คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 111 การฝึกสมรรถภาพร่างกาย
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วนั่งอยู่ในห้องเรียนข่ายอาคมเป็นเวลานาน พวกนางกำลังตั้งใจฟังอาจารย์ชราผู้ลึกลับบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อแปดร้อยปีก่อนอยู่อย่างตั้งใจ จนกระทั่งท้องฟ้าภายนอกมืดมิด และดวงจันทร์กลมโตปรากฏขึ้นสูงเหนือศีรษะพวกนางทั้งสองจึงได้ออกมาจากห้องเรียนและเดินทางกลับ
กล่าวเลยว่าแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังอดรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแปดร้อยปีที่แล้วไม่ได้ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูคิดทบทวนถึงโศกนาฏกรรมในตอนนั้นวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าสิ่งที่สำคัญคือเรื่องดังกล่าวดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวนางเอง
‘นายหญิงอย่ามัวแต่คิดเรื่องนั้นอยู่เลย ตอนนี้เป้าหมายหลักของท่านคือพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง และหากท่านแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ได้เมื่อไหร่ท่านก็จะเข้าใจมันได้เอง’
เสียงของซิวดังอยู่ในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ราวกับว่าอสูรมายาผู้ลึกลับของนางจะรู้เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมในตอนนั้นไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เวลานี้ฉินอวี้โม่อ่อนแอเกินไป มีหลายเรื่องที่แม้ว่านางจะรู้แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ยิ่งกว่านั้นมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่นางควรจะได้รับรู้ ตอนนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่นางสมควรจะทำมากที่สุดมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือการตั้งใจฝึกฝนเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง
แม้ว่าภายในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นแห่งนี้ จอมยุทธ์นภมายาเก้าดาราจะถือว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับแนวหน้าแล้วก็ตาม แต่หากนับทั้งแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล จอมยุทธ์เพียงระดับนี้ก็ไม่ต่างจากเด็กอมมือเท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนทราบดีว่าในดินแดนหวงหลิงนี้ยังมีเรื่องลึกลับซับซ้อนอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นแผ่นดินนี้ยังมียอดฝีมือเก่ง ๆ อยู่นับไม่ถ้วน ในดินแดนที่ความแข็งแกร่งถือเป็นที่สุดแห่งนี้ เมื่อไม่ทราบว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดอยู่ การพาตัวเองให้ก้าวไปยืนอยู่ในจุดสูงสุดจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
‘ข้าเข้าใจ มันก็แค่รู้สึกสะเทือนใจเท่านั้น’
เมื่อได้ยินคำปลอบโยนของซิว ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยคำตอบรับ สตรีผู้งดงามหลับตาลงแล้วถอนหายใจก่อนจะทิ้งความวุ่นวายภายในจิตใจเอาไว้เบื้องหลัง
แม้ว่าเสี่ยวโร่วเองจะตกตะลึงไม่ต่างกัน ทว่าสาวน้อยกลับไม่ได้ขบคิดเรื่องราวดังกล่าวมากเท่ากับฉินอวี้โม่ อย่างไรในหัวของเสี่ยวโร่วก็มีเพียงแค่เรื่องของฉินอวี้โม่เท่านั้น ไม่ว่าคุณหนูผู้เป็นที่รักต้องการจะทำอะไร สาวน้อยก็ปฏิญาณกับหัวใจของตนเองแล้วว่าจะช่วยคุณหนูทำมันให้สำเร็จอย่างไม่ลังเล ส่วนเรื่องอื่น ๆ สาวน้อยไม่เคยเก็บมาใส่ใจเลยสักครั้ง
