่เคยเป็นคนของนิกายหมื่นบุปผา
นอกเหนือจากฮวาหรง ภายในนิกายก็ยังมีศิษย์อีกหลายสิบคนที่เป็นศิษย์ดั้งเดิมของนิกายหมื่นบุปผา
แม้หลายสิบคนเหล่านี้จะเป็นคนของฮวาฟางเฟย พวกนางก็ไม่เคยทำร้ายฉินอวี้โม่และสหาย
ฉินอวี้โม่และฮวาเยว่ก็หารือกันก่อนตัดสินใจที่จะขับไล่ศิษย์เหล่านั้นออกจากนิกายหมื่นบุปผาและไม่อนุญาตให้เหยียบย่างเข้ามาอีก
ต่อให้ศิษย์เหล่านั้นจะต้องการอยู่ที่นิกายหมื่นบุปผาต่อไป พวกนางก็ไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ศิษย์เหล่านี้มีประวัติที่ไม่ดีและเคยทรยศหักหลังมาก่อน ฉินอวี้โม่และฮวาเยว่ก็ไม่ชอบคนตีสองหน้าอย่างที่สุดและไม่อาจมั่นใจในความจงรักภักดีของศิษย์เหล่านี้ได้ เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บคนเหล่านี้ไว้
ครานี้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่กับนิกายหมื่นบุปผา แม้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันจะไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ ทว่าในเมื่อมีฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นผู้นำ มันก็ไม่อ่อนแอเท่าใดนัก
“ผู้อาวุโสเยว่ ข้าเสนอให้ท่านรับตำแหน่งเป็นจ้าวนิกายหมื่นบุปผาคนต่อไป”
ฉินเทียนกล่าวเป็นคนแรก นิกายหมื่นบุปผายังคงเป็นหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย หลังจากขับไล่ฮวาฟางเฟยและคนอื่น ๆ ออกไป แน่นอนว่ามันจะต้องมีจ้าวนิกายคนใหม่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านอกเหนือจากฉินอวี้โม่ ฮวาเย่วคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ฉินเทียนทราบดีว่าฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะดำรงตำแหน่งจ้าวนิกายหมื่นบุปผาและหลังจากสงครามชี้ชะตาสิ้นสุดลง พวกนางก็จะมุ่งหน้าไปยังดินแดนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า เพราะเหตุนั้นเขาจึงกล่าวเสนอออกไปเช่นนี้
“ไม่ดีกว่า ความแข็งแกร่งและอำนาจบารมีของข้ามิอาจเทียบกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้ นางเหมาะสมที่จะเป็นจ้าวนิกายมากที่สุด”
ฮวาเยว่ส่ายศีรษะเบา ๆ และตระหนักถึงคุณสมบัติของตนเองเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นด้านความแข็งแกร่งหรืออำนาจบารมี นางก็ด้อยกว่าฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน นางจึงรู้สึกละอายใจที่จะรับตำแหน่งจ้าวนิกายหมื่นบุปผานี้
“ผู้อาวุโสเยว่สุภาพเกินไปแล้ว ความแข็งแกร่งของท่านอาจจะด้อยกว่าข้า ทว่าอำนาจบารมีของท่านก็ไม่แพ้ข้าอย่างแน่นอน ตัวข้าเองมีสิ่งที่ต้องสะสางอีกมากนักและไม่มีเวลาอยู่ในนิกายหมื่นบุปผามากเท่าไหร่ สำหรับตำแหน่งจ้าวนิกายหมื่นบุปผา ข้าคิดว่าท่านเหมาะสมที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและแตะมือฮวาเยว่เบา ๆ เพื่อแสดงความสนับสนุน
“ผู้อาวุโสฮวาเยว่ อย่าปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ เราก็รู้จักกันมานานพอสมควรและท่านก็ทราบดีว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์เป็นคนอย่างไร สำหรับสิ่งที่นางไม่ต้องการทำ ท่านจะฝืนใจนางได้หรือ ? ถึงอย่างไร ไม่ว่าท่านหรือเสี่ยวโม่เอ๋อร์เป็นจ้าวนิกาย สำหรับเราทุกคนมันก็ไม่ต่างกัน หากเกิดเรื่องอะไรกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ในอนาคต ท่านก็ไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวโน้มน้าวใจฮวาเยว่เช่นกัน
สำหรับนางและคนอื่น ๆ ไม่ว่าฉินอวี้โม่หรือฮวาเยว่รับตำแหน่งจ้าวนิกาย มันก็ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ตราบใดที่ทั้งสองยังมีบุคลิกนิสัยที่เหมือนเดิมทุกอย่าง สถานการณ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่ปฏิเสธ”
ฮวาเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนพยักศีรษะตอบรับและไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
“ท่านพ่อ พี่ซื่อเทียน โม่ฉือ ทุกคนอยู่ช่วยจ้าวนิกายคนใหม่หารือสิ่งต่าง ๆ ไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะเข้าไปเก็บตัวสักพัก”
