คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1118 ตระกูลหมิง
ภายในเรือนของเยี่ยหลิงซี ฉินอวี้โม่และสหายขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวไปที่นั่นด้วยกัน
เวลานี้เยี่ยซีกำลังยุ่งอยู่กับการสืบความจริงเรื่องเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกและไม่มีเวลาจับตาดูพวกนาง ผู้พิทักษ์สองคนหน้าประตูก็ถูกเรียกกลับไปแล้วเช่นกันและพวกนางสามารถเดินท่องไปรอบบริเวณเขตที่พักได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ผู้ใดสงสัยอีกต่อไป
“อวี้โม่ เราได้ข่าวเรื่องพี่สะใภ้ของเจ้ามาแล้ว”
เยี่ยหลิงซีขมวดคิ้วเป็นปมและเห็นได้ชัดว่า ‘ข่าว’ ที่นางทราบมามิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าพี่สะใภ้ของเจ้าและเยี่ยซาจะถูกคนของตระกูลหมิงจับตัวไป”
‘ตระกูลหมิง’ คือตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทรงพลังอย่างมากและเต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง แม้ตระกูลเยี่ยจะเป็นตระกูลระดับหนึ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับตระกูลหมิง พวกเขาก็เป็นได้เพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่ไร้พลังเท่านั้น
แม้ก่อนหน้านี้เยี่ยชางไห่จะถือเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยมาตลอด ทว่าในตระกูลหมิง ผู้ที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเยี่ยชางไห่ก็มีอยู่มากมายจนไม่สามารถนับได้ด้วยสองมือด้วยซ้ำ
“ตระกูลหมิงกับตระกูลที่ทำลายตระกูลฝั่งมารดาของศิษย์พี่เป็นตระกูลเดียวกันใช่รึไม่เจ้าคะ?”
ฉินอวี้โม่คาดเดาในใจว่าตระกูลหมิงไม่มีทางจับตัวเยี่ยซาและฉินเหยียนไปโดยไม่มีเหตุผลแน่ ความเป็นไปได้มากที่สุดคือพวกเขาเหล่านั้นคงจะทำเพราะคาดบาดหมางในอดีต
การจับตัวฉินเหยียนในครานี้เกรงว่าเป็นเพราะพวกเขาต้องการใช้นางเป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับให้ฉินเฟิงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของพวกเขา
“ใช่ ตระกูลเดียวกัน”
เยี่ยหลิงซีพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวตอบอย่างจนปัญญา
ในอดีต ตระกูลฝั่งมารดาของเยี่ยเฟิงเป็นหนึ่งในตระกูลระดับหนึ่งในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่อ่อนแอไปกว่าตระกูลเยี่ย ทว่าคนเหล่านั้นถูกตระกูลหมิงทำลายไปอย่างสิ้นซาก เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งของตระกูลหมิงน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
“ข่าวที่ข้าได้รับมาคือหลังจากเยี่ยซาพาตัวฉินเหยียนมาถึงโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็พบกับคนของตระกูลหมิงในระหว่างทาง เราไม่ทราบเลยว่าตระกูลหมิงทราบเรื่องพวกเขาได้อย่างไร ทว่าในตอนนั้นพวกเขาก็จับตัวเยี่ยซา ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ไปทันที ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเขา เราก็ไม่ทราบแม้แต่น้อย ตระกูลหมิงทรงอำนาจเกินไปและเราไม่กล้าบุกรุกเข้าไปอย่างบุ่มบ่ามสิ้นคิด”
ก่อนหน้านี้คนตระกูลเยี่ยไม่มีเวลาสืบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทว่าเมื่อได้รับคำยืนยันจากฉินอวี้โม่ในครานี้ การสืบข่าวทีละเล็กทีละน้อยก็นำไปสู่เบาะแสที่สำคัญในที่สุด
หากให้ความสำคัญตั้งแต่ต้น พวกนางคงทราบเรื่องราวเหล่านี้ไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ทราบเรื่องนี้มาก่อน พวกนางก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อขัดขวางตระกูลหมิงได้เลย
พลังอำนาจของคนเหล่านั้นแกร่งกล้าจนเกินไปและตระกูลเยี่ยก็ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากตระกูลอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกนางทำเช่นนั้นและไปที่ตระกูลหมิงจริง คนตระกูลหมิงก็ไม่มีทางส่งตัวพวกเขาคืนมาอย่างแน่นอน ซึ่งความพยายามทั้งหมดก็มีแต่จะสูญเปล่า…
