คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1120 ผู้อาวุโสใหญ่เริ่มเคลื่อนไหว
ณ โลกภายนอก ตอนนี้เวลาผ่านมาสิบวันแล้ว
ในช่วงสิบวันนี้ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ มากนัก
อาการของเยี่ยชางไห่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน แม้ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ทว่าลมหายใจของเขาก็มั่นคงมากขึ้นและมั่นใจได้ว่าชีวิตของเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายในอนาคตอันใกล้นี้
ทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยทั้งหมดต่างก็โล่งใจไปตาม ๆ กันและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจนมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม สีหน้าของทุกคนในฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่เยี่ยไป๋เหมยที่มักมีใบหน้าสงบนิ่งและผ่อนคลายก็แทบไม่เผยรอยยิ้มให้เห็นอีกต่อไป สีหน้าของเขากลายเป็นมัวหมองและมืดมนตลอดทั้งวันซึ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากคนที่เยี่ยซีส่งไปสำรวจซากปรักหักพังนอกเมืองฝู่ฮว๋าและจวนตระกูลไป๋เดินทางกลับมา สีหน้าของเยี่ยชางไห่ก็เหยเกยิ่งขึ้นไปอีก
ในซากปรักหักพังของต้นไม้โลกมีเมล็ดพันธุ์เพียงเมล็ดเดียวจริง ๆ และคนตระกูลไป๋ก็ไม่ได้ใช้กลอุบายใดแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าหลังจากที่เสียแรงและเสียเวลาไปมาก สิ่งที่เขาได้ครอบครองมากลับเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ที่ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นแล้วเยี่ยไป๋เหมยจะมีสีหน้าระรื่นอยู่ได้อย่างไร ?
กอปรกับอาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ของเยี่ยชางไห่ซึ่งทำให้แผนการเดิมของเขาได้รับผลกระทบโดยตรง ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่จึงลังเลใจยิ่งกว่าเดิม
“เราไว้ใจคนพวกนั้นได้หรือไม่ ?”
เมื่อนึกถึงคณะของฉินอวี้โม่ที่ยอมจำนนต่อเยี่ยซี ผู้อาวุโสใหญ่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมา เมื่อประจันหน้ากับเยี่ยซีในตอนแรก พวกนางไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไป๋เสี่ยวหลง แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงยอมจำนนต่อเยี่ยซีอย่างง่ายดายเช่นนี้ ?
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้ามอบโอสถพิษให้กับหัวหน้ากลุ่มเพื่อควบคุมพวกนางแล้ว ต่อให้นางจะมีฝีมือมากเพียงใด นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของข้าแน่ !”
เยี่ยซีไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อย ยาถอนพิษสำหรับโอสถที่เขามอบให้กับฉินอวี้โม่อยู่ในมือของเขาและเยี่ยไป๋เหมยเพียงสองคนเท่านั้น ในเมื่อฉินอวี้โม่กลืนกินโอสถพิษนั้นไปแล้ว นางก็ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างไร้เงื่อนไข หากพบการกระทำผิดใดแม้เพียงเล็กน้อย เยี่ยซีก็สามารถปล่อยให้นางตายไปโดยที่ไร้หลุมฝังศพได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
เยี่ยไป๋เหมยยังคงสังหรณ์ใจอย่างประหลาด ทว่าเขาก็ทราบถึงคุณสมบัติของโอสถพิษนั้นดีกว่าใคร ก่อนหน้านี้แม้แต่ผู้หลอมโอสถฝีมือดีอันดับต้น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถหลอมยาถอนพิษออกมาได้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงมั่นใจว่าฉินอวี้โม่และสหายไม่มีทางถอนพิษได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับสภาวะร่างกายพิเศษที่สามารถต่อต้านพิษได้ทุกรูปแบบนั้น เยี่ยไป๋เหมยก็ไม่เคยเอะใจถึงเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่เช่นตัวเขาก็ยังต้องหวาดหวั่นต่อคุณสมบัติของโอสถดังกล่าวหากกลืนกินมันโดยบังเอิญ ร่างกายของเขาก็คงไม่มีทางต้านทานมันได้แน่
“ท่านอาจารย์ เราจะเริ่มลงมือกันเมื่อใดขอรับ ?”
