คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 110 ผู้ใช้ข่ายอาคม
“ชั้นเรียนข่ายอาคม ?”
สิ่งที่อาจารย์เฒ่าผู้อยู่ตรงหน้ากล่าวทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจ ไม่ว่าจะพยายามค้นลึกเข้าไปมากเพียงใด ในความทรงจำของนางก็คล้ายจะไม่มีเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าข่ายอาคมอยู่เลย
“ไม่ผิด ชั้นเรียนของข้าคือชั้นเรียนของผู้ใช้ข่ายอาคม”
บุรุษชราพยักหน้าและกล่าวต่อ “สาวน้อย เจ้าสนใจหรือไม่ ? หากสนใจก็จงทดสอบดู ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบได้ ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับหลักการและศาสตร์แห่งการวางข่ายอาคม”
ฉินอวี้โม่ไม่รู้เลยว่าชั้นเรียนข่ายอาคมที่ว่านี้เป็นอย่างไร ทว่าซิวก็บอกให้นางทำทุกวิธีเพื่อเข้าชั้นเรียนนี้ให้ได้ ดังนั้นอดีตนักฆ่าสาวจึงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล
“แล้วสาวน้อยอีกสองคน พวกเจ้าต้องการจะทดสอบพร้อมกันเลยหรือไม่ ?”
อาจารย์ผู้เฒ่ามองไปที่เสี่ยวโร่วและเยว่ชิงเฉิงก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“น่าสนุกนี่ พวกเราเองก็เอาด้วย !”
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้าด้วยความสนใจ เสี่ยวโร่วเองก็พยักหน้าตาม ก่อนที่ทั้งสามคนจะพากันเดินตามผู้เฒ่าแสนประหลาดออกไปยังสถานที่ทำการทดสอบ
ไม่ใช่แต่เพียงอาจารย์ผู้รับสมัครที่แปลกประหลาด การเข้าเรียนชั้นเรียนข่ายอาคมนี้ก็แปลกไม่ต่างกัน หากต้องการจะสมัครเข้าร่วมชั้นเรียนพิเศษนี้ผู้สนใจจะต้องถูกพาตัวไปยังสถานที่ที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนข่ายอาคมเพื่อทำการทดสอบเสียก่อน และมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบแล้วเท่านั้นจึงจะได้รับความยินยอมให้สมัครเข้าร่วมชั้นเรียนได้
ฉินอวี้โม่และสหายอีกสองคนเดินตามอาจารย์ผู้เฒ่ามาจนถึงด้านหน้าอาคารโบราณหลังหนึ่ง อาคารแห่งนี้คือสถานที่สำหรับเรียนวิชาข่ายอาคม
สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสี่ในเวลานี้เป็นประตูโลหะขนาดใหญ่บานหนึ่ง สังเกตจากสนิมที่เกาะเกรอะกรัง ประตูบานนี้คงจะตากแดดตากฝนมานานพอสมควร ภายในอาคารหลังนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีมนุษย์คนใดอยู่เลย แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือคล้ายกับมันจะไม่ได้ถูกใช้งานมานานมากแล้ว
บุรุษผู้เฒ่ายิ้มแล้วกล่าว “พวกเจ้าต้องเข้าไปทีละคน หากสามารถออกมาได้ภายในหนึ่งก้านธูปก็ถือว่าพวกเจ้าผ่านการทดสอบและสามารถสมัครเข้าเรียนชั้นเรียนข่ายอาคมของข้าได้”
ฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิง และเสี่ยวโร่วพยักหน้า พวกนางหารือกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้มติว่าผู้ที่จะเข้าไปเป็นคนแรกคือเสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วผลักบานประตูนั้นอย่างช้า ๆ ทันทีที่ประตูเปิดออก ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันแสนรุนแรงที่ทะลักทลายออกมาจากด้านใน
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่เสี่ยวโร่วย่างเท้าก้าวเข้าไป สภาวะพลังดังกล่าวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก
อาจารย์ผู้เฒ่ามองดูเสี่ยวโร่วเดินเข้าไปในอาคารอย่างเงียบเชียบก่อนที่จะหลับตาลง ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงเองก็ไม่กล่าวอะไรออกมา พวกนางต่างก็จดจ้องประตูที่ปิดสนิทอย่างจดจ่อ ในตอนนี้ความคิดมากมายและความสงสัยใคร่รู้หมุนวนไปมาอยู่ภายในหัวของหญิงสาวทั้งสอง
