คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1160 ความจริงจากปากของฟู่ชาง
เฟิงชิงหลิงผู้ซึ่งตกตะลึงไปพักใหญ่เริ่มมีปฏิกิริยาในที่สุด นางปรี่เข้าไปจับมือเสี่ยวอ้ายโม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ที่แท้คนที่เจ้าตามหาก็คือน้องอ้ายฉือนี่เอง หากข้าทราบมาก่อนละก็ ข้าคงจะพาเจ้ามาที่นี่ตั้งนานแล้ว”
ไม่แปลกใจเลยที่นางจะรู้สึกถูกชะตากับเสี่ยวอ้ายโม่ตั้งแต่ต้นและคิดว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเด็กสาวผู้นี้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง
“หากทราบว่าน้องชายของข้าอยู่ที่จวนเจ้าเมือง ข้าก็คงตอบรับคำเชิญของเจ้าตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน”
เสี่ยวอ้ายโม่กลอกตาไปมาเล็กน้อย นางไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่าเสี่ยวอ้ายฉืออยู่ในจวนเจ้าเมือง มิเช่นนั้น นางก็คงจะไม่ปฏิเสธคำเชิญของเฟิงชิงหลิงตั้งหลายครั้งหลายครา
“ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นโชคชะตาที่นำพาให้เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวชิงหลิงได้มาพบกัน หลังจากนี้เชิญทั้งสองพักอยู่ที่จวนเจ้าเมืองของเราเถิด…เพื่อเฝ้ารอให้เสี่ยวอ้ายฉือออกมา”
เจ้าเมืองเฟิงหว่านหลี่กล่าวเชิญฉินเทียนและเสี่ยวอ้ายโม่ให้พักอยู่ที่จวนเจ้าเมืองด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
“เสี่ยวชิงหลิง เหตุใดเจ้าไม่พาเสี่ยวอ้ายโม่ไปเล่นสนุกในที่ของเจ้าล่ะ พวกเจ้าทั้งสองไปเล่นกันก่อนเถอะ”
เดิมทีฉินเทียนก็ต้องการที่จะอยู่กับเสี่ยวอ้ายโม่เพื่อคอยปกป้องนาง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาเกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน
เห็นได้ชัดว่าการอยู่ที่จวนเจ้าเมืองว่านฮว๋าแห่งนี้จะเป็นเรื่องที่ปลอดภัย เขาจึงยินดีให้เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่พักอยู่ที่นี่ไปก่อน ในขณะเดียวกัน ตัวเขาก็จะออกไปสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเช่นกัน
เฟิงชิงหลิงไม่นึกสงสัยสิ่งใดแม้แต่น้อยและจับมือพาเสี่ยวอ้ายโม่ตรงไปยังเรือนหลังเล็กของตน
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง เจ้าเมืองเฟิงและภรรยา ข้ามีเรื่องอยากจะขอรบกวนพวกท่านสักหน่อย”
หลังจากมองดูเด็กน้อยทั้งสองเดินจากไป ฉินเทียนก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่และกล่าวออกไป
ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าก็เป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดอย่างมากและคาดเดาจุดประสงค์ของฉินเทียนได้ในทันที
“พ่อหนุ่มฉินเทียน เจ้าอยากให้เราช่วยดูแลเสี่ยวอ้ายโม่ใช่รึไม่ ?”