สตรีทั้งสองเดินทางกลับมาถึงหอพักและพบว่าเยว่ชิงเฉิงกับหลิงซวงยังไม่เข้านอน ดูเหมือนว่าคนทั้งคู่จะรอให้พวกนางกลับมาถึงห้องพักก่อน
“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วกลับเข้าห้อง เยว่ชิงเฉิงและหลิงซวงก็แสดงท่าทางโล่งอก เมื่อเห็นว่าดึกดื่นแล้วแต่สหายสาวยังไม่กลับมา ก็เป็นธรรมดาที่พวกนางจะต้องห่วงกังวล
“เอาล่ะ วันนี้พวกเรารีบเข้านอนกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่เอ่ยชวนให้ทุกคนพักผ่อนด้วยคำพูดสั้น ๆ เพียงหนึ่งประโยคแล้วไม่กล่าวสิ่งใดอีก
เยว่ชิงเฉิงและหลิงซวงเห็นสีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่ พวกนางก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายยังไม่อยากบอกเล่าหรือกล่าวอธิบายอะไรในตอนนี้ ทั้งคู่จึงล้มตัวนอนและหลับตาลงทันที
…
เวลาผ่านไปอีกสองวัน ภายในสองวันนี้ ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายทั้งหลายต่างก็ใช้ไปกับการพักผ่อนอยู่ในหอพักเสียส่วนใหญ่ พวกนางไม่มีสถานที่ที่ต้องไป ไม่มีชั้นเรียนใดที่อยากจะไปสมัครเพิ่มเติมอีก ฉะนั้นแล้วแต่ละคนจึงแทบไม่มีเรื่องที่จะต้องทำ
ในที่สุดช่วงเวลาสามวันแห่งการหยุดพักก็สิ้นสุดลง และก็เป็นไปตามคาด ที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเป็นเพียงสองคนจากนักเรียนเข้าใหม่ทั้งหมดที่ได้เข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคม ซึ่งเมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าได้ยินเรื่องที่มีนักเรียนใหม่สองคนผ่านการทดสอบเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคมบ้างรึเปล่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าปีนี้จะมีคนเข้าไปได้ถึงสองคน !”
บริเวณจัตุรัสของโรงเรียน นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนากันอยู่ด้วยเสียงอันเบา
“แน่นอน พวกข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน แล้วคนที่เข้าไปได้ก็ไม่ใช่ใครอื่น สองคนที่ว่าก็คือน้องใหม่ที่ไม่ธรรมดาคนนั้น—ฉินอวี้โม่และสาวใช้ของนางที่ชื่อว่าเสี่ยวโร่ว”
อีกคนรีบกล่าวขึ้นมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
หลังจากจบเรื่องวุ่นวายที่สนามประลองในครั้งนั้นลง หานโม่ฉือก็ได้ประกาศชัดว่าฉินอวี้โม่คือสตรีของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้นามของฉินอวี้โม่เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโรงเรียน ในเวลานี้นับว่าชื่อเสียงของคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินนั้น ไม่เป็นสองรองผู้ใดในสถาบันแห่งนี้เลย ตอนนี้นางเป็นบุคคลที่ไม่ว่าผู้ใดในโรงเรียนต่างก็รู้จักและให้ความสนใจ
และก็ด้วยเหตุนี้เองทำให้นักเรียนทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าจำนวนมากพยายามเข้ามาทำความรู้จักและตีสนิทกับฉินอวี้โม่ รวมถึงยังมีบางคนที่สนอกสนใจจนกระทั่งพยายามสืบค้นภูมิหลังของน้องใหม่ผู้โด่งดังผู้นี้อย่างละเอียด
หลังจากที่ทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลฉินตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นและยังเป็นถึงหนึ่งในอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลทุกคนก็ประหลาดใจไม่น้อย แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังน่าประหลาดใจไม่เท่ากับเรื่องที่นางสามารถเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคม วิชาที่เป็นเสมือนตำนานของโรงเรียนราชสำนักได้