ผ่านไปเกือบ ๆ หนึ่งก้านธูป ประตูบานเก่าก็เปิดออกจากด้านใน เสี่ยวโร่วเดินออกมาอย่างช้า ๆ
ร่างกายของสาวน้อยไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย นอกเหนือจากสีหน้างุนงงแล้ว บนใบหน้านวลก็ไม่แสดงอาการใดออกมาเป็นพิเศษ ท่าทางของนางในตอนนี้ไม่ช่วยให้คาดเดาถึงสิ่งที่รออยู่ด้านหลังประตูได้เลย อีกทั้งยังราวกับว่าด้านในนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลยเสียมากกว่า
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วกลับออกมา อาจารย์เฒ่าผู้แปลกประหลาดก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น บนใบหน้าชราปรากฏแววแห่งความสุขและตื่นเต้นยินดีอยู่เต็มเปี่ยม ในหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคมได้เลย เวลานี้ในที่สุดก็มีนักเรียนที่ผ่านการทดสอบเข้าชั้นเรียนของเขาเสียที เช่นนี้จะไม่ให้เขาตื่นเต้นไปได้อย่างไร
“สาวน้อย ยินดีด้วยที่เจ้าผ่านการทดสอบ ตอนนี้เจ้ากลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของชั้นเรียนข่ายอาคมแล้ว”
บุรุษชราผู้ลึกลับกล่าวยินดีกับเสี่ยวโร่วด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอย่างมิอาจปกปิด
‘นายหญิง ดูเหมือนว่าสาวใช้ของท่านจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา !’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ และวาจานั้นก็ทำให้นางประหลาดใจไม่น้อย เสี่ยวโร่วทำหน้าที่เป็นสาวใช้ของฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ทั้งคู่ยังเล็ก ๆ ในความทรงจำของคุณหนูสี่คนก่อนเสี่ยวโร่วตัวน้อยถูกมารดาของนางพบเจอในป่าแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดทราบถึงตัวตนและที่มาที่ไปของเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้เลย อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในตอนนั้นจึงเก็บนางมาชุบเลี้ยง
ยิ่งเมื่อได้ฟังสิ่งที่ซิวบอกรวมถึงการที่สาวใช้น้อยผ่านการทดสอบเข้าชั้นเรียนข่ายอาคมก็ยิ่งทำให้ฉินอวี้โม่เกิดข้อสงสัยตัวตนของสาวน้อยผู้นี้มากขึ้น
‘นายหญิง เรื่องนั้นข้าจะบอกท่านเมื่อถึงเวลาอันสมควร’
ทันทีที่ล่วงรู้ถึงความนึกคิดของผู้เป็นนาย ซิวก็เอ่ยขึ้นมา
“ข้าผ่านอย่างนั้นหรือ ?”
เสี่ยวโร่วมองอาจารย์ผู้เฒ่าด้วยความงุนงง ดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวสาวใช้น้อยเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าตนเองสอบผ่าน
“ใช่ เจ้าสอบผ่าน” บุรุษชราผู้ลึกลับยิ้มและกล่าวต่อ “หลังจากสาวน้อยทั้งสองคนเสร็จสิ้นการทดสอบ เจ้าก็จะรู้ถึงเหตุผลเอง”
เสี่ยวโร่วได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ด้วยสีหน้าและแววตาสับสน
“เอาล่ะ ผู้ใดจะเข้าเป็นคนต่อไป ?”
บุรุษชรานัยน์ตาสีน้ำทะเลถามขึ้นแล้วมองฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อวี้โม่ เจ้าเข้าไปก่อนเถอะ ข้ารู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้”
เยว่ชิงเฉิงดันร่างของฉินอวี้โม่เบา ๆ พร้อมบอกให้สหายเข้าไปลองทดสอบก่อน ใบหน้าของคุณหนูช่างหลอมไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเดินตรงไปที่ประตูสนิมจับ
ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พบว่าประตูนั้นค่อย ๆ เปิดออกเองอย่างช้า ๆ ราวกับว่ามีมือล่องหนกำลังควบคุมมันอยู่ และในทันทีที่ประตูเปิด ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันแรงกล้าจากด้านใน
“เป็นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเหลือเกิน !”