เขาเอ่ยถามออกไปโดยตรงซึ่งเป็นการเปิดเผยความต้องการในใจของฉินเทียน
“ขอรับ”
ฉินเทียนยอมรับในทันทีก่อนเล่าเรื่องราวของตนให้พวกเขาได้ทราบ
“ภรรยาของข้าอยู่ที่ใดสักแห่งในโลกแห่งเทพนี้ ความแข็งแกร่งของข้าในปัจจุบันยังอ่อนแอเกินกว่าจะตามหานางได้ ในเมื่อตอนนี้พบเสี่ยวอ้ายฉือแล้ว ข้าก็สามารถออกไปท่องยุทธ์ฝึกวิชาเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองและสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของข้าได้”
เขาและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นพลัดพรากจากกันมานานนับร้อยปี ในเวลานี้เขาไม่สามารถยับยั้งความคิดถึงและความโหยหาที่เอ่อล้นในหัวใจได้เลย หลังจากทราบเบาะแสล่าสุดว่านางถูกจับตัวมาที่โลกแห่งเทพ แน่นอนว่าฉินเทียนก็อดใจรอไม่ไหวที่จะออกตามหานางด้วยตนเอง
ก่อนหน้านี้เสี่ยวอ้ายโม่อยู่กับเขาตลอดเวลาและทำให้เขาไม่กล้าออกไปสืบข่าวมากนัก อย่างไรก็ตาม การฝากฝังให้นางอยู่ที่นี่ภายใต้การดูแลของคนในจวนเจ้าเมืองจะช่วยให้ฉินเทียนคลายกังวลได้มาก เพราะเหตุนั้น เขาจะสามารถออกไปสืบหาเบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้ด้วยความมั่นใจและไม่มีสิ่งใดที่จะต้องคอยพะวงอีก
“ไม่มีปัญหา บังเอิญว่าพวกเราก็รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่อยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้น ชิงหลิงก็ถูกพวกเราตามอกตามใจจนเสียนิสัย หากมีเสี่ยวอ้ายโม่อยู่ที่นี่ นางจะได้เรียนรู้การประพฤติตัวมากขึ้น เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าด้วยความสบายใจเถอะ เราให้คำมั่นว่าจะดูแลเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นอย่างดีและจะไม่ปล่อยให้เผชิญเรื่องร้ายใดระหว่างที่อยู่ที่นี่”
ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าตกปากรับคำทันทีโดยที่ไม่รอให้เฟิงหว่านหลี่ได้กล่าวสิ่งใด พวกเขาไม่ต้องการแยกจากเสี่ยวอ้ายฉือแม้แต่น้อย เดิมทีพวกเขาก็กังวลว่าฉินเทียนอาจจะนำตัวเสี่ยวอ้ายฉือไปจากพวกตน ทว่าผลลัพธ์ในตอนนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจากใจจริง
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน ฝากท่านบอกกับเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือหลังจากนี้ด้วย ทั้งสองเป็นเด็กฉลาดและจะเชื่อฟังเป็นอย่างดี”
ฉินเทียนยกกำปั้นและโค้งคำนับให้กับคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนกล่าวทิ้งท้ายและหันหลังเดินจากไป
ทันทีที่กลิ่นอายของเขาหายไป เสี่ยวอ้ายโม่ก็ปรากฏตัวในห้องโถงพร้อมกับเฟิงชิงหลิงอีกครั้ง
“ท่านตาไปแล้วรึเจ้าคะ ?”
แววตาของเสี่ยวอ้ายโม่แสดงความไม่เต็มใจเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า ก่อนหน้านี้นางก็คาดเดาได้ว่าฉินเทียนตั้งใจที่จะผลักไสนางออกไป ทว่านางก็ไม่ได้ขัดขวางเจตนาของเขา
นางตระหนักดีว่าท่านตาของนางยังมีธุระสำคัญที่ต้องทำอีกมาก และหน้าที่ของตนคือการไม่ถ่วงเวลาหรือเป็นภาระของเขา
“ช่างเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ฉลาดและมีไหวพริบดีจริง ๆ”
เฟิงหย่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเสี่ยวอ้ายโม่เดินเข้ามาอีกครั้ง จากนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดู
เสี่ยวอ้ายโม่มีอายุเพียงประมาณเจ็ดขวบเท่านั้น ทว่าช่างน่าทึ่งอย่างแท้จริงที่นางคาดเดาจุดประสงค์ของฉินเทียนที่ต้องการให้นางปลีกตัวออกไปก่อน เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านางชาญฉลาดเพียงใด
“ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นเจ้าค่ะ ความแข็งแกร่งของข้าและเสี่ยวอ้ายฉือยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยอะไรท่านตาได้”
หานอ้ายโม่กล่าวพลางถอนหายใจ
“ชิงหลิง ข้าจะพักอยู่ที่เรือนของเจ้าสักพัก หลังจากนี้ขอรบกวนด้วยล่ะ”
นางกระโดดออกจากอ้อมแขนของเฟิงหย่าก่อนเดินกลับไปหาเฟิงชิงหลิงผู้ซึ่งยังคงงุนงงและหยิกแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ
“เยี่ยมไปเลย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พักอยู่ที่เรือนของข้าก็แล้วกัน เจ้าคงไม่ทราบหรอกว่าไม่เคยมีใครเล่นกับข้ามาก่อนและไม่มีใครประลองฝีมือหรือศึกษาทักษะยุทธ์ด้วยกันกับข้า ที่ผ่านมานี้ข้ารู้สึกเบื่อมากจริง ๆ ต่อไปนี้เราจะเรียนรู้และศึกษาวิชาเพื่อพัฒนาฝีมือไปด้วยกัน จากนั้นเราก็จะได้สั่งสอนพวกผู้ใหญ่ที่นิสัยไม่ดีเหล่านั้น…”
เฟิงชิงหลิงเรียกสติกลับคืนมาและนิสัยช่างจ้อของนางก็เริ่มแผลงฤทธิ์อีกครั้งจนเสี่ยวอ้ายโม่แทบฟังไม่ทัน
“ไปกันเถอะ พาข้าไปที่เรือนของเจ้า ข้าอยากเห็นสภาพแวดล้อมของสถานที่ที่ข้าจะต้องอาศัยอยู่ในอนาคต..”