“ใช่ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว ฉินอวี้โม่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่เรื่องที่ข้าคิดไม่ถึงก็คือแม้แต่สาวใช้ประจำตัวของนางก็ยังเป็นมีพรสวรรค์สูงราวกับสัตว์ประหลาดด้วย เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รู้สึกอิจฉาพวกนางมาก”
อันที่จริง หากพิจารณาจากพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่เรื่องที่คุณหนูตระกูลฉินผู้นี้สามารถเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคมได้ก็ไม่ได้ถือว่าน่าตกใจมากนัก ทว่าเสี่ยวโร่วผู้ที่ไม่มีผู้ใดรู้ที่มาที่ไป รู้แต่เพียงนางติดตามฉินอวี้โม่นั้น เพียงแค่สาวน้อยผู้นั้นเข้าร่วมชั้นเรียนช่างหลอมได้ทุกคนก็ประหลาดใจมากพอแล้ว แต่นี่ถึงกับเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคมได้ด้วย เรื่องนี้ทำให้ทุกคนต่างก็มองนางเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดไม่ต่างจากคุณหนูของนาง
ณ หอพักนักเรียนใหม่ฝ่ายสตรี นักเรียนหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มกันเพื่อสนทนาเรื่องต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลุ่มของฉินอวี้โม่รวมอยู่ด้วย
“พี่อวี้โม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าพอหลิวหว่านเยียนรู้ว่าพี่กับพี่เสี่ยวโร่วเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคมได้ ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เบี้ยวจนน่าเกลียดมากเลย ส่วนหวังรั่วอีภายนอกอาจจะดูไม่มีอะไร แต่ข้าว่าภายในใจของนางก็คงจะรู้สึกอิจฉาพี่อวี้โม่มากแน่ ๆ”
องค์หญิงฉีฉีที่นั่งอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่เคยมีเรื่องกับหลิวหว่านเยียนและไม่ถูกชะตาหวังรั่วอีมาตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนราชสำนัก ทั้งสองฝ่ายจึงถือว่าเป็นอริกันอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็ทำให้เหล่าสหายของฉินอวี้โม่คนอื่น ๆ พาลไม่ชอบคุณหนูตระกูลหวังและโฉมงามตระกูลหลิวไปด้วย
ในตอนที่ได้ยินว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วสามารถผ่านการทดสอบเข้าร่วมชั้นเรียนข่ายอาคมได้ ฉีฉีและเหย่าเซียนเอ๋อร์ก็รู้สึกยินดีไปกับพวกนางด้วย แตกต่างจากสีหน้าของทั้งหวังรั่วอีและหลิวหว่านเยียนที่เปลี่ยนไปในฉับพลัน ด้วยความเป็นอริกันพวกนางทั้งสองคงไม่ยินดีในเรื่องนี้แน่ และก็คงกำลังรู้สึกริษยาคุณหนูสี่ตระกูลฉินอยู่อย่างแน่นอน
“คิก ๆ พวกเจ้าก็อย่าไปสนใจพวกนางเลย สองคนนั้นไม่มีอะไรมากมายนักหรอก ไม่ต้องจับตามองพวกนางด้วย พวกเจ้าจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางใช้มือบางช่วยจัดแต่งผมสลวยขององค์หญิงฉีฉี
“อวี้โม่ ช่วงนี้ด้วยหลาย ๆ เรื่องทำให้ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังไปทั่วทั้งโรงเรียน ต่อไปในอนาคตเจ้าควรระวังตัวให้มากขึ้น”
เหย่าเซียนเอ๋อร์เอ่ยปากเตือนเสียงจริงจังเพราะความเป็นห่วง
บางครั้งพรสวรรค์ที่สูงส่งเกินไปของฉินอวี้โม่ก็อาจชักนำภัยมาสู่ตัว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีจิตใจที่เปิดกว้าง ความโดดเด่นที่เกินหน้าเกินตาอาจจะทำให้มีคนประสงค์ร้ายกับฉินอวี้โม่และเข้ามาหาเรื่องได้ กรณีของจีหย่งและจีชางก็นับเป็นตัวอย่างหนึ่ง