ฉินอวี้โม่อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปทีละก้าว ซึ่งหลังจากร่างบางผ่านเข้ามาถึงห้องด้านใน ประตูก็ปิดลงเองอีกครั้ง
ห้องแห่งนี้เป็นห้องที่แสนธรรมดาห้องหนึ่ง ภายในห้องมีเก้าอี้จำนวนหนึ่งตั้งเรียงราย ซึ่งพวกมันก็ดูไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นอกเหนือจากพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งที่อัดแน่นอยู่แล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดแปลกใด ๆ ภายในห้องนี้เลย
‘นายหญิง หลับตาลงและลองปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไป’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่อีกครั้ง
ฉินอวี้โม่ทำตามคำแนะนำนั้นทันที สตรีผู้เป็นเจ้าของกายเทพมายาส่งพลังจิตวิญญาณออกมาภายนอก ในตอนนั้นเองนางก็สัมผัสได้ว่าคลื่นพลังอันแข็งแกร่งที่อยู่รอบกายนั้นเข้มข้นขึ้น
‘นี่ก็คือข่ายอาคม มนุษย์เฒ่าผู้นั้นใช้วิธีการบางอย่างควบคุมห้องนี้อยู่ เขากำลังทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจแห่งผู้เข้าสอบ เพราะการวางข่ายอาคมจำเป็นต้องมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งทางร่างกายหรือพรสวรรค์พิเศษอื่น ๆ ไม่มีผลกับการเรียนรู้วิชานี้’
แม้ว่าจะยังสับสนอยู่บ้าง แต่ฉินอวี้โม่ก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่ซิวอธิบาย
ภายในห้องนี้จะต้องมีข่ายอาคมวางเอาไว้ หากปราศจากพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอ ผู้เข้าทดสอบก็จะได้รับผลกระทบจากข่ายอาคมนี้จนล้มเหลวในการทดสอบ และขอเพียงมีพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งไม่ว่าพละกำลังหรือสภาพร่างกายจะเป็นอย่างไรก็จะสอบผ่านอย่างง่ายดาย ด้วยพลานุภาพแห่งกายเทพมายา ฉินอวี้โม่จึงมีพลังจิตวิญญาณที่แกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่หลายเท่า ดังนั้นแล้วข่ายอาคมในห้องนี้จึงไม่สามารถส่งผลกระทบใด ๆ ต่อนางได้
ส่วนเสี่ยวโร่วนั้น ซิวให้เหตุผลในภายหลังว่าเป็นเพราะนางมีสายเลือดที่พิเศษบางอย่าง อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ร่วมกับเสี่ยวโร่วมานานแล้ว แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่เคยสัมผัสได้ถึงความพิเศษดังกล่าวของสาวใช้น้อย ตามคำบอกเล่าของซิว เป็นไปได้ว่าเสี่ยวโร่วอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลเก่าแก่โบราณ ทว่านี่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ซิวและคุณหนูสี่ตระกูลฉินคาดเดากันเอาเองเท่านั้น ด้วยความคลุมเครือไม่แน่ชัดนี้ ฉินอวี้โม่จึงยังไม่คิดที่จะบอกข้อสันนิษฐานดังกล่าวกับเสี่ยวโร่ว
เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็หยุดคิดเรื่องนี้ไป นางดึงเอาพลังจิตวิญญาณของตัวเองกลับมาและหันหลังเดินผ่านประตูออกไป
บุรุษชราลึกลับที่เฝ้ารออยู่หน้าประตูยังคงหลับตา แน่นอนว่าเขารับรู้ถึงสถานการณ์ภายในห้องได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีตัวตนอันแข็งแกร่งไม่ทราบที่มากำลังลอบตรวจสอบและเยี่ยมชมข่ายอาคมของเขา ทว่าเพียงชั่วอึดใจ ตัวตนนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ นี่ทำให้เขาประหลาดใจมาก เมื่อผู้ชรานัยน์ตาฟ้าลืมตาขึ้นก็มองเห็นสาวน้อยผู้เข้ารับการทดสอบเป็นรายที่สองกลับออกมาจากในอาคารแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าจ้องมองนางนิ่งนาน ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
‘สาวน้อยผู้นี้ตรวจสอบข่ายอาคมของข้าอย่างนั้นรึ ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ พลังจิตวิญญาณรวมถึงพรสวรรค์ของนางก็ถือว่าน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว !’