เยี่ยซีอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ สถานการณ์ของตระกูลเยี่ยในปัจจุบันนี้อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขาไปมากแล้ว หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หากเยี่ยชางไห่ฟื้นขึ้นมา ในตระกูลเยี่ยจะไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาอาศัยอยู่อีกต่อไป
“เจ้าออกไปแจ้งทุกคนให้เตรียมความพร้อมได้”
เยี่ยไป๋เหมยลังเลอยู่เป็นเวลาหลายวัน ทว่าในเวลานี้เขาก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
ในเมื่อเขาเริ่มต้นแผนการไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกต่อไป ไม่ว่าเยี่ยชางไห่จะฟื้นขึ้นมาหรือไม่และไม่ว่าสถานการณ์ของตระกูลเยี่ยจะเป็นอย่างไรต่อไป พวกเขาก็ไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้อีก
แม้อาการของเยี่ยชางไห่จะคงที่แล้ว เขาก็ไม่มีทางที่จะฟื้นขึ้นมาในตอนนี้ เพราะเหตุนั้น เยี่ยไป๋เหมยจึงต้องการฉวยโอกาสช่วงนี้เพื่อโค่นล้มอำนาจของตระกูลเยี่ยและควบคุมเสียเอง ต่อให้จะกำจัดทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยไม่ได้ทั้งหมด ทว่ากว่าที่เยี่ยชางไห่จะฟื้นขึ้นมา ในตอนนั้นทุกอย่างก็จะเข้าที่แล้วและเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก
“ขอรับท่านอาจารย์”
เยี่ยซีพยักศีรษะพร้อมรอยยิ้มกว้างและเริ่มเตรียมตัวทันที เพียงคิดว่าตนจะได้เป็นศิษย์เอกของตระกูลเยี่ยในไม่ช้า เขาก็แทบกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
เขาออกไปแจ้งทุกคนที่อยู่ในฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่อย่างรวดเร็วและตรงไปยังเรือนที่พักของฉินอวี้โม่
ภายในเรือนที่พักของฉินอวี้โม่และสหาย อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆกำลังพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ
นับตั้งแต่ที่ฉินอวี้โม่เข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบวันแล้วและพวกนางก็ไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ข้างในนั้นเป็นอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น คาดการณ์ได้ว่าเยี่ยไป๋เหมยและทุกคนในฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่คงจะเริ่มลงมือกันในช่วงหลายวันนี้และไม่อาจทราบได้เลยว่าฉินอวี้โม่จะพาฉินเฟิงกลับมาได้ทันเวลาหรือไม่
“เป็นอย่างไรบ้าง ? พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่สบายดีรึไม่ ?”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ทุกคนก็หยุดการหารือกันโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือเยี่ยซี อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็เพียงมองหน้ากันเล็กน้อยและคาดเดาบางอย่างได้ทันที
อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าและยืนขึ้นโดยที่ยังคงแสดงท่าทีนอบน้อมไม่เปลี่ยนแปลง
“สุขสบายมาก คนตระกูลเยี่ยทั้งสุภาพและปฏิบัติต่อพวกเราเป็นอย่างดี ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะคุณชายเยี่ยซีกำชับไว้อย่างแน่นอน”
มารยาที่แปลงกายเป็นฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ โดยไม่เผยให้เห็นถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี ทว่าพวกเจ้าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรกับข้ามากนัก ในเมื่อพวกเจ้ายอมจำนนต่อข้าแล้ว ข้าก็จะคอยส่งเสริมพวกเจ้า ต่อไปจะเป็นโอกาสให้พวกเจ้าได้แสดงฝีมือ พวกเจ้าต้องทำผลงานให้ดีที่สุดล่ะ !”