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงโอกาสของการทะลวงพลัง อีกทั้งในช่วงเวลาอันใกล้นี้ก็คาดการณ์ได้ว่าคงจะไม่เกิดสถานการณ์ที่วุ่นวายใดขึ้น นางจึงมีเวลาเก็บตัวบ่มเพาะพลังเพื่อดูว่าจะทะลวงพลังต่อไปได้หรือไม่
หลังจากกล่าวกับทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและเริ่มการบ่มเพาะพลังทันที
ก่อนหน้านี้ระดับพลังของนางติดอยู่ที่ขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางมานานพอสมควรและแม้ว่านางจะดูดซับพลังมายาเข้ามามากเกินไปแล้ว นางก็ยังไม่สามารถทะลวงพลังได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว ตราบใดที่ทะลวงพลังได้สมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของนางจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน ในภายภาคหน้า หากต้องประจันหน้ากับฮวาฟางเฟยอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เพียงลำพังก็มากพอที่จะต่อสู้ได้อย่างไม่เสียเปรียบ
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่เข้าสู่สภาวะการเก็บตัวบ่มเพาะ บรรดาอสูรทั้งหลายจึงไม่เข้าไปรบกวนและแยกย้ายกันไปฝึกวิชาอย่างเงียบ ๆ
ภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่ก็ปรับกระแสเวลาข้างในคฤหาสน์เฟิงหัวโดยที่เวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านไปในโลกภายนอกจะเทียบเท่าได้กับเวลาสามปีของคฤหาสน์เฟิงหัว
และหลังจากบ่มเพาะพลังนานสามปี ในที่สุดนางก็ทะลวงพลังได้สำเร็จ
ตูมมม !
คลื่นพลังรุนแรงกวาดออกไปโดยรอบซึ่งทำให้เนินเขาตรงหน้าสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา และฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“ขอแสดงความยินดีกับนายหญิงที่ทะลวงพลังได้สำเร็จ !”
อสูรมายาทั้งหมดกล่าวด้วยความดีใจและตื่นเต้นทันที ทว่าการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ในครานี้ไม่ได้มอบผลประโยชน์ใด ๆ ให้กับพวกมัน
ด้วยการที่ความแข็งแกร่งของพวกมันมาถึงระดับปัจจุบันนี้ เว้นแต่ว่าฉินอวี้โม่จะทะลวงพลังข้ามขอบเขต อสูรทั้งหมดก็จะไม่สามารถทะลวงพลังตามไปได้
ทว่าพวกมันก็สามารถฝึกวิชาด้วยตนเองและทะลวงพลังให้สำเร็จเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งได้
“ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด ไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริง ๆ”
ร่างของซิวปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินอวี้โม่เช่นกันและเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของฉินอวี้โม่ในตอนนี้
ความแข็งแกร่งในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดของฉินอวี้โม่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ และนางมีความสามารถที่จะกระโดดข้ามระดับได้ แม้ในตอนนี้จะอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด ต่อให้ต้องต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ในระดับสูงกว่า นางก็จะไม่พ่ายแพ้ไปง่าย ๆ
เรียกได้ว่าในเวลานี้ นางคงจะสามารถเอาชนะฮวาฟางเฟยได้ด้วยพลังของตนเอง
ความแข็งแกร่งของฮวาฟางเฟยเหนือกว่าขอบเขตราชาเซียนไปแล้วและปัจจุบันอยู่ในขอบเขตเทวะสองดาราซึ่งแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเสียอวิ๋น—ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเทวะห้าดาราซึ่งเป็นระดับที่ฉินอวี้โม่ยังไม่มีโอกาสเอาชนะได้
“ข้ายังอ่อนแอเกินไป”
เดิมทีฉินอวี้โม่ต้องการทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทวะในคราวเดียว ทว่าช่องว่างความแตกต่างระหว่างขอบเขตราชาเซียนและขอบเขตเทวะนั้นก็มีมากเกินไป นางคาดการณ์ได้ว่าต่อให้โลกภายนอกจะผ่านไปสามถึงห้าปี นางก็จะไม่สามารถทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตดังกล่าวได้เว้นแต่จะพบโอกาสครั้งใหญ่บางอย่าง
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดก็มากพอที่จะบทบาทยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ชี้ชะตากับจอมยุทธ์ปีศาจ
“ทะลวงพลังแล้วรึ ?”