อย่างไรก็ตามคนชราผู้ลึกลับก็มิได้ถามไถ่สิ่งใด เขาเพียงแต่ยิ้มแล้วกล่าวอย่างชื่นชม “ยินดีด้วยสาวน้อยเจ้าผ่านการทดสอบและกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของชั้นเรียนข่ายอาคม”
ฉินอวี้โม่เองก็เพียงแค่ยิ้มรับและไม่ได้กล่าวสิ่งใดเช่นกัน
ในตอนนี้เมื่อเหลือเพียงเยว่ชิงเฉิงคนเดียวแล้ว นางจึงไม่ลังเลอีก แม้จะไม่มั่นใจแต่สตรีอาจหาญอย่างนางไม่เคยเกรงกลัว คุณหนูตระกูลช่างหลอมเดิมเข้าไปในห้องประหลาดนั้นอย่างช้า ๆ
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกันในด้านความพิเศษแห่งพลังวิญญาณแล้ว ในสตรีทั้งสามคน เยว่ชิงเฉิงถือเป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับคำว่าธรรมดามากที่สุด แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์ที่สูงไม่น้อย ทว่าพลังจิตวิญญาณก็ไม่นับว่าแข็งแกร่ง นางจึงถือว่ายังขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ดี
หลังจากรอคอยนานกว่าหนึ่งก้านธูปก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้น เยว่ชิงเฉิงไม่มีวี่แววว่าจะออกมาจากอาคารหลังนั้น อาจารย์เฒ่าผู้แปลกประหลาดจึงเป็นผู้เปิดประตูออกเอง
ภายในห้องนั้น คุณหนูตระกูลเยว่ยืนนิ่งอยู่กับที่ไร้การเคลื่อนไหว แววตาเลื่อนลอยราวกับว่ากำลังหลับใหลไม่ได้สติทั้ง ๆ ที่ลืมตา
“ไม่ต้องเรียกนาง เดี๋ยวนางก็จะตื่นในไม่ช้า”
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วกำลังเตรียมจะเดินเข้าไปเพื่อปลุกเยว่ชิงเฉิง อาจารย์ผู้สอนวิชาประหลาดก็เอ่ยปากห้ามสาวน้อย
เสี่ยวโร่วชะงักไปและหยุดการกระทำของตัวเอง นางไม่กล้าร้องเรียกหรือแตะต้องร่างกายของเยว่ชิงเฉิง
ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นเช่นที่อาจารย์ผู้เฒ่าลึกลับกล่าว เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป เยว่ชิงเฉิงก็ฟื้นคืนสติ
“เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน ?”
คุณหนูผู้ห้าวหาญเอ่ยถามด้วยใบหน้าแสนสับสน
“ข้าเพิ่งจะออกไปจากที่นี่และกลับไปที่หอพักแล้วหลับไปไม่ใช่หรือ ?”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหันมามองหน้ากัน ก่อนจะมองไปที่อาจารย์ผู้เฒ่า
“ฮ่า ๆ สาวน้อย เจ้าไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น เมื่อครู่เจ้าตกอยู่ในห้วงมายาลวงตา ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง”
บุรุษชราผู้เป็นอาจารย์ยิ้มแล้วกล่าวตอบ
“ห้วงมายา ? ภายในห้องนั้นมีข่ายอาคมอย่างนั้นหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงถามด้วยความสับสน
“สิ่งที่อยู่ห้องนั้นเป็นเพียงข่ายอาคมขนาดเล็ก มันเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้ใช้ข่ายอาคมต้องเรียนรู้”
ผู้เฒ่านัยน์ตาสีน้ำทะเลพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย น่าเสียดายที่เจ้าไม่ผ่านการทดสอบ”
“ช่างเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่ายังไงข้าก็ไม่ผ่าน ข้าก็แค่อยากลองดูเท่านั้น”
เยว่ชิงเฉิงไม่ได้มีท่าทีผิดหวังมากนัก นางไม่ได้ตั้งใจอยากจะเข้าเรียนชั้นเรียนประหลาดนี้แต่แรก สตรีใจกล้าเพียงแค่อยากจะลองดูเหมือนเช่นที่กล่าวเท่านั้นจริง ๆ
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว ข้าไปก่อนล่ะ พวกเจ้าต้องอยู่ฟังรายละเอียดชั้นเรียนกับท่านอาจารย์ที่นี่ใช่ไหม ข้าจะไปบอกสหายคนอื่น ๆ ก่อนพวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มและกล่าวกับสหายทั้งสอง ก่อนจะออกจากห้องเรียนข่ายอาคมนี้ไป
