คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1126 จัดการกับเยี่ยไป๋เหมย
เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในเมืองฝู่ฮว๋าก่อนหน้านี้ ไป๋เสี่ยวหลงรู้สึกผิดที่ไม่แสดงตัวปกป้องฉินอวี้โม่และสหายเพราะไม่ต้องการผิดใจกับตระกูลเยี่ย ทว่าครานี้เขาให้คำมั่นกับนางไว้แล้วว่าจะช่วยถ่วงเวลาอย่างสุดความสามารถและเขาไม่มีทางผิดคำพูดอย่างแน่นอน หากหันหลังให้กับพันธมิตรในยามคับขันเพียงเพราะห่วงชีวิตของตนเอง เมื่อผู้อื่นรู้เขา เกรงว่าเขาอาจจะถูกประจานเอาได้
ไป๋เสี่ยวหลงไม่คิดว่าตนเป็นผู้แกร่งกล้าหรือมีอำนาจมากนัก เพียงแต่เขามีหลักอุดมการณ์ที่หนักแน่นมั่นคง
“ตระกูลไป๋ทุกคนฟังข้า พวกเจ้าจงถอยออกไปก่อนและอย่าเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ หากข้าตายไป ผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลเราจะร่วมกันเสนอชื่อผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลไป๋คนใหม่ !”
ไป๋เสี่ยวหลงเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับจุดจบที่เลวร้ายที่สุดของตนไว้แล้วและออกคำสั่งกับคนตระกูลไป๋อย่างหนักแน่น
“ท่านผู้นำขอรับ เราทุกคนมิใช่คนรักตัวกลัวตาย ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะช่วยเยี่ยหลิงซีและคนตระกูลเยี่ย เราก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด ต่อให้เราต้องตายอยู่ที่นี่ไปด้วยกัน มันก็มิใช่เรื่องสำคัญ หากจะให้ถอยหนีเอาตัวรอดไปก่อน พวกเราทำไม่ได้ !”
ทัศนคติของสมาชิกตระกูลไป๋ก็แน่วแน่เด็ดขาดเช่นกันและพวกเขามิใช่คนรักตัวกลัวตายที่จะยอมถอยเพื่อเอาตัวรอด เว้นแต่ว่าเยี่ยไป๋เหมยจะสังหารพวกเขาทุกคน คนตระกูลไป๋ก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเราก็จะร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน !”
ไป๋เสี่ยวหลงพยักศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยิ้มให้กับสมาชิกตระกูลไป๋และสลัดความคิดก่อนหน้านี้ออกไปอย่างสิ้นเชิง
เยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ ก็ล้วนเดินเข้ามายืนเคียงข้างไป๋เสี่ยวหลง พวกเขาจะจดจำบุญคุณของไป๋เสี่ยวหลงในครานี้ไว้ในใจพลางคิดว่าหากผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ พวกเขาจะมองตระกูลไป๋เป็นมิตรแท้ของพวกเขาและไม่มีวันมีเรื่องบาดหมางใจกับตระกูลไป๋อย่างแน่นอน
“เหอะ ในเมื่อรนหาที่ตายกันนัก ข้าก็จะสนองให้ !”
เยี่ยไป๋เหมยแค่นเสียงเย็นชาและจิตสังหารรุนแรงฉายชัดในแววตา เขาไม่ยั้งมือแม้แต่น้อยขณะตรงเข้าโจมตีเยี่ยหมิงและไป๋เสี่ยวหลงด้วยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
“ทุกคน สู้กันให้เต็มที่และไม่ต้องมานึกเสียใจในภายหลัง !”
ไป๋เสี่ยวหลงและทุกคนมองหน้ากันก่อนแสดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ออกมาพร้อมกันเพื่อต้านทานการโจมตีของเยี่ยไป๋เหมยไว้
ตูมมม !