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เราอย่าเพิ่งทำสิ่งใดบุ่มบ่ามกันเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อตระกูลหมิงจับตัวพี่สะใภ้ไป พวกเขาจะต้องมีแผนการบางอย่างเป็นแน่ เมื่อศิษย์พี่ออกมาจากดินแดนต้องห้าม เขาจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะจัดการกับตระกูลหมิงอย่างไรและจะเดินทางไปที่นั่นหรือไม่ จากนั้นเราจะได้ทราบว่าพวกเขาต้องการสิ่งใดกันแน่”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งทว่าไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ของตระกูลหมิงได้เลย เพราะเหตุนั้นนางจึงปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว
นางมั่นใจว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิงและฉินเหยียนไม่มีทางที่จะดึงดูดความสนใจของตระกูลหมิงได้และไม่อาจเป็นภัยต่อคนเหล่านั้น การที่ตระกูลหมิงจับตัวฉินเหยียนไปจะต้องเป็นเพราะมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่
“เราก็คิดเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ข้าพยายามติดต่อกับคนของเราในตระกูลหมิงแล้ว หากมีข่าวใด เราจะได้ทราบอย่างทันท่วงที”
เยี่ยหลิงซีพยักศีรษะเบา ๆ เดิมทีพวกนางก็วางแผนไว้เช่นเดียวกัน
ในตระกูลหมิงมีคนของตระกูลเยี่ยที่แอบแฝงตัวอยู่เช่นกัน เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นมีสถานะที่ไม่สูงนักและไม่ได้รับความสำคัญมากจนเกินไป พวกเขาเป็นเพียงตัวตนที่ต่ำต้อยในตระกูลหมิงและไม่สามารถสืบข่าวสำคัญ ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีเส้นสายอยู่ที่นั่น คนตระกูลเยี่ยก็มีโอกาสสืบหาข่าวได้มากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหมิงจะต้องมีแผนการบางอย่างจึงได้จับตัวฉินเหยียนไปและมันจะต้องมิใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรคนของตระกูลเยี่ยก็จะต้องสืบหาเบาะแสมาได้บ้าง
ในเมื่อทราบแล้วว่าฉินเหยียนอยู่ที่ใด ตอนนี้ทุกคนก็สามารถจัดการเรื่องภายในตระกูลเยี่ยได้อย่างวางใจมากขึ้น
ปัญหาความวุ่นวายภายในตระกูลเยี่ยยังไม่ได้รับการสะสาง หากไปที่ตระกูลหมิงในตอนนี้ มันก็มีแต่จะทำให้ปัญหาของพวกนางทวีคูณมากขึ้น
“เยี่ยไป๋เหมยค้นพบแล้วว่าเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกที่เขาได้ไปเป็นของปลอม ตอนนี้เยี่ยซีก็ส่งคนไปที่เมืองฝู่ฮว๋าเพื่อสำรวจอีกคราและส่งคนไปที่จวนตระกูลไป๋เพื่อสอบถามหาความจริงจากไป๋เสี่ยวหลง เราไม่ต้องกังวลเรื่องตระกูลไป๋และในซากปรักหักพังก็ไม่มีเบาะแสใดให้พวกเขาสำรวจได้ คาดว่าเมื่อคนเหล่านั้นกลับมาถึงที่ตระกูลเยี่ย เยี่ยไป๋เหมยคงจะเริ่มลงมือตามแผน ทว่าก่อนที่จะถึงตอนนั้น เราจะต้องตามหาศิษย์พี่ให้พบก่อน”
ฉินอวี้โม่ลองคาดการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
สาเหตุที่เยี่ยไป๋เหมยยังไม่ลงมือในตอนนี้ก็เป็นเพราะต้องการรอให้เยี่ยชางไห่ตายไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เยี่ยชางไห่ได้รับหัวใจต้นโพธิ์จากฉินอวี้โม่ไปแล้วและสัญญาณชีพก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมา แม้ความตายของเขาจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่เยี่ยชางไห่ก็จะไม่ฟื้นสติขึ้นมาเช่นกัน เพราะเหตุนั้น หากต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูล เยี่ยไป๋เหมยจะต้องเริ่มลงมือโดยเร็ว
มิเช่นนั้น เมื่อเยี่ยชางไห่ฟื้นขึ้นมา เขาจะไม่มีโอกาสอีกเลย
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ เขาก็คงจะยืนยันสถานการณ์ในปัจจุบันของเยี่ยชางไห่ได้แล้วและเพียงรอการกลับมาของคนที่ถูกส่งไปยังเมืองฝู่ฮว๋าและจวนตระกูลไป๋
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ฉินอวี้โม่และทุกคนก็มีเวลาอีกไม่มากนัก…
“เสี่ยวอวี้โม่ เตรียมตัวเถอะ พวกเราจะส่งเจ้าไปที่ดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยในวันพรุ่งนี้”
