คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1095 ซากปรักหักพังของต้นไม้โลก
ภายในโถงห้องอาหาร ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ขยับเขยื้อนด้วยซ้ำ พวกเขามองเห็นเพียงรอยแส้ยาวที่ปรากฏบนใบหน้าของหนิงยวี่ย่วนซึ่งมีเลือดสดไหลซึมออกมาอย่างต่อเนื่องจนคุณหนูผู้วางท่าดูน่าสังเวชยิ่งนัก
“เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงทำร้ายข้า ?!”
หนิงยวี่ย่วนจ้องหน้าฉินอวี้โม่ตาเขม็งขณะความเจ็บปวดบนใบหน้าทำให้นางสงบสติอารมณ์ลง ในเวลานี้นางเพียงกำหมัดแน่นและแสดงแววตามุ่งร้ายอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายพยายามทำร้ายข้าก่อน ข้าเพียงป้องกันตัวก็เท่านั้น”
ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างยียวนและโยนแส้ยาวลงบนพื้นอย่างไม่แยแสนัก สำหรับการเดินทางมาที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ครานี้ นางไม่คิดที่จะปิดบังหรือเก็บตัวเงียบจนเกินไป ตระกูลหนิงเองก็มิใช่ตระกูลระดับหนึ่ง ต่อให้ต้องมีเรื่องกับคนเหล่านี้จริง มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับนาง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ !”
เมื่อเห็นอสูรมายาของตนถูกเตะจนกระเด็นออกมา หนิงยวี่ย่วนก็รีบปิดบังรอยแผลยาวบนใบหน้าและกล่าวทิ้งท้ายก่อนรีบหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
สมาชิกตระกูลหนิงคนอื่น ๆ ก็รีบตามไปอย่างใกล้ชิดด้วยกังวลว่าอาจถูกทิ้งไว้ที่นี่หากช้าไปเพียงก้าวเดียว
ฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะขัดขวางคนตระกูลหนิงและเพียงปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างง่ายดาย
“เถ้าแก่ เก็บหินวิญญาณพวกนั้นไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปยังถุงบรรจุหินวิญญาณบนพื้นและกล่าวให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเก็บมันไว้ ความบาดหมางเมื่อครู่ส่งผลกระทบต่อเขาและบรรยากาศการรับประทานอาหารของลูกค้าทุกคน ฉินอวี้โม่จึงต้องการให้เถ้าแก่เก็บหินวิญญาณเหล่านั้นไปเพื่อถือเป็นค่าชดเชย
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายขอรับ ข้าว่าพวกท่านควรจะไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า อย่าอยู่ในเมืองฝู่ฮว๋าต่อไปเลย”
เถ้าแก่ไม่ปฏิเสธและหยิบถุงหินวิญญาณเหล่านั้นขึ้นมาก่อนกล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่และสหายทั้งสาม
“ตระกูลหนิงเป็นขุมกำลังระดับสองของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และถือว่าไม่อ่อนแอเลย เมื่อครู่ท่านทำให้หนิงยวี่ย่วนบาดเจ็บและเสียหน้า นางคงจะรีบไปตามหาผู้ช่วยมาจัดการกับพวกท่าน ต่อให้ท่านไปหาเจ้าเมืองฝู่ฮว๋า เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรแม่นางผู้นั้นก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนิง การที่นางได้รับบาดเจ็บในเมืองฝู่ฮว๋าเช่นนี้ เขาก็จะต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น หากมีจอมยุทธ์ทรงพลังของตระกูลหนิงมาที่นี่ เกรงว่าทุกท่านจะรับมือไม่ได้”