หานโม่ฉือก็สัมผัสได้ถึงพลังที่พัฒนาขึ้นของฉินอวี้โม่เช่นกันและเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที เขาเดินตรงเข้ามาและจับมือนางไว้เบา ๆ ขณะเอ่ยถาม
“ใช่ ข้าทะลวงพลังสำเร็จแล้ว ในโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรบ้างรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนเอ่ยถามออกไป ครานี้นางจดจ่อสมาธิกับการบ่มเพาะพลังและปิดกั้นการรับรู้ทั้งหมดไปจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ทราบเรื่องราวของโลกภายนอก
อย่างไรก็ตาม ลักษณะท่าทางของบรรดาอสูรและหานโม่ฉือแสดงให้เห็นว่าคงจะไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จอมยุทธ์ปีศาจเปิดฉากโจมตีโต้กลับหลายคราทว่าถูกขัดขวางไว้ได้ทั้งหมด หลังจากนั้นดูเหมือนพวกเขาจะยอมแพ้และเก็บตัวอยู่ในฐานทัพโดยที่ไม่ปรากฏตัวอีกเลย คาดว่าพวกเขาน่าจะกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับสงครามชี้ชะตาที่จะมาถึง”
หานโม่ฉืออธิบายสถานการณ์ว่าในช่วงครึ่งเดือนแรกที่ฉินอวี้โม่เก็บตัว จอมยุทธ์ปีศาจก็เปิดฉากโจมตีฝ่ายดินแดนมหาเทพหลายครา ทว่าการโจมตีทั้งหมดก็ถูกขัดขวางไว้โดยที่ไม่เกิดปัญหาใด ๆ
หลังจากนั้นก็ราวกับว่าจอมยุทธ์ปีศาจตัดใจยอมแพ้ไปและไม่ลงมือโจมตีขุมกำลังของดินแดนมหาเทพอีกเลย จากข่าวสารที่หานโม่ฉือได้รับมา สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจทั้งหมดก็กลับไปที่ฐานทัพแล้วและเตรียมความพร้อมเพื่อรอสำหรับสงครามชี้ชะตา
ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจในตอนนี้มีการคุ้มกันที่แน่นหนากว่าเดิมมาก คนของดินแดนมหาเทพจึงไม่มีหนทางเข้าไปสืบข่าวได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากการปะทะในครั้งล่าสุดนี้ ขุมกำลังใหญ่ของดินแดนมหาเทพก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากยิ่งขึ้น ตอนนี้พวกเขาก็พยายามเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานทัพของพวกตนเพื่อเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุดก่อนที่สงครามจะมาถึง
“เสี่ยวอ้ายโม่ล่ะ ?”
เมื่อมองไปรอบตัวและไม่เห็นวี่แววของเสี่ยวอ้ายโม่ ฉินอวี้โม่ก็ฉงนสงสัยเล็กน้อย โดยปกติแล้วเสี่ยวอ้ายโม่มักจะอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและเล่นสนุกกับเหล่าอสูรมายา หรือไม่ก็ตัวติดอยู่กับหานโม่ฉือเสมอ การที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางในครานี้จึงทำให้ฉินอวี้โม่แปลกใจไม่น้อย