คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1156 ความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวโร่ว
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ฉินอี้เฟยได้เดินทางกลับมาที่ดินแดนเทพมายา
เมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อน ฉินอี้เฟยเดินทางออกจากดินแดนมหาเทพและกลับมายังดินแดนเทพมายา เขาก็ได้เล่าถึงสถานการณ์ของที่นั่นให้ทุกคนได้ทราบและบอกให้พวกเขาเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังดินแดนมหาเทพด้วยกัน
ทุกคนก็ไม่คัดค้านและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา
เมื่อสามวันก่อน ฉินอี้เฟยก็มุ่งหน้ากลับไปที่ภูมิลำเนาของเสี่ยวโร่วพร้อมกันกับเสี่ยวโร่วเนื่องจากนางมีญาติพี่น้องอยู่ที่นั่นและไม่ต้องการไปจากที่นี่โดยที่ไม่กล่าวอำลาก่อน เมื่อคำนวณจากเวลาที่ผ่านมา คาดว่าทั้งสองน่าจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้
ภายในห้องโถงใหญ่ ทุกคนนั่งลงและสลับกันเล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในดินแดนเทพมายามากนัก ทุกคนจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเก็บตัวฝึกวิชาและพัฒนาความแข็งแกร่งของตนอย่างเต็มที่
และสหายเก่าแก่ของฉินอวี้โม่ส่วนใหญ่ก็พบคู่ครองแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงที่เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันแล้ว เพียงแต่ทั้งสองก็ยังรอให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลับมาพร้อมหน้าเพื่อที่จะจัดงานเลี้ยงกันอีกครั้ง
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ ในที่สุดฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วก็กลับมาถึงที่นี่
“คุณหนู ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักในห้องโถง เสี่ยวโร่วก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
แม้เวลาผ่านมาหลายปี นางก็ยังเคยชินกับการเรียกฉินอวี้โม่ว่า ‘คุณหนู’ และไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลง ในบรรดาทุกคนที่นี่ เสี่ยวโร่วคือผู้ที่อยู่กับฉินอวี้โม่มานานที่สุดและมีความผูกพันต่อกันอย่างลึกซึ้งซึ่งไม่มีทางตัดขาดกันได้
เสี่ยวโร่วในปัจจุบันนี้ก็แตกต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เด็กรับใช้ผู้ไร้เดียงสาในอดีตได้เติบโตกลายเป็นสตรีงดงามชวนมองและมีเสน่ห์ดึงดูดเป็นพิเศษ
“พี่สะใภ้ ไม่ได้พบกันนานเลย”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและขยิบตาให้กับเสี่ยวโร่ว
“คุณหนู ใช่คุณหนูจริง ๆ ด้วย”
เสี่ยวโร่วเรียกสติกลับคืนมาและพุ่งตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วก่อนโผเข้ากอดอย่างแรง
“ฮึก~ คุณหนู ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
น้ำตาใสไหลอาบแก้มเสี่ยวโร่วโดยไม่รู้ตัว แม้เวลาผ่านมาเนิ่นนาน เมื่ออยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ นางก็ยังคงเป็นเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาและขี้แยเช่นเดิม
“เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกคนมองกันใหญ่แล้ว ตอนนี้เจ้าก็โตกลายเป็นสาวเป็นแส้แล้ว ไม่อายรึไง ?”
ฉินอวี้โม่เช็ดน้ำตาอาบแก้มของเสี่ยวโร่วพลางกล่าวอย่างจนปัญญา นางเคยกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเสี่ยวโร่วไม่ควรเรียกตนว่าคุณหนูอีกต่อไป ทว่าน่าเสียดายที่เด็กสาวผู้นี้ไม่เคยฟังและยังคงเรียกนางว่าคุณหนูเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้ารู้สึกดีใจที่ได้พบคุณหนูไม่ได้รึเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วกล่าวด้วยสีหน้าเคอะเขินเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาที่ตน ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อขึ้นมา
“เอาล่ะ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ…เจ้าถึงได้เดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาในครานี้ ?”
