คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1107 อัญเชิญสมบัติออกมา
ฉินอวี้โม่และบุรุษวัยกลางคนไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ชมเหตุการณ์มองดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยเนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับพวกตน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองสมบัติสุดท้าย ไม่ว่าจะส่งตัวแทนกี่คนสำหรับผลึกวิญญาณแต่ละก้อน นั่นก็มิใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องสนใจ
“ไป๋เสี่ยวหลง หนิงหม่านชาง เจ้าทั้งสองคิดเห็นอย่างไร ?”
สายตาของเยี่ยซีเลื่อนไปหยุดลงที่ไป๋เสี่ยวหลงและหนิงหม่านชาง—หัวหน้าคณะตระกูลหนิงด้วยความมั่นใจว่าทั้งสองจะเห็นด้วยกับตน ถึงอย่างไรข้อเสนอของเขาก็ดีสำหรับทั้งสามตระกูลอย่างมาก หากผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนเป็นตัวแทนของคนสามคน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็มีโอกาสได้สมบัติมากกว่า
น่าเสียดายที่ไป๋เสี่ยวหลงตัดสินใจร่วมมือกับฉินอวี้โม่ตั้งแต่แรกแล้วและไม่มีทางเห็นดีเห็นงามกับแผนการเจ้าเล่ห์นี้อย่างแน่นอน
“ไม่ นี่มิใช่สิ่งที่ถูกต้อง ในเมื่อมันเป็นผลึกวิญญาณเหมือน ๆ กัน ข้าขอเสนอให้เราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน นั่นคือผลึกวิญญาณแต่ละก้อนจะเป็นตัวแทนของคนสามคน หากท้ายที่สุดแล้วจำนวนคนมากเกินไป จากนั้นก็ให้ลดจำนวนเหลือก้อนละหนึ่งคนเหมือน ๆ กัน”
ไป๋เสี่ยวหลงส่ายศีรษะและกล่าวแสดงความเห็นออกไป
“ผู้นำไป๋พูดถูก เราควรปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม เราไม่ควรเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพียงเพราะมีอำนาจที่เหนือกว่า”
ครานี้หนิงหม่านชางผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลเยี่ยในตอนแรกไม่เห็นด้วยกับเยี่ยซีอีกต่อไปและกล่าวแสดงความคิดเห็นของตน
แม้ตระกูลหนิงมักจะเห็นชอบกับการกระทำของตระกูลเยี่ย แต่พวกเขาก็มีแผนการของตัวเองอยู่ แม้ยังไม่ทราบว่าสมบัติที่จะปรากฏคือสิ่งใด พวกเขาก็มั่นใจว่ามันจะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน ตระกูลเยี่ยมีผลึกวิญญาณในการครอบครองถึงสามก้อนและหากยินยอมให้พวกเขานำคนเข้าไปเป็นจำนวนมาก มันจะเป็นผลเสียต่อตระกูลหนิงของเขาเอง
หนิงหม่านชางต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อครอบครองผลประโยชน์ที่มากขึ้นและไม่ต้องการพึ่งพาตระกูลเยี่ยอีกต่อไป
เยี่ยซีคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋เสี่ยวหลงและหนิงหม่านชางจะคัดค้านการตัดสินใจของตนเช่นนี้ สีหน้าของเขาจึงกลายเป็นเย็นชาทันที
“หึ เป็นอย่างที่คิดไว้ มิใช่ทุกคนที่จะใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเหมือนกับตระกูลเยี่ย !”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย้ยหยันเล็กน้อย ปฏิกิริยาตอบสนองของหนิงหม่านชางและไป๋เสี่ยวหลงถือว่าอยู่ในความคาดหมายของนาง หากเป็นตระกูลเยี่ยสาขาหลัก ตระกูลหนิงก็คงไม่กล้าคัดค้านการตัดสินใจของคนเหล่านั้น หากแต่เยี่ยซีเป็นเพียงสาขาหนึ่งของตระกูลเยี่ยและตระกูลหนิงไม่จำเป็นต้องไว้หน้า เพราะฉะนั้นหนิงหม่านชางจึงสามารถเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตระกูลของตน
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นก็สามคนเท่ากันทั้งหมด !”
