คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 109 บุรุษชราผู้แปลกประหลาด
“โม่ฉือ ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นข้าไม่ได้ลังเลที่จะช่วยเจ้า”
ฉินอวี้โม่มองสบนัยน์ตาคมของบุรุษตรงหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
เวลานั้น ในตอนที่รู้ว่าต้องช่วยหานโม่ฉือด้วยวิธีเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ยอมรับว่าตัวเธอเองก็รู้สึกไม่สบายใจและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งและวิธีนั้นก็ถือว่าเสี่ยงมาก หากว่าเลือกช่วยคนผิดก็ย่อมต้องเกิดปัญหาตามมาในอนาคตเป็นแน่ ซึ่งก็เป็นไปได้ด้วยว่าอาจส่งผลร้ายแรงจนยากจะแก้ไข ที่สำคัญหานโม่ฉือก็เป็นผู้ชายแสนเย็นชา เวลานั้นฉินอวี้โม่ยังแอบคิดด้วยซ้ำว่าเขาอาจจะไม่พอใจและฆ่าเธอทิ้งทันทีที่รู้สึกตัวเลยก็ได้
ทว่าในตอนนี้ เธอกำลังคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เธอช่วยชีวิตผู้ชายที่มีหัวใจที่อบอุ่นและยังห่วงใยเธอจากใจ เมื่อได้รู้จักกัน เมื่อได้อยู่ในสถานะความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา เธอก็ได้รับรู้ว่าเขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อน รอบคอบ คนคนนี้ยอมช่วยเหลือเธอในทุก ๆ เรื่อง เป็นผู้ชายอ่อนโยนในฝันและเป็นเสมือนกับของขวัญสุดพิเศษที่สวรรค์ประทานมาให้
ในชีวิตก่อนที่เป็นมือสังหาร เธอเคยผ่านสถานการณ์วิกฤตผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมามาก ใช้ชีวิตบนเส้นทางแห่งความเสี่ยง เธอในตอนนั้นจึงคิดว่าชั่วชีวิตคงไม่มีโอกาสได้พบคนที่จะครองคู่อยู่เคียงข้างกัน พร้อมจะเข้าใจ และตายไปพร้อมกัน ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้มาอยู่ในโลกมายาแห่งนี้เธอจะได้พบเจอกับคนคนนั้น
“ข้ารู้สึกดีใจที่ผู้ช่วยชีวิตข้าคือเจ้า”
หานโม่ฉือยิ้มและดึงร่างบางของฉินอวี้โม่เข้ามาในอ้อมกอด
หานโม่ฉือแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่า ถ้าหากคนที่ช่วยชีวิตเขาเป็นสตรีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในอ้อมกอดของเขาตอนนี้ เขาจะทำอย่างไร ในโลกใบนี้ไม่มีฉินอวี้โม่คนที่สองอีกแล้วและคงไม่มีสตรีคนใดที่จะทำให้เขาทุ่มเททุกอย่างให้ได้เหมือนกับนางอีก
ตั้งแต่วันที่ฉินอวี้โม่ช่วยชีวิตเขาและเอ่ยว่านางจะรับผิดชอบเขาเอง นั่นก็ทำให้หานโม่ฉือตัดสินใจจะมอบชีวิตไว้ในกำมือนางแล้ว
“โม่เอ๋อร์ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าออกจากโรงเรียนราชสำนักก่อนถึงระดับทูตสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นข้าอยากให้เจ้าฝึกฝนภายในหอคอยวิญญาณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมันคือวิธีที่จะทำให้เจ้าบรรลุถึงขอบเขตมายาบรรพชนได้เร็วที่สุด ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะก้าวเข้าสู่ระดับทูตสวรรค์ได้ภายในสองถึงสามปี”
ที่หานโม่ฉือกล่าวออกไปเช่นนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะเขาก็หวั่นเกรงอารามอยู่บ้าง ถึงอย่างไรอารามก็เป็นขุมกำลังที่ถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีเงามืดเบื้องหลังที่ไม่สามารถหยั่งความน่ากลัวได้ แม้ว่าบุรุษน้ำแข็งผู้นำแห่งประตูไร้เงาเองก็แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่เขาคิดว่าหากต้องสู้กับขุมกำลังลึกลับอย่างอารามโอกาสที่เขาจะชนะก็ยังมีไม่ถึงครึ่ง
“ได้สิ หลังจากจบชั้นเรียนแรกของอาจารย์ซ่างกวน ข้าก็จะเข้าไปเก็บตัวในหอคอยวิญญาณสักระยะ ข้าจะไม่ออกมาจนกว่าจะบรรลุขอบเขตมายาบรรพชน”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในตอนนี้นางมีหินมายาอยู่ในมือทั้งหมดสองร้อยก้อนซึ่งก็น่าเพียงพอให้นางอยู่ในหอคอยวิญญาณได้จนกว่าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชน
“ฮ่า ๆ แสดงว่าเจ้าเลือกชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนอย่างนั้นสินะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่บอก หานโม่ฉือก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ วิธีการสอนของซ่างกวนซวี่ถือว่าสนุกและน่าสนใจไม่น้อยและที่สำคัญการสอนของเขาก็ยังได้ผลลัพธ์ที่ดีและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
“เจ้าก็ด้วยหรือ?”
