คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1153 สภาวะติดขัดของเฟยอวิ๋น
ตลอดช่วงที่ผ่านมา วิหารเมฆาโบยบินคึกคักและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
หลังจากฉินอวี้โม่และเฟยซีทะลวงพลังได้สำเร็จ ทั้งสองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดวลฝีมือเพื่อชี้แนะศิษย์รุ่นเยาว์ของวิหารเกี่ยวกับจุดบกพร่องของพวกเขา
คนเหล่านั้นก็ได้รับประโยชน์จากการชี้แนะเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ภายในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา พลังของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่สนใจและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับข่ายอาคมและได้สอบถามข้อมูลจากฉินอวี้โม่
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่ปิดบังความจริงจากคนเหล่านั้นและชี้แนะรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ ให้กับพวกเขา
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดในวิหารเมฆาโบยบินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ศาสตร์ของข่ายอาคม คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเริ่มต้นศึกษาได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการที่จะลงมือวางข่ายคมจริง ๆ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในวิหารเมฆาโบยบินจนปัญญาเล็กน้อยทว่าเป็นสิ่งที่พอจะคาดการณ์ไว้แล้ว หากการวางข่ายอาคมเป็นสิ่งที่จะทำได้โดยง่าย ทั้งดินแดนคงจะมีผู้ใช้ข่ายอาคมอยู่มากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น จากข่าวลือที่ได้ยินต่อ ๆ กันมา ว่ากันว่ามีเพียงผู้ที่สืบทอดสายเลือดจากตระกูลผู้ใช้ข่ายอาคมเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้ศาสตร์ของข่ายอาคมจนกลายเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมได้อย่างแท้จริง ซึ่งพวกเขาก็เชื่อว่าข่าวลือนี้มีความเป็นไปได้สูง
หลังจากการดวลฝีมืออย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งปี ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็พัฒนาขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้พลังในขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราขั้นสูงสุดของนางได้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราแล้ว
และพลังในการต่อสู้ของนางก็เพิ่มขึ้นจนไม่สามารถประเมินได้ ในตอนนี้แม้ใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มี เฟยเหิงผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราก็มิใช่คู่มือของนางอีกต่อไป ในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดของวิหารเมฆาโบยบิน มีเพียงเฟยซีเท่านั้นที่พอจะประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่ได้
เวลานี้ทุกคนรวมตัวกันในลานประลองยุทธ์ของวิหารเมฆาโบยบินด้วยความพร้อมที่จะดวลฝีมือเพื่อรับการชี้แนะจากฉินอวี้โม่และเฟยซีตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การประมือจะเริ่มต้นขึ้น อวิ๋นหลิงก็เดินทางมาที่ลานประลองด้วยตัวเองและเรียกตัวฉินอวี้โม่ออกไป
“เกิดปัญหาบางอย่างกับท่านจ้าววิหารและเขาต้องการความช่วยเหลือของเจ้า”
ในขณะเดินเท้าไปยังเรือนที่พักของเฟยอวิ๋น นางก็กล่าวอธิบายกับฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เมื่อครู่ผู้อาวุโสใหญ่ได้รับคำสั่งผ่านทางกระแสจิตจากจ้าววิหารเฟยอวิ๋นเพื่อให้นางพาตัวฉินอวี้โม่ไปพบ สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ อวิ๋นหลิงก็ไม่ทราบแม้แต่น้อย เพียงแต่คาดเดาได้ว่าเฟยอวิ๋นคงจะเผชิญกับอุปสรรคบางอย่างในระหว่างการดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันและต้องการความช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใดและทั้งสองมุ่งหน้าต่อไปจนถึงเรือนของเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่มาถึงที่นี่ ทั้งสองก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แววของเฟยอวิ๋น ทว่าในไม่กี่อึดใจต่อมา อวิ๋นหลิงก็ได้รับข้อความผ่านทางกระแสจิตจากเฟยอวิ๋นเพื่อให้พาฉินอวี้โม่ตรงไปยังห้องลับ
อวิ๋นหลิงพยักศีรษะและนำตัวฉินอวี้โม่ตรงไปยังห้องลับของเรือนทันที
ภายในห้องลับแห่งนี้ เฟยอวิ๋นกำลังนั่งอยู่ตรงกลางห้องและถูกล้อมรอบไปด้วยคลื่นพลังที่ผันผวนเล็กน้อย อีกทั้งระดับอุณหภูมิภายในห้องก็สูงอย่างผิดปกติจนทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“เจ้ามาแล้ว”
เฟยอวิ๋นไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากอวิ๋นหลิงและฉินอวี้โม่ เขาไม่ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำและเพียงเอ่ยออกมาเบา ๆ
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าววิหารต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดรึเจ้าคะ ?”
เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของคลื่นพลังที่แผ่มาจากเฟยอวิ๋น อวิ๋นหลิงจึงเอ่ยถามออกไป
“เจ้าออกไปก่อน ให้ฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ออกไปคุ้มกันด้านหน้าห้องและห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาที่นี่จนกว่าข้าจะอนุญาต”
เฟยอวิ๋นผายมือเรียกฉินอวี้โม่เข้าไปใกล้ ๆ ก่อนสั่งให้อวิ๋นหลิงกลับออกไป
ผู้อาวุโสอวิ๋นหลิงก็รับคำสั่งและเดินออกจากห้องลับไปอย่างรวดเร็ว
“ฉินอวี้โม่ เจ้าได้ผลึกแสงตะวันก้อนนี้มาจากที่ใดรึ ?”
คลื่นพลังของเฟยอวิ๋นผันผวนอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าสีหน้าของเขากลับไม่เผยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่สามารถดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันได้โดยสมบูรณ์และยังหลงเหลือพลังอีกมากซึ่งมิใช่เรื่องดีเลย เพราะหากไม่สามารถดูดซับพลังเหล่านั้นจนหมด เกรงว่าอาจเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่รุนแรงขึ้นมาได้
“ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ สำหรับสถานที่ที่ได้มันมา เกรงว่าท่านคงจะไม่รู้จักมันเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ลงรายละเอียดมากนักทว่ากล่าวความจริงออกไป นางได้รับผลึกแสงตะวันนี้มาจากดินแดนระดับต่ำที่เคยไปมา สำหรับเฟยอวิ๋นที่เป็นคนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไม่เคยไปเยือนดินแดนระดับต่ำ เขาย่อมไม่รู้จักสถานที่ที่นางได้ผลึกแสงตะวันมาอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็รับรู้ได้ว่าเฟยอวิ๋นเพียงเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนักและไม่ได้จริงจังกับคำตอบ
“พลังที่อัดแน่นในผลึกแสงตะวันนี้หนาแน่นกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก เดิมทีข้าคิดว่าจะรับมือกับพลังนั้นได้ ทว่าข้าประมาทเกินไปจริง ๆ ตอนนี้ยังมีพลังของผลึกแสงตะวันเหลืออยู่อีกมากซึ่งตัวข้าต้องใช้เวลาอีกนานในการดูดซับมัน เพราะเหตุนั้น ข้าจึงเรียกเจ้ามาที่นี่เพื่อดูว่าเจ้าจะช่วยดูดซับพลังของมันได้รึไม่”
เขาระบุถึงจุดประสงค์ที่เรียกฉินอวี้โม่มาพบโดยตรง ในทั่วทั้งวิหารเมฆาโบยบินของเขาไม่มีผู้ใดที่เชี่ยวชาญในด้านพลังมายาธาตุทอง แม้มีหลายคนที่พอจะดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันได้ ทว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ยังด้อยเกินกว่าจะมีส่วนช่วยต่อเขาได้มากนัก
ก่อนหน้านี้จ้าววิหารเมฆาโบยบินก็เฝ้าสังเกตและค้นพบว่าพลังมายาของฉินอวี้โม่มีความพิเศษอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้น นางก็ควรจะดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลัง ต่อให้ดูดซับพลังเหล่านั้นไม่สำเร็จ เฟยอวิ๋นก็มั่นใจว่านางจะมีหนทางในการปิดผนึกพลังของผลึกแสงตะวันเพื่อช่วยให้เขาทะลวงพลังได้โดยเร็วที่สุด
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
ฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันที อันที่จริง ด้วยความแข็งแกร่งของเฟยอวิ๋นเพียงผู้เดียว ตราบใดที่มีเวลามากพอ เขาก็สามารถดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันได้สำเร็จอย่างแน่นอน