“ข้าเข้าใจ ข้าจะพยายามระวังตัว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า แน่นอนว่านางเข้าใจถึงความจริงในเรื่องนี้ดี ตัวนางเองก็อยากจะอยู่อย่างเงียบสงบและอยากให้ตนเองเป็นจุดสนใจให้น้อยที่สุด ทว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ บางครั้งนางจึงจำเป็นต้องแสดงตัวในที่แจ้ง ฉินอวี้โม่ตั้งใจไว้แล้วว่าต่อไปจะต้องพยายามลดความโดดเด่นของตัวเองลงให้มาก
ก่อนหน้านี้จีหย่งก็ต้องยอมกลับไปด้วยความอับอายเนื่องจากเกรงกลัวหานโม่ฉือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเคืองแค้นจะต้องสุ่มอยู่เต็มอกของคนผู้นั้นเป็นแน่ และเป็นไปได้ว่าบางทีในตอนนี้เขาก็อาจจะกำลังคิดหาหนทางแก้แค้นนางอยู่
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ได้เกรงกลัวจีหย่ง แต่สหายของนางเช่นเสี่ยวโร่วและเยว่ชิงเฉิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ผู้ใดจะหยั่งรู้ว่าคนผู้นั้นจะหันมาเล่นงานสหายของนางหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นหากศัตรูหลายคนร่วมมือเล่นงานนางพร้อม ๆ กัน แม้จะแข็งแกร่งเพียงใด อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็อาจจะตกที่นั่งลำบากได้
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”
หลังจากผ่านเหตุการณ์วิกฤตในดินแดนต้องห้ามมา เหย่าเซียนเอ๋อร์เองก็กลายเป็นหนึ่งในสหายของฉินอวี้โม่ ไม่ว่าต่อไปจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นในโรงเรียน เหล่าสหายของอวี้โม่ก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขาจะไม่ยอมให้สหายของตัวเองถูกรังแก
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มจริงใจและซาบซึ้งให้โฉมงามอันดับสองแห่งแผ่นดิน นางรู้สึกมีความสุขมากที่มีวาสนาได้สหายดี ๆ มากมายเช่นนี้
ในช่วงเช้าของวันที่สี่ ฉินอวี้โม่และสหายผู้เลือกชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนซวี่ก็เดินทางไปยังสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นชั้นเรียนในวันแรกเพื่อรายงานตัว
ชั้นเรียนวันแรกของซ่างกวนซวี่นั้นไม่ได้จัดขึ้นที่ห้องเรียนภายในอาคาร แต่เป็นที่ลานฝึกแห่งหนึ่งของโรงเรียน
นักเรียนทุกคนของอาจารย์ซ่างกวนต่างก็เดินทางไปถึงยังลานฝึกก่อนเวลาเริ่มเรียนและมีหลายคนที่เข้ามาทักทายฉินอวี้โม่และสหายด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่และสหายยิ้มแย้มพร้อมทักทายกลับไปอย่างสุภาพ
“ฮ่า ๆ เด็ก ๆ มากันเร็วดีจังนะ”
หลังจากการทักทายกันของเหล่าสหายร่วมชั้นเสร็จสิ้นไปเพียงไม่นาน เสียงของซ่างกวนซวี่ก็ดังขึ้น
หลังจากสิ้นเสียงนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาผู้ขึ้นชื่อว่ามีวิธีการสอนที่เข้มข้นก็ปรากฏตัวขึ้นกลางลานฝึก
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทุกคนถือเป็นนักเรียนของข้า ไม่ว่าในอนาคตพวกเจ้าจะมีปัญหาหรือต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษก็มาปรึกษาข้าได้ สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า หากมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าไม่ได้ก็จะต้องแจ้งให้ข้ารู้ก่อน ยิ่งกว่านั้นข้าจะประเมินผลการเรียนของพวกเจ้าทุกคนเป็นระยะ ๆ ซึ่งถ้าหากสอบตกเกินกว่าสามครั้ง ข้าก็จะเสนอต่อท่านอธิการให้ไล่พวกเจ้าออกจากโรงเรียน !”