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงมองหน้ากันเล็กน้อยขณะตระหนักถึงเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ อย่างไม่ลังเล เมื่อถึงตอนนั้น นางเพียงต้องสั่งให้มารยาปลอมตัวเป็นตนเองและอยู่กับอวิ๋นซื่อเทียนในขณะที่ตนเข้าไปในดินแดนต้องห้ามเพื่อตามหาศิษย์พี่ เวลานี้นางเพียงหวังว่าสถานการณ์ของฉินเฟิงจะไม่เลวร้ายเกินไป
หลังจากพักผ่อนหนึ่งวัน มารยาก็แปลงกายเป็นรูปลักษณ์ที่ฉินอวี้โม่ปรับเปลี่ยนเมื่อเข้ามาในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ฉินอวี้โม่คืนรูปลักษณ์เดิมของตนและสวมอาภรณ์บุรุษจนดูเหมือนบุรุษหนุ่มรูปงามในช่วงวัยยี่สิบปี จากนั้นนางก็ติดตามเยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงเพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย
ทางเข้าของดินแดนต้องห้ามอยู่ในเขตที่พักของเยี่ยชางไห่ ภายในเรือนของเยี่ยชางไห่มีห้องต่าง ๆมากกว่าหลายสิบห้องและเส้นทางไปสู่ดินแดนต้องห้ามก็ตั้งอยู่ในห้องหนังสือของเขาซึ่งมีการคุ้มกันโดยผู้อาวุโสสูงสุดสองคน นอกเหนือจากทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยก็ไม่มีผู้ใดที่จะก้าวเข้าไปข้างในนั้นได้ ยกเว้นว่าจะมีเหตุจำเป็นจริง ๆ
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงก็นำทางฉินอวี้โม่ตรงไปยังห้องหนังสืออย่างโจ่งแจ้งและไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังสิ่งใด
“ท่านลุงทั้งสอง เราต้องการจะส่งคนเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ไม่ทราบว่าท่านจะเปิดประตูของดินแดนต้องห้ามให้เราได้รึไม่ ?”
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ เยี่ยหลิงซีก็กล่าวแสดงจุดประสงค์ออกไปทันทีและแนะนำฉินอวี้โม่ให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองก็เป็นผู้ที่ยืนเคียงข้างเยี่ยชางไห่มาตลอดและเป็นคนที่ไว้วางใจได้ เพราะเหตุนั้น พวกนางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใดจากพวกเขา
“ศิษย์น้องของเยี่ยเฟิงอย่างนั้นรึ ? นางดูมีพรสวรรค์มากทีเดียว”
ผู้อาวุโสทั้งสองมองฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณาและยิ้มให้กับนางอย่างไม่มีทีท่าเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ
“ตอนนี้อาการของท่านผู้นำเป็นอย่างไรบ้างรึ ?”
ในขณะที่เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ทั้งสองก็ถ่ายทอดพลังมายาเข้าไปเพื่อเปิดเส้นทางไปสู่ดินแดนต้องห้าม
“เสี่ยวอวี้โม่มอบหัวใจต้นโพธิ์ให้กับท่านพ่อและช่วยให้อาการของเขาคงที่เป็นการชั่วคราว ทว่าจะยื้อเวลาได้เพียงสามปีเท่านั้น หากสามารถรวบรวมวัตถุดิบและหลอมโอสถนิพพานขึ้นมาได้สำเร็จในช่วงสามปีนี้ ท่านพ่อก็จะปลอดภัย”
เยี่ยหลิงซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้งในการกระทำของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน ทว่าสิ่งที่นางกล่าวออกไปก็เป็นความจริงทุกประการ
“หัวใจต้นโพธิ์อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หัวใจต้นโพธิ์’ สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองก็แสดงความประหลาดใจทันที ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นพฤกษาในตำนานและแทบไม่เคยมีใครในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเห็นมันมาก่อน ไม่คิดเลยว่าแม่นางจากต่างแดนผู้นี้จะมีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่นัก อย่างไรก็ตาม โชคดีที่นางมาที่นี่ มิเช่นนั้นผู้นำตระกูลเยี่ยคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
“เอาล่ะ เชิญเข้าไปได้”
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น กลไกของเส้นทางไปสู่ดินแดนต้องห้ามก็ถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองก่อนก้าวเข้าไปในเส้นทางที่มืดมิดตรงหน้า