ฉินอวี้โม่ไม่ได้หยุดสหายสาวเอาไว้เพราะหากว่าพวกนางสามคนไม่มีใครกลับไปเลย โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็คงจะรู้สึกเป็นห่วง การให้เยว่ชิงเฉิงออกไปบอกกล่าวพวกเขาก่อนเป็นเรื่องที่ดีกว่า
“สาวน้อยทั้งสองนั่งลงก่อน ข้าจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของผู้ใช้ข่ายอาคม”
อาจารย์เฒ่าผู้ลึกลับกล่าวพลางทำมือเป็นสัญญาณบอกให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วนั่งลง
กล่าวตามตรงเลยว่าในเวลานี้บุรุษชราผู้เป็นอาจารย์รู้สึกตื่นเต้นมาก หลายปีมานี้ไม่เคยมีนักเรียนสอบผ่านเข้าชั้นเรียนของเขาได้เลย เขาไม่ได้พบผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่ให้ความสนใจจะลงเรียนวิชาข่ายอาคมได้มานานหลายปีแล้ว
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าปีนี้จะมีนักเรียนผู้มีคุณสมบัติถึงสองคน ทั้งคู่ไม่เพียงแต่ผ่านการทดสอบเท่านั้นแต่ยังมีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจนอาจารย์เฒ่าอย่างเขายังต้องตกใจอีกด้วย
อาจารย์ชราทราบดีว่าการจะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นในตอนที่สาวน้อยทั้งสามคนมาเข้ารับการทดสอบ ตัวเขาเองจึงไม่ได้คาดหวังมากนัก ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เขาต้องประหลาดใจครั้งใหญ่
“สาวน้อยทั้งสอง ข้าขอบอกด้วยความสัตย์จริงเลยว่า ข้ามีความสุขมากที่พวกเจ้าทั้งคู่สอบผ่าน ข้าอยู่ในโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้มายาวนานแล้ว แต่ผู้ที่สามารถสอบผ่านและมีคุณสมบัติจะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมได้นั้นมีน้อยมาก อาชีพนี้แทบจะเป็นอาชีพที่ใกล้จะสูญหายไปตามกาลเวลา ข้ารู้ดีว่าการจะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมต้องมีพลังจิตวิญญาณที่แข็งกล้า ตอนนี้พวกเจ้าทั้งคู่ก็สอบผ่านแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองมีจิตที่แข็งแกร่งเหนือคนทั่วไป”
อาจารย์เฒ่าผู้ลึกลับถอนหายใจออกมาเพื่อให้หายจากความตื่นเต้น ก่อนจะบอกเล่าเกี่ยวกับเนื้อหาของชั้นเรียนและลักษณะของผู้ใช้ข่ายอาคมให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วฟังอย่างคร่าว ๆ
…นานแสนนานมาแล้ว ย้อนไปในช่วงพันปีก่อน ผู้ใช้ข่ายอาคมถือเป็นหนึ่งในอาชีพที่ทรงพลังและรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินหวนหลิง
ผู้ใช้ข่ายอาคมที่เก่งกาจนั้นเป็นดั่งฝันร้ายของยอดฝีมือทั้งหลาย ข่ายอาคมเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ทั้งหลายต่างก็เกลียดชังเพราะถ้าหากพลาดพลั้งตกลงไปยังเขตที่มีข่ายอาคมวางไว้ก็จะต้องปวดหัวไม่น้อย บ้างก็ต้องรับมือกับความจุกจิกของมัน บ้างก็ต้องทุกข์ทรมานกับสภาวะที่ผิดแปลกและรบกวนร่างกาย
เล่าขานกันว่าผู้ใช้ข่ายอาคมที่แข็งแกร่งนั้น เพียงหนึ่งเดียวก็สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์มากฝีมือได้กว่าร้อยอย่างไม่เป็นรองหากเลือกใช้งานข่ายอาคมที่เหมาะสม ดังนั้นแล้วอาชีพนี้จึงคงอยู่มาอย่างยาวนานนับพันปีแล้วและแน่นอนว่าขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างก็ต้องการมีผู้ใช้ข่ายอาคมไว้เป็นส่วนหนึ่ง
ในยุคสมัยนั้นเงื่อนไขของการเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมยังไม่เคร่งครัดเช่นทุกวันนี้ รวมถึงสมัยนั้นก็มีผู้มีพรสวรรค์สูงส่งในด้านนี้อยู่นับไม่ถ้วนจึงทำให้มีผู้ใช้ข่ายอาคมเป็นจำนวนมากอย่างไม่ขาดแคลน
ทว่าสองร้อยปีให้หลังก็มีเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น เรื่องราวนั้นร้ายแรงอย่างมากและเป็นสาเหตุให้อาชีพผู้ใช้ข่ายอาคมแทบจะสูญหายไป….
.