ฉินอี้เฟยก้าวออกไปข้างหน้าและจับมือเสี่ยวโร่วขณะเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยแววตากังวล ในตอนนี้ฉินอวี้โม่ควรจะอยู่ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าจู่ ๆ นางก็ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนเทพมายาเช่นนี้ เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าปิดบังอะไรจากพี่ใหญ่ไม่ได้เลย เกิดเรื่องบางอย่างในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ เจ้าค่ะและข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”
ฉินอวี้โม่เล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้ฉินอี้เฟยได้ฟังอย่างคร่าว ๆ และไม่ปิดบังสิ่งใดแม้แต่น้อย
“เจ้าต้องการให้ข้าติดตามเจ้ากลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อหลอมโอสถนิพพานอย่างนั้นรึ ?”
เมื่อทราบถึงจุดประสงค์ของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยก็ตอบตกลงและไม่คัดค้านสิ่งใด เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าจะพาทุกคนจากดินแดนเทพมายาไปยังดินแดนมหาเทพก่อนและจากนั้นตัวเขาก็จะออกเดินทางไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของฉินอี้เฟยก็พัฒนาขึ้นอย่างมากและพลังของเขาในตอนนี้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดแล้วซึ่งห่างจากขอบเขตเทพยุทธ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น อันที่จริง ความเร็วในการพัฒนาของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่มากนัก
“ก่อนหน้านี้ข้าได้พบกับโอกาสบางอย่างและพัฒนาจนบรรลุขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดได้สำเร็จ ข้าคิดว่าตัวข้าในตอนนี้คงจะไม่กลายเป็นภาระของเจ้าอย่างแน่นอน”
ฉินอี้เฟยกล่าวสรุปสั้น ๆ ขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอบอุ่น
“พี่ใหญ่ไม่เคยเป็นภาระของข้าเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและทราบถึงพรสวรรค์ของฉินอี้เฟยเป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่แปลกใจกับความสำเร็จในปัจจุบันของเขา พี่ใหญ่ของนางมิใช่คนที่จะยอมน้อยหน้าหรือยอมจำนนต่อผู้ใด สักวันเมื่อศักยภาพของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างเต็มที่ เขาจะต้องสั่นคลอนทุกดินแดนได้อย่างแน่นอน
“การเตรียมตัวของทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฉินอี้เฟยยิ้มและเอ่ยถามทุกคน
“พวกเราเตรียมตัวพร้อมมานานแล้วเจ้าค่ะ ทุกอย่างในนครล่าฝันก็ได้รับการจัดแจงแล้วเช่นกัน ตอนนี้เราสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ มองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มก่อนกล่าวด้วยความกระตือรือร้นและตั้งตารอที่จะได้เดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพ
“อาของเจ้าและข้าจะไม่ไปด้วย เราจะอยู่ที่นี่และรอต้อนรับพวกเจ้าเมื่อพวกเจ้ากลับมา”
ฉินเฟินกล่าวออกไปเบา ๆ เขาและฉินหยางอ่อนแอจนเกินไปและความแข็งแกร่งยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนด้วยซ้ำ หากตัดสินใจไปที่ดินแดนมหาเทพ พวกเขาตระหนักดีว่าจะเป็นภาระให้กับคนอื่น ๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่จะเดินทางไปดินแดนมหาเทพพร้อมกับฉินอี้เฟยในครานี้และแทบไม่มีผู้ใดหลงเหลือที่นี่ เพราะเหตุนั้นจึงต้องมีคนที่ไว้วางใจประจำอยู่ที่นี่เพื่อดูแลความเรียบร้อยในนครล่าฝัน