ด้วยเสียงดังสนั่น กระบวนท่าโจมตีของเยี่ยไป๋เหมยก็ทำลายการโจมตีทั้งหมดไปและพุ่งตรงไปที่เยี่ยหมิง ไป๋เสี่ยวหลงและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วโดยที่แอบแฝงไปด้วยพลังที่รุนแรงพอจะทำลายล้างทุกอย่างตรงหน้า
พลังในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริงและไม่มีทางเลยที่จอมยุทธ์ผู้มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์จะรับมือได้
“เหอะ วางมาดใหญ่โตเสียจริง !”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคนและราวกับว่าการโจมตีของผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ยชะงักค้างโดยที่มิอาจเคลื่อนที่ไปชั่วขณะ กระบวนท่าที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างของเขาหยุดลงตรงหน้าไป๋เสี่ยวหลงและคนอื่น ๆ โดยที่ไม่สามารถโจมตีไปถึงตัวคนเหล่านั้นได้
เดิมทีไป๋เสี่ยวหลงและทุกคนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังรุนแรงที่พุ่งตรงเข้ามาที่พวกตน ทว่าจู่ ๆ มันก็หยุดลงโดยที่ไม่ทำอันตรายต่อพวกเขาแม้แต่น้อย
“เยี่ยเฟิง...นายน้อยเยี่ยเฟิง !”
สมาชิกตระกูลเยี่ยอุทานด้วยความประหลาดใจระคนตื่นเต้นทันทีที่เห็นฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ปรากฏตัวกลางท้องฟ้า
แม้เยี่ยเฟิงกลับมาในตระกูลเยี่ยได้เพียงไม่นาน อำนาจบารมีของเขาในตระกูลก็ถือว่าไม่น้อยเลย เขาเป็นคนอ่อนน้อมทว่ามีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่โดดเด่น อีกทั้งยังเป็นทายาทคนโปรดของเยี่ยชางไห่ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะได้รับความเคารพจากผู้คนในตระกูลเยี่ยพอสมควร
ก่อนหน้านี้เขาถูกส่งตัวไปที่ดินแดนต้องห้ามเพื่อสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษ และคนในตระกูลต่างก็ทราบเรื่องนี้กันอย่างถ้วนหน้า
เดิมทีพวกเขาสังหรณ์ใจว่าฉินเฟิงอาจจะไม่สามารถสืบทอดมรดกพลังเหล่านั้นได้สำเร็จและไม่มีโอกาสได้กลับออกมาอีก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะออกมาในตอนนี้
การที่ ‘เยี่ยเฟิง’ ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคนเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้สำเร็จแล้วและนี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับฝ่ายตระกูลเยี่ยทุกคน
“เป็นจริงอย่างที่ว่า นายน้อยเยี่ยเฟิงจริง ๆ ด้วย นายน้อยเยี่ยเฟิงออกมาแล้ว !”
สายตาของทุกคนมองตรงไปที่ร่างของฉินเฟิงเป็นตาเดียวกันทันทีและแสดงความตื่นเต้นอย่างชัดเจน ทว่าคนของฝั่งผู้อาวุโสใหญ่ต่างก็ตกตะลึงและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
สีหน้าของเยี่ยไป๋เหมยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ เยี่ยเฟิงจะปรากฏตัวเช่นนี้ !
เดิมทีเขาเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีทางสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้แน่และไม่มีทางกลับออกมา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แตกต่างจากสิ่งที่เขาคาดไว้อย่างสิ้นเชิง
ฉินเฟิงไม่เพียงแต่สืบทอดมรดกได้สำเร็จเท่านั้น ทว่ายังครอบครองพลังที่แกร่งกล้ามากถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังถึงขั้นต้านทานการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดายโดยทำให้มันสูญเสียประสิทธิภาพเดิมไป
“เหอะ ผู้อาวุโสใหญ่ดูถูกดูแคลนข้าเกินไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะถึงขั้นส่งผู้อาวุโสสูงสุดไปขัดขวางข้าไว้และรอกำจัดข้าหลังจากที่ออกมาจากดินแดนต้องห้าม ทว่าน่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นอ่อนแอเกินไป คราหน้าจงจำไว้ว่าจะต้องส่งคนที่มีฝีมือมากกว่านั้นมา สำหรับคนอ่อนแอพวกนั้น…ต่อให้ส่งมาตั้งมากมาย พวกเขาก็ทำได้เพียงสร้างความอับอายให้กับเจ้าเท่านั้น !”
ฉินเฟิงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาที่ทำให้สีหน้าของเยี่ยไป๋เหมยบิดเบี้ยวเหยเกยิ่งกว่าเดิม ความหมายของเขาก็ถือว่าชัดเจนดีและนั่นคือเขาได้จัดการคนที่ผู้อาวุโสใหญ่ส่งไปเพื่อขัดขวางตนทั้งหมดแล้ว อีกทั้งมันยังหมายความว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิงในตอนนี้บรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง…
“เอาล่ะ ถึงเวลาจบเรื่องนี้เสียที ! เยี่ยไป๋เหมย ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเยี่ย เจ้าถือเป็นคนสำคัญของตระกูลเยี่ยที่ได้ปกครองคนมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมาและท่านปู่ก็ไว้ใจเจ้ามาก น่าเสียดายที่เจ้าไม่รู้จักสำนึกและรนหาที่ตายเสียเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสนองให้ !”