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินคำพูดของหานโม่ฉือนางก็ยิ้มออกมา นางรู้สึกว่าซ่างกวนซวี่เป็นคนที่น่าสนใจมาก
“ใช่ แต่หลังจากนั้นข้าก็ติดตามอธิการมู่อวิ๋นเพื่อศึกษาเล่าเรียน พูดให้ถูกก็คือท่านอธิการเป็นอาจารย์ของข้า”
หานโม่ฉือพยักหน้าพลางหวนนึกถึงเรื่องราวสมัยที่ยังศึกษาอยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้
คู่รักหนุ่มสาวดื่มด่ำอยู่กับความสุขแห่งการพูดคุยและอยู่เคียงคู่กันอย่างเนิ่นนานจนถึงเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มจะมืด
“โม่เอ๋อร์ ข้าต้องไปแล้ว จำที่ข้าพูดเอาไว้ด้วย หากว่ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้เจ้าอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม เจ้าต้องหาทางส่งข่าวมาบอกให้ข้ารู้ก่อน”
หานโม่ฉือมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มจะมืด เขาตัดใจลุกขึ้นเพื่อจากลา
“ข้าเข้าใจ เจ้าก็ระวังตัวด้วยล่ะ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องดูแลตัวเองก่อน อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเป็นผู้ชายของข้า และข้าก็ต้องรับผิดชอบเจ้าด้วย”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
“จึก ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะก้าวหน้ากันเร็วถึงเพียงนี้ หากพวกเราเข้ามาช้ากว่านี้ เกรงว่าจะได้เห็นเจ้าดูแลรุ่นพี่หานแบบน่าประทับใจอย่างที่สุดเสียแล้ว”
ทันทีที่เสียงของฉินอวี้โม่สิ้นสุดลง เสียงหัวเราะของเยว่ชิงเฉิงก็ดังเข้ามาในห้อง
หานโม่ฉือส่งยิ้มให้สาวน้อยทั้งหลายก่อนจะมองดูฉินอวี้โม่อีกครั้งแล้วเอ่ยคำล่ำลา “ข้าต้องไปแล้ว”
“ไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำ คุณหนูคนงามมองตามหลังบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ลอบกระโดดออกจากหอพักไปทางหน้าต่างก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางความมืด
“นี่ชิงเฉิงหากว่าข้าไม่ลงมือสั่งสอนเจ้าจริง ๆ สักครา ข้าเกรงว่าต่อไปคำที่เจ้าใช้ล้อเลียนข้าอาจจะน่ากลัวขึ้นกว่านี้”
ฉินอวี้โม่ดึงร่างสหายช่างหลอมจอมเซี้ยวเข้ามาชิดตัวพลางโอบแขนรอบคออีกฝ่ายไว้ คุณหนูตระกูลฉินแสร้งทำหน้าตาน่ากลัวแล้วข่มขู่
“เฮ้ ๆ ข้ายอมแล้ว” เยว่ชิงเฉิงแสร้งเอ่ยยอมแพ้ก่อนจะกล่าวประโยคต่อไปด้วยใบหน้าทะเล้น
“ว่าแต่…รุ่นพี่หานโม่ฉือเป็น ‘ผู้ชายของเจ้า’ แล้วอย่างนั้นหรือ ?”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินมาแว่ว ๆ เจ้าบอกว่าหานโม่ฉือเป็นผู้ชายของเจ้าแล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันแค่เรื่องล้อเล่นใช่ไหม ? คนอื่นเขาก็ร่ำลือกันมาเช่นนี้ แต่ข้าอยากจะได้ยินความจริงจากปากของเจ้าแบบตรง ๆ ต่อหน้าข้ามากกว่า” สาวเซี้ยวกล่าวต่อและพยายามแสร้งทำเสียงเข้มเพื่อคาดคั้น