เสียงอันทรงพลังของซ่างกวนซวี่ดังเข้าไปในโสตประสาทของนักเรียนทุกคน เวลานี้ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว จู่ ๆ บุรุษอาวุโสใบหน้าอ่อนเยาว์ก็กลายเป็นอาจารย์ผู้เข้มงวดในพริบตา
เหล่านักเรียนหน้าใหม่พยักหน้ารับทราบอย่างแข็งขัน ดูเหมือนว่าทุกคนในชั้นเรียนนี้ต่างก็เตรียมตัวเตรียมใจกันมาเป็นอย่างดี และไม่มีผู้ใดหวาดกลัวซ่างกวนซวี่แม้แต่คนเดียว
“การฝึกของข้าเข้มงวดมาก และยังไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าเคยพบเห็นหรือเรียนรู้มาก่อนแน่นอน การฝึกของข้าจะต่างออกไป หากพวกเจ้าคนใดทนไม่ไหวก็ให้ออกไปซะ ไปยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชั้นเรียนก่อนจะสาย เพราะถ้าหากสอบตกเกินสามครั้งพวกเจ้าก็มีโอกาสจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนสูงมาก และจงอย่าร้องรอความเมตตา เพราะข้าจะไม่มีความเห็นใจใด ๆ ทั้งสิ้น !”
วาจาที่ออกมาจากปากของซ่างกวนซวี่ทำให้ทุกคนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหล่านักเรียนหน้าใหม่แห่งชั้นเรียนอาจารย์สุดโหดหันมามองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น ตั้งแต่แรกเข้าโรงเรียนรวมถึงตอนเลือกชั้นเรียนทุกคนก็ตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็จะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด
“ดี วันนี้เป็นชั้นเรียนแรกของข้า และบทเรียนที่เราจะได้เรียนกันในเดือนนี้ก็คือ — การฝึกฝนสมรรถภาพ”
ซ่างกวนซวี่กวาดสายตามองนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนก่อนที่จะพยักหน้าพึงพอใจ
เมื่อได้ยินคำว่าฝึกฝนสมรรถภาพจากปากของอาจารย์ที่ปรึกษา ฉินอวี้โม่ก็เริ่มรู้สึกเอะใจ ‘การฝึกสมรรถภาพที่ว่านี้คงจะไม่เหมือนกับการฝึกที่นางเคยทำในชีวิตก่อนหรอกใช่ไหม ?’
ราวกับล่วงรู้ความคิดของฉินอวี้โม่ อาจารย์ซ่างกวนซวี่ตอบคำถามนั้นด้วยวาจาต่อมาของเขา “บทเรียนแรกก็คือจางหม่าปู้*!”
*扎马步 จางหม่าปู้ คล้ายกับการทำท่าเก้าอี้ลม
เมื่อกล่าวจบท่านอาจารย์ผู้เข้มงวดก็แสดงท่านั้นให้เรียนทุกคนดูพร้อมกับอธิบายหลักการและจุดประสงค์ของการฝึกร่างกายด้วยการทำท่าทางเช่นนี้ “ท่านี้เรียกว่าจางหม่าปู้ เป็นท่าฝึกขั้นพื้นฐานในชั้นเรียนของข้า บทเรียนนี้ของข้านั้นง่ายมาก ในหนึ่งสัปดาห์ต่อไปนี้ พวกเจ้าจะต้องอยู่ในท่านี้ให้ได้ไม่ต่ำกว่าสองชั่วยาม หากพวกเจ้าทำไม่ได้ก็ถือว่าพวกเจ้าสอบตกในบทเรียนแรก !”