เพียงแต่ตระกูลหมิงก็คอยเพ่งเล็งพวกเขาอยู่ในโลกภายนอกและอาจลงมือได้ทุกเมื่อ เฟยอวิ๋นจึงมีเวลาไม่มากนัก เพราะเหตุนั้น เขาจึงต้องทะลวงพลังให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อรับมือกับผู้นำตระกูลหมิงในเวลานั้น
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเถอะเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล หากเป็นก่อนหน้านี้ที่ยังไม่สามารถทะลวงพลัง นางก็คงจะไม่กล้าดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรผลึกดังกล่าวก็เป็นวัตถุในตำนานและผู้อ่อนแอที่พยายามดูดซับพลังที่อัดแน่นภายในนั้นอาจต้องระเบิดและตายไปทันที
เวลานี้พลังมากกว่าครึ่งหนึ่งในผลึกแสงตะวันถูกเฟยอวิ๋นดูดซับไปแล้วและส่วนที่เหลืออยู่ก็อ่อนแอกว่าเดิมมาก หากฉินอวี้โม่พยายามดูดซับมัน นางจะไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน
นางนั่งขัดสมาธิบนพื้นและเริ่มดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันทันที เฟยอวิ๋นเองก็ไม่หยุดพักและดูดซับพลังต่อไปเช่นกัน
จากนั้นเวลาสามเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นเก็บตัวอยู่ในห้องลับแห่งนี้และดูดซับพลังจากผลึกแสงตะวันอยู่ตลอดเวลา ด้วยความพยายามเหล่านั้น พลังภายในผลึกจึงถูกดูดซับไปเกือบสมบูรณ์แล้วและในตอนนี้มีพลังที่หลงเหลือเพียงประมาณหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
หลังจากการดูดซับพลังอย่างยาวนาน ในที่สุดเฟยอวิ๋นก็เข้าใกล้การทะลวงพลังเต็มทีและกำลังจะบรรลุถึงระดับที่ล้ำลึกเกินกว่าที่ฉินอวี้โม่จะหยั่งถึง
“ในเมื่อตอนนี้เหลือพลังเพียงหนึ่งในสิบส่วนแล้ว ท่านจ้าววิหารก็คงจะทะลวงพลังได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนและกล่าวอำลาทันที
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นางดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันไปบางส่วนซึ่งทำให้พลังของนางพัฒนาขึ้นเช่นกัน ฉินอวี้โม่ในตอนนี้พัฒนาขึ้นมาในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดแล้วซึ่งถือเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
นอกจากจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่วิหารเมฆาโบยบินในครานี้จะบรรลุแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ได้รับผลประโยชน์มาไม่น้อยเช่นกัน ก่อนเดินทางมาที่นี่ ความแข็งแกร่งของนางอยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเท่านั้นทว่าตอนนี้กลับมีพลังถึงขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดซึ่งเป็นการพัฒนาที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง
เดิมทีนางเคยคิดว่าตัวนางจะไม่มีโอกาสเอาชนะในการประจันหน้ากับบรรดาจอมยุทธ์ผู้ทรงพลังจากตระกูลหมิง ทว่าตอนนี้นางมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้ได้แล้ว
“เข้าใจแล้ว หากมีความคืบหน้าใด เราจะรีบแจ้งข่าวไปทันที ข้าคงจะทะลวงพลังได้สำเร็จภายในเวลาไม่เกินครึ่งปี เมื่อถึงตอนนั้น เราจะพบกันอีกครั้งในโลกภายนอก”
เฟยอวิ๋นตอบกลับและทราบดีว่าสมควรแก่เวลาที่ฉินอวี้โม่จะต้องเดินทางออกจากวิหารเมฆาโบยบิน เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่คิดขัดขวางแต่อย่างใด
การต่อสู้กับตระกูลหมิงจะมาถึงในอีกไม่ช้าและนางยังต้องออกไปเตรียมความพร้อมในฝั่งของตนเองอีกพอสมควร