“คุณหนู เรื่องนั้นไม่จริงใช่ไหม !”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ
“ใช่ มันเป็นเรื่องจริง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มส่งให้สาวร่วมห้องทั้งสามก่อนจะนั่งลงบนเตียงพลางเอ่ยตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงที่กำลังยิ้มมีเลศนัยพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อยมองเพื่อนสาวอยู่ก็ชะงักไปในทันที นางมองที่ฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วก็ช่างเถอะ คุณชายหานโม่ฉือก็เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ปัญหา หากพรุ่งนี้ข้าเจอกับคุณชายรองและคุณหนูสาม ข้าจะบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นก็ส่งคนกลับไปแจ้งผู้นำตระกูลให้ทราบเพื่อเตรียมจัดพิธีแต่งงานให้คุณหนู”
เสี่ยวโร่วคิดว่าหานโม่ฉือเป็นบุรุษที่ดีมากคนหนึ่ง และเขาก็เหมาะสมกับคุณหนูของนางอย่างยิ่ง ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาแล้ว ก็ควรจะจัดพิธีแต่งงานให้เรียบร้อยเป็นเรื่องเป็นราวไปเลยจะดีกว่า
“เอ่อ…”
ฉินอวี้โม่หมดคำพูดไปในทันที นี่สาวใช้น้อยผู้นี้ถึงขั้นคิดการใหญ่เตรียมจัดพิธีแต่งงานให้นางเลยอย่างนั้นรึ?
“เอาล่ะ ๆ เจ้าก็อย่าล้อเล่นเลย”
ฉินอวี้โม่รีบเอ่ยปากกล่าวขัดเสี่ยวโร่ว สาวน้อยผู้นี้ซื่อจนเกินไป หากว่าไม่รีบเบี่ยงเบนความสนใจของนางในตอนนี้ สาวใช้น้อยก็คงจะนำเรื่องนี้ไปบอกฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงในวันพรุ่งนี้จริง ๆ หลังจากนี้อีกไม่นานเรื่องก็คงจะไปถึงหูของฉินเฟิน เมื่อถึงตอนนั้นงานแต่งของคุณหนูสี่ตระกูลฉินและคุณชายใหญ่ตระกูลหานก็จะต้องถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะตรงลงปลงใจกันดีแล้ว ทว่าก็ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่พวกเขาทั้งคู่ต้องจัดการให้เสร็จสิ้น ยิ่งกว่านั้นนางเคยบอกหานโม่ฉือไปแล้วว่านางอยากจะให้ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าก่อนจึงจะเจรจาเรื่องการแต่งงาน
ฉะนั้นแล้วเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องใหญ่เช่นนั้น
“เสี่ยวโร่ว ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น อย่างคิดจริงจังไปเลย สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราตอนนี้ก็คือฝึกฝนและพัฒนาฝีมือ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
ด้วยวาจาและสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นมาของฉินอวี้โม่ทำให้เสี่ยวโร่วน้อยปักใจเชื่อ นางจึงพยักหน้าตอบรับจริงจัง
สหายสาวทั้งหลายพูดคุยหยอกล้อกันอยู่อีกครู่ใหญ่ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันพักผ่อน
….