“คุณหนู นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านเคยสอนข้าก่อนหน้านี้หรอกหรือ?”
เสี่ยวโร่วกระซิบที่ข้างหูของฉินอวี้โม่ การฝึกฝนลักษณะเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สาวใช้น้อยเคยถูกคุณหนูของนางเคี่ยวเข็ญให้ทำมาก่อน ดังนั้นแล้วแม้ว่าร่างกายของเสี่ยวโร่วจะบอบบาง ทว่าสมรรถภาพทางร่างกายของสาวน้อยก็ถือว่าดีเยี่ยม สำหรับเสี่ยวโร่วแล้ว การทำท่าจางหม่าปู้สองชั่วยามนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
“เหมือนว่าจะใช่ ข้าก็ไม่แน่ใจว่าบทเรียนต่อ ๆ ไปจะเหมือนกับที่ข้าสอนเจ้าหรือไม่”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเคยผ่านการฝึกฝนแบบนี้มาแล้วในชีวิตก่อน และเพราะเคยทำเช่นนี้มานักต่อนัก อดีตสาวนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 จึงไม่อยากจะฝึกอีก ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจจะเข้าไปปรึกษากับอาจารย์ซ่างกวนซวี่เพื่อขอใช้เวลาช่วงแรกนี้เพื่อฝึกฝนในหอคอยวิญญาณแทน
“ต่อไปเราจะเริ่มกันแล้ว หากใครมีคำถามก็รีบพูดออกมาตอนนี้”
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยคำถาม ซ่างกวนซวี่ก็พยักหน้าแล้วสั่งให้นักเรียนทุกคนเตรียมตัวบนลานฝึก
เหล่านักเรียนหน้าใหม่แห่งชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนทำท่าเก้าอี้ลมตามแบบที่ผู้เป็นอาจารย์แสดงให้ดูเมื่อครู่โดยพร้อมเพรียง
ทว่าในตอนนั้นเองที่ซ่างกวนซวี่มองเห็นฉินอวี้โม่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างช้า ๆ
“นักเรียนฉินอวี้โม่มีคำแนะนำอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นนักเรียนหน้าใหม่ผู้โด่งดังในชั่วข้ามคืนเดินเข้ามาใกล้ ซ่างกวนซวี่ก็เอ่ยถาม ในเวลานี้อาจารย์ผู้เข้มงวดยอมรับเลยว่าเขาเองก็สนใจในตัวนักเรียนผู้นี้อยู่ไม่น้อยเลย
“อาจารย์ซ่างกวน ข้ามีเรื่องอยากจะถาม บทเรียนต่อไปของอาจารย์คือวิ่งแบกน้ำหนัก ยืนจ้านจวง และเอาตัวรอดยามค่ำคืน ใช่หรือไม่ ?”
“ถูกต้อง แต่เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ?”
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ ซ่างกวนซวี่ก็ประหลาดเป็นอย่างมาก ‘เหตุใดแม่นางน้อยผู้นี้ถึงได้รู้ถึงบทเรียนต่อไปที่เขาจะสอนได้เล่า ?’ ต้องทราบก่อนว่าซ่างกวนซวี่เพิ่งจะมารับหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผู้สอนในชั้นเรียนสามัญให้กับนักเรียนเข้าใหม่เป็นปีแรก แม้ว่าทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้จะทราบถึงความเข้มงวดในการสอนของเขาดี แต่ก็ย่อมไม่มีผู้ใดรู้อย่างแน่นอนว่าเขาจะสอนสิ่งใดในชั้นเรียนสามัญ
“เพราะว่าข้าฝึกมันมาตั้งแต่เล็ก ๆ มีคนผู้หนึ่งออกแบบการฝึกฝนเช่นนี้ให้ข้าได้ฝึกร่างกายในทุก ๆ วัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบกว้าง ๆ ในชีวิตก่อน การฝึกร่างกายในลักษณะนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันของนางด้วยซ้ำ
.