เยี่ยซีนั่งลงและกวาดสายตามองคนทั้งสี่ก่อนกล่าวถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสใหญ่กำลังจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล
แน่นอนว่าเขาไม่กล่าวว่าเยี่ยไป๋เหมยเป็นฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มอำนาจและยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลไป หากแต่เยี่ยไป๋เหมยเป็นผู้ที่คู่ควรได้รับตำแหน่งนั้นอย่างชอบธรรมอยู่แล้ว
“ตำแหน่งผู้นำตระกูลควรจะเป็นของผู้อาวุโสใหญ่ที่เรารับใช้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เยี่ยชางไห่ใช้วิธีที่สกปรกและไร้ยางอายในการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไป ทว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็ทนอยู่เฉยมานานหลายปีและตอนนี้เขาเพียงต้องการทวงคืนสิ่งที่เป็นของตนเอง เราทุกคนไม่ต้องกังวลหรือกดดันสิ่งใดเลย”
“เยี่ยชางไห่ช่างเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจจริง ๆ !”
อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ไม่มีทางกล่าวสิ่งใดที่เป็นการคัดค้านความคิดของเยี่ยซีและพวกนางให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ขณะแสดงละครว่าชิงชังผู้นำตระกูลเยี่ยอย่างที่สุด
“แสดงฝีมือให้เต็มที่ล่ะ หากผลงานของพวกเจ้าเป็นที่น่าพอใจ พวกเจ้าอาจจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษย์น้องของข้า”
เยี่ยซีพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจและกล่าวทิ้งท้ายก่อนออกจากเรือนที่พักของพวกนาง
“เหอะ หน้าไม่อายเลยจริง ๆ คนที่พูดเรื่องการแย่งชิงอำนาจของคนอื่นได้อย่างชอบธรรมเช่นนี้คงจะมีเพียงคนของผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น”
อวิ๋นซื่อเทียนมองตามแผ่นหลังของเยี่ยซีและกล่าวด้วยสีหน้าที่รังเกียจเดียดฉันท์ นางชิงชังบุคคลที่กระทำความผิดแต่สรรหาคำพูดสวยหรูมาทำให้ตนเองดูถูกต้องเช่นนี้เป็นที่สุด
“รอก่อนเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็ไม่ต้องทนเก็บความชิงชังนี้ไว้อีกต่อไป”
เซิ่งเซียวแตะมืออวิ๋นซื่อเทียนเบา ๆ และหวังในใจว่าฉินอวี้โม่จะพาฉินเฟิงกลับมาโดยเร็ว
เพราะถึงอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาและทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ย เกรงว่าพวกเขาคงจะถ่วงเวลาได้เพียงไม่นานนัก…
ณ เรือนของเยี่ยชางไห่ เยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ ก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน
“เกรงว่าผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ กำลังจะลงมือแล้ว…”
เยี่ยหลิงซีขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ต่อให้ทราบว่าเยี่ยไป๋เหมยกำลังจะทำสิ่งใด พวกนางก็ไม่มีวิธีตอบโต้ที่ดีมากพอ
หัวใจต้นโพธิ์ของฉินอวี้โม่ทำได้เพียงประคองอาการให้เยี่ยชางไห่มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นและไม่สามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้เลย
ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเยี่ยเหล่านั้นจะอยู่ในฝ่ายเดียวกับเยี่ยชางไห่ ทว่าการที่จะให้พวกเขาเข้าร่วมความขัดแย้งภายในของตระกูลเยี่ย ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็คงไม่เต็มใจอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น โอกาสเดียวของคนเหล่านี้คือการที่เยี่ยเฟิงสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษมาได้และกลับมาโดยเร็ว เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจึงจะมีโอกาสต่อสู้กับเยี่ยไป๋เหมยได้
“บางทีเราควรจะติดต่อตระกูลไป๋ไป”
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เยี่ยหลิงซีก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ฉินอวี้โม่เคยบอกกับพวกนางไว้ก่อนหน้านี้ว่าพวกนางอาจจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกเพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อนได้
ขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ไม่มีทางเข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งภายในของตระกูลเยี่ยอย่างแน่นอน ทว่าตระกูลไป๋แตกต่างออกไป
หากไป๋เสี่ยวหลงสามารถพาคนตระกูลไป๋มาช่วยได้ อย่างน้อยเยี่ยหลิงซีและทุกคนก็จะยื้อเวลาไว้ได้สักระยะ เมื่อถึงตอนนั้น พวกนางเพียงต้องรอจนกระทั่งฉินอวี้โม่และฉินเฟิงกลับออกมาจากดินแดนต้องห้าม…