เสี่ยวอ้ายโม่จับมือเฟิงชิงหลิงก่อนทั้งสองมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตที่พักของเฟิงชิงหลิงอย่างรวดเร็วโดยปล่อยวางความไม่เต็มใจที่ต้องแยกจากฉินเทียนไปอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าเด็กน้อยทั้งสองนี่…”
เฟิงหย่ามองตามแผ่นหลังของทั้งสองพลางส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างจนปัญญา
“ท่านป้า ดูท่านจะถูกชะตากับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นพิเศษเลยนะขอรับ”
เฟิงหว่านหลี่ก็รู้สึกถูกชะตากับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นอย่างมากเช่นกัน ทว่านั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับท่านป้าของเขา เขารับรู้ได้ว่าท่านป้าและท่านลุงของตนชื่นชอบเด็กน้อยทั้งสองอย่างที่สุดและรักใคร่เอ็นดูเสมือนหลานในสายเลือดแท้ ๆ เขาไม่เคยเห็นพวกนางเป็นเช่นนี้มาก่อน
“เด็กทั้งสองทำให้ข้ารู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่างมาเสมอ มันทำให้ข้าอยากจะเข้าไปใกล้และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา…”
เฟิงหย่าถอนหายใจยาวราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง ร่องรอยความเศร้าโศกปรากฏในแววตาของนางชั่วขณะ หากไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นในอดีต ตอนนี้บุตรของพวกนางก็คงจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว หรืออาจให้กำเนิดทายาทที่น่ารักน่าชังเช่นเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็เป็นได้
น่าเสียดายที่ ‘เหตุการณ์’ ครานั้นทำให้พวกนางสูญเสียบุตรผู้เป็นที่รักไป…
“ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าเราอยู่ในเมืองว่านฮว๋า หลังจากที่เสี่ยวอ้ายฉือออกมาจากการเก็บตัว เราจะไปจากที่นี่ทันที”
ฉินหลิงเซียวกล่าวกับเฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทั้งสองพยักศีรษะตอบตกลงทันทีและไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ
……..
ณ ดินแดนมหาเทพ เวลานี้ฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วก็เดินทางมาถึงสำนักเมฆาครามและได้พบกับฟู่ชางแล้ว
“ท่านลุงฟู่ จ้าวสำนักของเราได้กล่าวถึงเรื่องข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับดินแดนมหาเทพและหลังจากที่ข้าลองตรวจสอบอย่างละเอียด ข้าก็พบว่าสภาวะพลังในปัจจุบันเบาบางลงมากจริง ๆ ท่านคงจะทราบถึงรายละเอียดของเรื่องนี้มากกว่าใครอื่น ไม่ทราบว่าท่านลุงจะอธิบายให้ข้าเข้าใจได้รึไม่เจ้าคะ ?”
ในเวลานี้ ทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงประชุมก่อนที่ฉินอวี้โม่จะเปิดเผยจุดประสงค์ของการมาในครานี้ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เดิมทีข้าก็วางแผนจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่คิดว่าจะรอให้เจ้าจัดการเรื่องที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ทว่าในเมื่อเจ้าถาม ข้าก็จะไม่ปิดบังสิ่งใด”
ฟู่ชางก็เผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวต่อ “มันคือคำพยากรณ์ของนักปราชญ์ในอดีต ซึ่งคำพยากรณ์นั้นก็เริ่มสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนมหาเทพมากขึ้นเรื่อย ๆ…”