ฉินเฟิงเหาะจากกลางอากาศลงสู่พื้นดินก่อนปรากฏตัวข้างเยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิง จากนั้นเขาก็โบกมือปล่อยพลังออกไปเพื่อทำให้การโจมตีของเยี่ยไป๋เหมยสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าคงทำให้ท่านทั้งสองเป็นกังวลมาก…”
เขาหันไปพยักศีรษะก่อนบอกให้ทั้งสองถอยออกไปเพื่อปรับสภาวะพลังในร่างกายให้คงที่เสียก่อน
เมื่อทั้งสองสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวในร่างของฉินเฟิง พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
“เฟิงเอ๋อร์ ระวังตัวด้วยล่ะ”
เยี่ยหมิงอดกำชับหลานชายไม่ได้ จากนั้นเขาและเยี่ยหลิงซีก็ถอยออกไปด้านข้างและถอนตัวออกจากการต่อสู้
“เหอะ อยากเห็นนักว่ามรดกสืบทอดของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยจะทรงพลังสักเพียงใด !”
เยี่ยไป๋เหมยแค่นเสียงเย็นชาและก้อนพลังมายาปรากฏในมือของเขาก่อนโยนตรงไปที่ฉินเฟิง
ด้วยความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวของเขา แม้เปรียบเทียบกับจอมยุทธ์ทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ถือเป็นจอมยุทธ์ที่เข้าใกล้ระดับหนึ่ง
เมื่อฉินเฟิงกลับมาที่ตระกูลเยี่ยในตอนแรก ความแข็งแกร่งของเขายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพยุทธ์ด้วยซ้ำ ต่อให้ได้รับมรดกจากบรรพบุรุษมา เยี่ยไป๋เหมยก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทะลวงพลังได้มากนัก
“ตามที่เจ้าปรารถนา !”
ฉินเฟิงโบกมือเล็กน้อยและปล่อยคลื่นพลังของตนเองออกไป จากนั้นก้อนพลังจากอีกฝ่ายก็สลายหายไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
พลังของเขาในตอนนี้อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์แล้วและเป็นความแข็งแกร่งที่เยี่ยไป๋เหมยไม่มีทางเอาชนะได้
แรงกดดันของเขาก็แผ่ตรงไปกดข่มเยี่ยไป๋เหมยทันทีส่งผลให้เยี่ยไป๋เหมยรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่กดทับลงมา ฝีเท้าของเขาได้รับผลกระทบอย่างหนักและเชื่องช้าลงมาก แม้แต่พลังมายาในร่างของเขาเองก็ถูกกดข่มไว้และไม่สามารถไหลเวียนออกมาได้อย่างอิสระ
“นี่มันพลังอะไรกัน ?”
เยี่ยไป๋เหมยขมวดคิ้วมุ่นทันทีขณะมองคู่ต่อสู้ด้วยแววตาที่ไม่อยากเชื่อ
ไม่มีทางที่เขาจะจินตนาการได้ว่ามรดกจากบรรพบุรุษของตระกูลเยี่ยจะสามารถทำให้ผู้ที่มีพลังไม่ถึงขอบเขตเทพยุทธ์ทะลวงพลังจนบรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ได้โดยตรง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง
“เยี่ยไป๋เหมย ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ต่อให้ยึดครองตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยไปได้ เจ้าก็ปกป้องรักษามันไว้ไม่ได้หรอก ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเป็นเพราะเหตุใด…หรือเจ้าอยากจะเห็นตระกูลเยี่ยตกต่ำลงอย่างนั้นรึ ?”
ฉินเฟิงเดินตรงเข้าไปหาเยี่ยไป๋เหมยอย่างช้า ๆ และทุกย่างก้าวของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงแรงกดดันที่รุนแรงมากขึ้น หากมิใช่เพราะจิตใจที่หนักแน่น เกรงว่าผู้อาวุโสใหญ่คงทรุดลงคุกเข่าไปแล้ว
.
.