เยี่ยซีแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์และไม่ได้กล่าวสิ่งใด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการอัญเชิญสมบัติของซากปรักหักพังออกมาก่อน เมื่อสมบัติปรากฏ มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถว่าผู้ใดจะได้มันไปครอง และเขามั่นใจในฝีมือของคนตระกูลเยี่ยอย่างเต็มเปี่ยม
ทันทีที่เงื่อนไขปรับเปลี่ยนเป็นการที่ผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนหมายถึงตัวแทนสามคน จอมยุทธ์อิสระหลายคนที่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ก่อนหน้านี้ต่างก็มีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
สายตาของคนเหล่านั้นเลื่อนมาหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นออกมา
สำหรับสิ่งที่กล่าวว่าเป็นสมบัติที่ต้นไม้โลกทิ้งไว้ เป็นธรรมดาที่ทุกคนย่อมให้ความสนใจ ฉินอวี้โม่มีผลึกวิญญาณอยู่ถึงห้าก้อนซึ่งหมายถึงตัวแทนทั้งหมดสิบห้าคน ทว่ากลุ่มของฉินอวี้โม่มีจำนวนเพียงห้าคนเท่านั้นซึ่งยังมีที่ว่างอีกถึงสิบที่ หากมีโอกาสได้ส่วนแบ่งจากสมบัติ ต่อให้เป็นเพียงเศษเหลือจากคนอื่น ๆ มันก็ยังเป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา
นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ก็ยังมีจอมยุทธ์อิสระผู้นั้นที่ยังมีว่างอีกสองที่และพวกเขาอาจมีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้น
“เฮ้ เจ้าอยากจะมอบสองสิทธิ์ที่ว่างให้กับตระกูลเยี่ยของข้าหรือไม่ ?”
เยี่ยซีกล่าวขึ้นเป็นคนแรกและสายตาของเขาเลื่อนไปที่บุรุษวัยกลางคนขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเชื้อเชิญ
“เหอะ ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าทะนงตนมากนัก เกรงว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าทะนงตนยิ่งกว่าเดิม ข้าไม่สนใจหรอก”
บุรุษวัยกลางคนแค่นเสียงและปฏิเสธอย่างทันควัน สีหน้าของเขาเรียบเฉยและไม่มีทีท่าหวาดกลัวต่ออิทธิพลของตระกูลเยี่ยแม้แต่น้อย
“ช่างไม่รู้จักประมาณตน !”
เนื่องจากไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนี้ เยี่ยซีจึงกัดฟันกรอดและสีหน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
จอมยุทธ์อิสระผู้นั้นไม่แยแสแม้แต่น้อยขณะมองไปรอบ ๆ ก่อนพบกับจอมยุทธ์สองคนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและให้สิทธิ์ที่เหลือกับพวกเขาไป
“ท่านจอมยุทธ์ ไม่ทราบว่าสนใจที่จะขายสิทธิ์ที่เหลือรึไม่ ?”
จอมยุทธ์อิสระคนหนึ่งเดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“ไม่ได้มีไว้ขาย”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธทันทีและพวกนางได้ตัดสินใจเกี่ยวกับผู้ที่ครอบครองสิทธิ์สำหรับผลึกวิญญาณทั้งห้าก้อนแล้ว
“เอาล่ะ ทุกคนหยิบผลึกวิญญาณออกมาเถอะ !”
เยี่ยซีไม่สนใจว่าฉินอวี้โม่จะแจกจ่ายสิทธิ์ที่เหลือให้กับผู้ใด เวลานี้เขาหมดความอดทนเต็มทีและเอ่ยปากให้ทุกคนหยิบผลึกวิญญาณส่วนของตนออกมา
“หลั่งเลือดสาบานกันก่อนเถอะ ข้ากังวลว่าจะมีใครบางคนคิดไม่ซื่อและมีเจตนาที่ไม่ดีซ่อนไว้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกำชับให้เยี่ยซีหลั่งเลือดสาบานก่อนเพื่อที่ทุกอย่างจะดำเนินไปตามข้อตกลงที่วางไว้
แม้เยี่ยซีจะไม่เต็มใจนัก เขาก็จำต้องกล่าวสัตย์สาบานเพื่อสมบัติสุดท้าย
จากนั้นทุกคนก็หยิบผลึกวิญญาณส่วนของตนออกมา และทันทีที่เยี่ยซีถือผลึกวิญญาณทั้งหมดไว้รวมกัน แสงสว่างจ้าก็ส่องออกมาจากผลึกวิญญาณเหล่านั้นทันที
*ฮึมมม...*
เสียงประหลาดดังขึ้นในอากาศและผลึกวิญญาณทั้งหมดก็ลอยขึ้นสูงกลางอากาศก่อนหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
ครืน ครืนนน !