“เราก็ไม่ไปเช่นกัน เราจะประจำอยู่ที่นี่ ทว่าหลังจากที่พวกเจ้าได้พบกับมารดาที่ตามหา เราจะไปหาพวกเจ้าในดินแดนระดับสูง”
อวี๋จวินซานแสดงทัศนคติของตนออกมาเช่นกันและวางแผนที่จะประจำการอยู่ที่นี่ต่อไป
“พอเถอะ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พวกเราตัดสินใจแล้ว ดินแดนเทพมายาคือปลายทางสุดท้ายของเรา ในเมื่อพวกเจ้าไปที่ดินแดนมหาเทพกันหมดก็ต้องมีคนคอยประจำการอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของเราก็มาถึงทางตันแล้วและมีแต่จะเป็นภาระของพวกเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเราอยู่ที่นี่จะดีกว่าและจะคอยป้องกันมิให้เกิดปัญหาใดในอนาคต”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่มีสีหน้าราวกับต้องการโน้มน้าวใจพวกตน ทั้งสองก็โบกมือปัดและกล่าวออกไปโดยตรง
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาหารือกันก่อนหน้านี้แล้วและเป็นการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุด เวทีต่อไปเป็นพื้นที่สำหรับคนรุ่นเยาว์เท่านั้นและคนรุ่นก่อนอย่างพวกเขาควรอยู่ปกป้องบ้านเมืองเพื่อรอคนรุ่นเยาว์เหล่านี้กลับมาพร้อมกับชัยชนะ
“ตกลงเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างจนปัญญา นางทราบดีว่าไม่อาจโน้มน้าวใจคนเหล่านี้ได้และทำได้เพียงตอบกลับไปเช่นนี้
“พวกเจ้าจะออกเดินทางไปเมื่อใด ?”
แม้ในใจยังมีความไม่เต็มใจเจือปนอยู่บ้าง ฉินเฟินและคนอื่น ๆ ก็ปิดบังมันไว้และไม่แสดงออกไปทางสีหน้า
“เราจะออกเดินทางในอีกวันสองวันเจ้าค่ะ แม้ว่าสถานการณ์ภายในดินแดนเทพมายาจะเรียบร้อยดี ทว่าข้าก็กังวลว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็ว”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจจะเดินทางออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกไปแจ้งข่าวให้ทุกคนมารวมตัวกันที่จวนเจ้าเมือง หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันนาน ทุกคนคงอยากจะพบกับเจ้าก่อน”
อวี๋จวินซานพยักศีรษะและวางแผนที่จะเรียกรวมตัวบรรดาผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่เมื่อครั้งยังอยู่ในดินแดนเทพมายา
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ขัดข้องและพยักศีรษะตอบรับเบา ๆ
“จะว่าไปแล้ว…เหตุใดข้าถึงไม่เห็นท่านอาจารย์เลยเจ้าคะ ?”
นางกลับมาเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว ทว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของอธิการมู่อวิ๋น ฉินอวี้โม่จึงขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามออกไป
ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เป็นจ้าวนครล่าฝันเพียงในนามเท่านั้นและผู้ปกครองสูงสุดที่แท้จริงซึ่งรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยตลอดมาคือมู่อวิ๋นที่นางนับถือเป็นดั่งอาจารย์นั่นเอง
นอกจากนี้ มู่อวิ๋นก็ยังเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉินอวี้โม่ให้ความเคารพนับถือมากที่สุด
เมื่อกล่าวถึงเขา จู่ ๆ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและบรรยากาศตกเข้าสู่ความเงียบไปชั่วขณะ
“มีอะไรกันรึ ? เกิดเรื่องบางอย่างกับท่านอาจารย์งั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ก็กังวลใจขึ้นมาทันที ปฏิกิริยาของทุกคนทำให้นางคาดเดาได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างเป็นแน่
“ไม่ต้องกังวล เรื่องมันยาว แต่ท่านอธิการมู่อวิ๋นคงจะปลอดภัยดี”