นอกเหนือจากชั้นเรียนสามัญทั้งสองชั้นแล้ว ในโรงเรียนแห่งนี้ก็จะมีชั้นเรียนพิเศษอีกหลายชั้นเรียนให้นักเรียนทุกคนได้เลือกศึกษาตามความสนใจและความถนัด
ตัวอย่างเช่นชั้นเรียนช่างหลอม ชั้นเรียนโอสถ ชั้นเรียนฝึกสัตว์อสูร ชั้นเรียนหมากรุก ชั้นเรียนภูมิศาสตร์หรือชั้นเรียนศิลปะ และยังมีอื่น ๆ อีกมากมายจนทำให้เหล่านักเรียนใหม่ทั้งหลายอดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับความหลากหลายของโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้ไม่ได้
ในเวลานี้ฉินอวี้โม่และสหายนักเรียนใหม่คนอื่น ๆ ต่างก็กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ถูกจัดเอาไว้เพื่อสมัครเข้าร่วมชั้นเรียนที่ตนสนใจ
ในสถานที่สำหรับการสมัครเข้าชั้นเรียนพิเศษนั้น มีโต๊ะตัวยาวจำนวนมากถูกตั้งเรียงราย ซึ่งในแต่ละโต๊ะจะมีป้ายระบุชั้นเรียนพิเศษที่มีการเปิดรับสมัคร กล่าวโดยง่ายก็คือโต๊ะเหล่านี้คือโต๊ะรับสมัครและหนึ่งโต๊ะมีไว้สำหรับหนึ่งชั้นเรียน
เสี่ยวโร่วไม่ได้มีแผนที่จะเข้าร่วมชั้นเรียนพิเศษใดเลย ขณะที่เยว่ชิงเฉิงเองก็ไม่สนใจจะสมัครเรียนวิชาใดเช่นกัน พวกนางทั้งสองจึงเดินไปยังโต๊ะรับสมัครชั้นเรียนช่างหลอมพร้อมกับฉินอวี้โม่
ณ สถานที่รับสมัครเข้าชั้นเรียนช่างหลอม บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการรับสมัครนักเรียนจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าขั้นตอนของการสมัครเข้าเรียนนั้นค่อนข้างซับซ้อนอยู่ไม่น้อย
ขณะเดียวกัน ณ จุดที่ถัดออกไปเพียงหนึ่งโต๊ะ มีบุรุษชราใบหน้าง่วงซึมผู้หนึ่งกำลังนั่งเอนหลังคอพับอยู่บนเก้าอี้ เขาหลับสนิทอย่างชัดเจนเพราะเมื่อฟังให้ดีจะได้ยินเสียงกรนเบา ๆ ดังออกจากปากที่เผยออ้าน้อย ๆ
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดแต่จากรูปลักษณ์ อากัปกิริยาและกลิ่นอายของบุรุษชราผู้นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนเห็นคนชราท่าทางไม่ปกติกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ พวกเขาก็งุนงง …เหตุใดถึงได้มีผู้เฒ่าประหลาดมานอนอยู่ในสถานที่รับสมัครได้เล่า ? ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนกับว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในอาจารย์เช่นกัน
“ชิงเฉิง เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนนี้มามากนี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์เฒ่าผู้นั้นเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่?”
ฉินอวี้โม่กระซิบถามเยว่ชิงเฉิง
เยว่ชิงเฉิงส่ายศีรษะ นางไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีบุรุษชราประหลาดผู้นี้อยู่ภายในโรงเรียนนี้ด้วย
“รุ่นน้องอวี้โม่ เขาก็คือหนึ่งในอาจารย์ผู้สอนของชั้นเรียนพิเศษของโรงเรียน แต่เพราะการจะเข้าชั้นเรียนของเขาได้มีเงื่อนไขที่ยากแสนยาก ทำให้แต่ละปีแทบไม่มีใครไปสมัครเข้าเรียนชั้นเรียนนั้นเลย ทุกปีพวกเราก็เลยได้เจอเขามานั่งหลับอยู่ตรงนั้นอย่างที่เห็น”
เสียงสตรีที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหนึ่ง เมื่อหันไปมองสาวน้อยนักเรียนใหม่ทั้งสามก็พบว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงคือเพ่ยหลง
“พี่เพ่ยหลง ท่านอยู่ชั้นเรียนช่างหลอมอย่างนั้นหรือ?”