ทันใดนั้น พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและต้นไม้รอบบริเวณล้มลงอย่างต่อเนื่องราวกับเกิดแผ่นดินไหวซึ่งทำให้ทุกคนตื่นตระหนกทันที
ทุกคนเหาะขึ้นสูงกลางอากาศก่อนที่รอยแยกขนาดใหญ่จะปรากฏบนพื้นดินและแบ่งซากปรักหักพังทั้งหมดออกเป็นสองฝั่ง
รอยแยกดังกล่าวยังคงขยายใหญ่อย่างต่อเนื่องและหยุดลงเมื่อมีความกว้างประมาณสามสิบจั้ง
* 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร
“มีบางอย่างอยู่ข้างล่างนั่น !”
จอมยุทธ์คนหนึ่งตะโกนเสียงดังเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างในรอยแยกใต้พื้นดิน
ในรอยแยกใต้ดิน แสงสว่างบางอย่างค่อย ๆ ปรากฏต่อสายตาทุกคน
ทุกอย่างตกอยู่ท่ามกลางความเงียบและทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นวัตถุขนาดมหึมาที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นมาตามรอยแยกจนกระทั่งหยุดลงกลางอากาศซึ่งอยู่ในระดับความสูงเดียวกับทุกคน
มันคือพระราชวังงดงามชวนตะลึงซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักทว่าเต็มไปด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ทุกคนไม่อาจละสายตาและต้องการเข้าไปไขปริศนาด้วยตัวเอง
“นี่คือพระราชวังที่ต้นไม้โลกเคยอาศัยอยู่อย่างนั้นรึ ?”
ใครคนหนึ่งอ้าปากค้างขณะมองดูพระราชวังตรงหน้าและพึมพำเบา ๆ
ต้นไม้โลกคือพฤกษาที่สามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ หากจะกล่าวว่ามันอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหนือจินตนาการจนเกินไป
มีความเป็นไปได้สูงว่าพระราชวังที่ลอยอยู่กลางอากาศและอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตที่มหาศาลแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของต้นไม้โลก
“นี่คือสมบัติสุดท้ายที่ต้นไม้โลกทิ้งไว้ ในเมื่อพระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของมันก็แสดงว่าจะต้องมีสมบัติของต้นไม้โลกอยู่ข้างในเป็นจำนวนมากแน่ ๆ…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิดของทุกคนราวกับเรียกสติพวกเขาขึ้นมา
“รีบเข้าไปกันเถอะ หากข้าได้สมบัติของต้นไม้โลกมาครอง ข้าจะกลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ !”
จอมยุทธ์อิสระคนหนึ่งตะโกนอย่างฮึกเหิมและเหาะตรงไปยังพระราชวังตรงหน้าเพื่อพยายามฝ่าทะลวงเข้าไป
ตูมมม !
ก่อนที่เขาจะเข้าไปถึงจุดหมาย จู่ ๆ คลื่นพลังรุนแรงก็กวาดออกมาจากพระราชวังและปะทะเข้ากับร่างของเขาจนกระเด็นออกไป
ร่างของคนผู้นั้นร่วงลงในรอยแยกไร้ที่สิ้นสุดในพื้นดินทันที เขาไม่ทันได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำขณะร่วงหายลงไปโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
หลายคนที่พุ่งตามเขาไปเมื่อครู่ก็ล้วนหยุดชะงักในทันทีและรู้สึกว่าตนโชคดียิ่งนัก โชคดีที่ว่าพวกเขามีความเร็วที่ช้ากว่าจอมยุทธ์อิสระผู้นั้น มิเช่นนั้น หากพวกเขาเคลื่อนไหวเร็วกว่านี้ละก็ ชะตากรรมของพวกเขาก็คงจะลงเอยในแบบเดียวกัน
“รอบ ๆ พระราชวังมีม่านป้องกันอยู่ หากต้องการเข้าไปละก็ เราจะต้องทำตามเงื่อนไขบางอย่าง”
ไป๋เสี่ยวหลงเอ่ยปากขึ้นมาและเปิดเผยข้อคาดเดาของตนเองออกมา
.
.