กล่าวได้ว่าตระกูลหนิงมีรากฐานที่มั่นคงพอสมควร อย่างน้อยที่สุด เจ้าเมืองฝู่ฮว๋าก็ยังต้องหวาดหวั่นต่อจอมยุทธ์ทรงพลังของตระกูลหนิงเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทายาทของตระกูลใหญ่ออกมาท่องยุทธภพเพื่อสั่งสมประสบการณ์ มันก็ย่อมมีคณะผู้ติดตามที่แข็งแกร่งมาด้วย แม้ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์คนใดของตระกูลหนิงติดตามมากับหนิงยวี่ย่วนบ้างและตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้เลยคือคนเหล่านั้นจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน หากคนเหล่านั้นมาสะสางความบาดหมางกับฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามจริง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกังวลว่าพวกนางจะรับมือไว้ไม่ได้
“ไม่ หากต้องการคิดบัญชีกับเราจริง ๆ เราก็จะรออยู่ที่นี่”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางกังวลเพียงว่าคนตระกูลหนิงจะไม่มาที่นี่เสียมากกว่า หากพวกเขามาจริง มันก็คงจะสนุกทีเดียว…
“เถ้าแก่ช่วยสืบได้รึไม่ว่าหนิงยวี่ย่วนมาที่เมืองฝู่ฮว๋าเพราะเหตุใด”
ฉินอวี้โม่นึกขึ้นได้และวานให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมช่วยสืบหาข้อมูลที่สงสัย
จวนตระกูลหนิงตั้งอยู่ในเมืองเซิ่งหลิงซึ่งอยู่ห่างไกลไปจากเมืองฝู่ฮว๋าแห่งนี้มาก ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าคนเหล่านั้นมาที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เพราะเหตุใด
เถ้าแก่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้ทันทีและพยักศีรษะก่อนแยกตัวออกไปเพื่อสืบข่าว จากนั้นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รับประทานอาหารกันต่อไปอย่างผ่อนคลาย
เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็กลับมา
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายขอรับ นอกเมืองฝู่ฮว๋ามีซากปรักหักพังบางอย่างปรากฏขึ้นและหนิงยวี่ย่วนมาที่นี่เพราะสิ่งนั้น นอกเหนือจากคนตระกูลหนิงก็ยังมีคนจากตระกูลอื่น ๆ อีก แม้แต่คนของตระกูลระดับหนึ่งก็มาที่นี่เช่นกัน เพียงแต่ข้าไม่ทราบว่าตระกูลระดับหนึ่งนั้นคือตระกูลใด”
ในฐานะคนเก่าคนแก่ของเมืองฝู่ฮว๋า เขาย่อมมีช่องทางการสืบข่าวที่มากมาย นอกเหนือจากหนิงยวี่ย่วนและคณะตระกูลหนิง ครานี้ก็มีคนของตระกูลอื่นเดินทางมาที่นี่เช่นกัน
คนเหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากขุมกำลังระดับสองและมีขุมกำลังระดับหนึ่งเพียงแห่งเดียว ซึ่งขุมกำลังระดับหนึ่งนั้นก็พักอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั่นเอง
คณะเดินทางของขุมกำลังอื่น ๆ ล้วนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมภายในเมืองหรือตั้งค่ายพักแรมที่นอกเมือง มีเพียงหนิงยวี่ย่วนและคณะผู้ติดตามเท่านั้นที่มาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้และมีเรื่องกับฉินอวี้โม่ในที่สุด
“ซากปรักหักพังประเภทใดหรือ ?”
นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่น่าสนใจเช่นนี้ตั้งแต่ที่เข้ามาถึงโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามหันมองหน้ากันด้วยแววตาพึงพอใจทันทีและรู้สึกว่าพวกตนโชคดียิ่งนัก ซากปรักหักพังที่สามารถดึงดูดความสนใจของขุมกำลังระดับหนึ่งให้เดินทางมาที่นี่ได้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน พวกนางจึงตัดสินใจที่จะไปที่นั่นกันทันทีและอาจได้รับผลประโยชน์ดี ๆ ติดไม้ติดมือกลับมาก็เป็นได้
“ดูเหมือนว่าจะเป็นซากปรักหักพังจากต้นไม้โลก ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาเพียงได้ยินมาคร่าว ๆ เท่านั้นว่ามันเกี่ยวข้องกับต้นไม้โลกและไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด
“ซากปรักหักพังจากต้นไม้โลก !”
สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเป็นความตื่นเต้นทันทีพลางนึกถึงเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกที่เก็บไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัว นับตั้งแต่ได้เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวมาครอง พวกนางก็พยายามศึกษาเป็นเวลานานทว่ายังไม่พบเบาะแสใด ในเวลานี้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกยังไม่มีวี่แววของการแตกหน่อหยั่งรากด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเติบโตเป็นต้นไม้โลกที่ยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้กลับมีซากปรักหักพังของต้นไม้โลกปรากฏในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรพวกนางจะต้องไปสำรวจที่นั่นอย่างแน่นอน
“เถ้าแก่ ช่วยเราสืบหาตำแหน่งของซากปรักหักพังนั้นด้วยเถอะ รวมถึงข้อกำจัดเกี่ยวกับที่นั่นและทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปหรือไม่”
ฉินอวี้โม่หยิบโอสถระดับเจ็ดจำนวนหนึ่งออกมาและยื่นให้กับเถ้าแก่เพื่อวานให้เขาช่วยสืบข่าวเพิ่มเติม
“ท่านจอมยุทธ์ขอรับ ท่านไม่ต้องมอบโอสถใด ๆ ให้ข้าอีกแล้ว ข้าจะออกไปสืบหาข่าวทันที”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมโบกมือปัดและปฏิเสธโอสถเหล่านั้น วันนี้เขาได้รับผลประโยชน์มามากพอแล้ว สำหรับหินวิญญาณในถุงก่อนหน้านี้ก็มากเกินกว่ารายได้รวมทั้งปีของโรงเตี๊ยมเสียอีก อีกทั้งยังมีโอสถระดับเจ็ดที่ฉินอวี้โม่และสหายให้เขาไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งมีมูลค่าที่สูงมาก
“โปรดรับไว้เถอะเจ้าค่ะ เราไม่นึกเสียดายหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนเถ้าแก่ปฏิเสธไม่ได้อีก
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอรับไว้โดยดี”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยิ้มอย่างจนปัญญาและรับโอสถระดับเจ็ดเหล่านั้นไปก่อนแยกตัวออกไปสืบข่าวอีกครั้ง
หลังจากที่ฉินอวี้โม่และทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จสิ้น พวกนางก็ตั้งใจที่จะกลับไปพักผ่อนในห้องพักเพื่อรอเถ้าแก่สืบข่าวจนได้เรื่องกลับมา
ทันทีที่เตรียมขึ้นไปชั้นบนของโรงเตี๊ยม คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาจากหน้าประตูอย่างอุกอาจ
“ท่านลุงสาม นางคือคนที่ทำร้ายข้าเจ้าค่ะ !”
บาดแผลบนใบหน้าของหนิงยวี่ย่วนได้รับการรักษาแล้วและใบหน้าก็ถูกบดบังด้วยผ้าคลุม ในเวลานี้นางก็ชี้ตรงมาที่ฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นอย่างที่สุด
ด้านข้างนางคือบุรุษวัยกลางคนที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงสี่สิบปีผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง อย่างน้อยพลังของเขาก็คงจะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
“เป็นเจ้าเองรึที่ทำร้ายให้ย่วนเอ๋อร์บาดเจ็บ ไม่คิดที่จะไว้หน้าตระกูลหนิงของข้าเลยรึ ?”
แรงกดดันทรงพลังแผ่ออกไปปกคลุมฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายของทั้งสี่ได้รับผลกระทบอย่างมากในทันที
“แล้วอย่างไรล่ะ !”
หลังจากที่ปัดเป่าแรงกดดันนั้นออกไป ฉินอวี้โม่ก็สบตาบุรุษผู้นั้นพร้อมกล่าววาจาเย็นชา
“เหอะ ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ นอกจากขุมกำลังระดับหนึ่งก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าท้าทายตระกูลหนิงของเราเช่นนี้ ! พวกเจ้ารายงานตัวมาซะ อยากรู้ยิ่งนักว่าเป็นใครมาจากที่ใดจึงได้ริอาจท้าทายตระกูลหนิงเช่นนี้ !”
เขาแค่นเสียงและกล่าวด้วยความไม่พอใจทว่าแปลกใจไม่น้อยที่ฉินอวี้โม่ต้านทานแรงกดดันของตนได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะมีฝีมือพอสมควร เขาจึงยังไม่คิดที่จะลงมือโจมตี
เพราะหากคนเหล่านี้ได้รับการหนุนหลังจากขุมกำลังที่ตระกูลหนิงไม่ควรยั่วยุ การที่จะคลี่คลายสถานการณ์นี้ก็ยังไม่สายเกินไป
“มิใช่คนสำคัญจากที่ใดหรอก หากต้องการจะลงมือก็เร็วเข้าเถอะ อย่ามัวแต่พูดพล่ามให้เสียเวลา”
เซิ่งเซียวกล่าวออกไปอย่างไม่เกรงกลัว