ฉินอวี้โม่เห็นเพ่ยหลงเดินออกมาจากจุดสำหรับลงทะเบียนชั้นเรียนช่างหลอม นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม
“ใช่ ข้ามีความสนใจเกี่ยวกับอาวุธชนิดต่าง ๆ มานานแล้ว พอเข้าโรงเรียนราชสำนักได้ข้าก็รีบลงเรียนชั้นเรียนช่างหลอมทันที”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักหน้า ฉินอวี้โม่เองก็มาที่นี่เพื่อสมัครเข้าร่วมชั้นเรียนช่างหลอมเช่นกัน
อาจารย์สอนวิธีช่างหลอมมีนามว่าจงฮว๋า เมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมระดับขั้นต้นเขาก็มีอาการตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะรีบดึงสีหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามหากเขาได้รู้ว่าฉินอวี้โม่ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนในการฝึกฝนจนถึงระดับนี้ อาจารย์วัยกลางคนก็คงจะประหลาดใจยิ่งกว่านี้
หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับกฎต่าง ๆ ของชั้นเรียนช่างหลอมแล้ว ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้ารับและเตรียมจะกลับไปรวมกลุ่มกับเหล่าสหาย
ชั้นเรียนช่างหลอมไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่พิเศษ ขอเพียงแค่มีเวลาว่างก็สามารถเข้าไปศึกษาเล่าเรียนได้เลย ไม่ว่าจะหาเวลาได้หรือไม่ได้ทางอาจารย์ก็จะไม่มีการลงโทษหรือตำหนิใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ละครั้งชั้นเรียนจะเป็นผู้จัดเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับการเรียนให้นักเรียนทุกคน อาจารย์จะสอนโดยการชี้แนะเพียงเล็กน้อยส่วนที่เหลือจะเน้นการปฏิบัติจริงเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ จะได้ความรู้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันและความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละคน
ขณะที่กำลังเดินผ่านบุรุษชราที่ยังคงนั่งสัปหงกอยู่ข้างโต๊ะรับสมัครชั้นเรียนช่างหลอม ฉินอวี้โม่ก็หยุดเพราะได้ยินเสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิต
‘นายหญิง ท่านเดินเข้าไปแล้วลองทักทายสหายเฒ่าผู้นั้นหน่อยจะได้หรือไม่ เหมือนว่าข้าจะรู้สึกคุ้นเคยในกลิ่นอายของเขา’
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเดินตรงไปยังชายชราที่กำลังนอนหลับอยู่ นางไม่เคยสงสัยในตัวซิว หากมันกล่าวว่ามันคุ้นเคย นั่นแสดงว่าชายชราผู้นี้จะต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
“ขออภัยท่านผู้อาวุโส หากจะเข้าชั้นเรียนนี้จะต้องทำอย่างไรบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างนอบน้อม เนื่องจากบุรุษชราผู้นี้กำลังนอนหลับนางจึงรู้สึกผิดอยู่บ้างที่เข้าไปรบกวนเขาเช่นนี้
หลังจากรอคอยอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่มีการตอบสนองจากอาจารย์ชราผู้นั้น ฉินอวี้โม่จึงเตรียมที่จะถามอีกครา ทว่านางก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูงัวเงียดังขึ้นเสียก่อน
“เฒ่าผู้นี้ก็คิดว่าปีนี้จะไม่มีผู้ใดมาขอเข้าชั้นเรียนของข้าเสียอีก”
หลังจากเสียงสิ้นสุดลง บุรุษชราที่กำลังหลับอยู่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เมื่อมองเห็นดวงตาของบุรุษชราผู้เป็นอาจารย์ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปชั่วขณะ นั่นก็เพราะว่าม่านตาของชายชราผู้นี้มิได้เป็นสีดำดั่งคนปกติ ทว่ากลับเป็นสีฟ้าดุจน้ำทะเล
‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยนัก ที่แท้ก็เป็นคนจากที่นั่นนั่นเอง’
เสี่ยงของซิวดังอยู่ภายในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ราวกับว่ามันพอจะคาดเดาตัวตนของอาจารย์ชราผู้นั้นได้แล้ว
‘นายหญิง อย่าเพิ่งถามอะไรในตอนนี้ แต่ข้าอยากจะให้ท่านทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าร่วมชั้นเรียนของคนผู้นี้ให้ได้ ข้าเองก็จะช่วยท่านอีกแรง’
ในตอนที่ฉินอวี้โม่กำลังจะถามซิว นางก็ได้ยินเสียงซิวตัดบทขึ้นเสียก่อน แม้ว่าจะรู้สึกสงสัยอย่างมาก แต่สตรีผู้มีกายเทพมายาก็ยังพยักหน้ารับคำอย่างนุ่มนวล
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ชั้นเรียนของผู้อาวุโสคืออะไรหรือ และข้าจะเข้าร่วมได้อย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม
“สาวน้อย เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่าก็พอ ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสอะไรหรอก”
ดูเหมือนบุรุษชรานัยน์ตาฟ้าจะดูพึงพอใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นฉินอวี้โม่ให้ความสนใจชั้นเรียนของเขา หลังจากได้ฟังคำถามของสตรีตรงหน้าดวงตาสีน้ำทะเลนั้นก็เปล่งประกายสุกใส ก่อนที่คนผู้นั้นจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ชั้นเรียนของข้าคือชั้นเรียนข่ายอาคม และเจ้าจำเป็นจะต้องผ่านการทดสอบก่อนจึงจะเข้าร่วมได้ !”
.