คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1199 วานรน้อยที่ไร้เดียงสา
ในเวลานี้ เยี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ กระจายตัวกันออกไปตามหาร่องรอยของวานรในขณะที่ฉินอี้เฟยประจำอยู่ที่เดิมและจับตาดูสถานการณ์รอบตัวอย่างใจจดใจจ่อ
เขามั่นใจว่าวานรยักษ์ใหญ่น่าจะบาดเจ็บและหนีไปได้ไม่ไกล เพียงแต่มันใช้วิธีการบางอย่างเพื่อซ่อนร่องรอยของตนเองไว้และหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งเพื่อหาโอกาสที่เหมาะสม
ภูเขามหาเทพก็กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ภายในเวลาเพียงไม่นาน เยี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ ก็แยกตัวออกไปไกลแล้ว
“ออกมาซะ !”
ฉินอี้เฟยมองไปยังกองเศษหินขนาดใหญ่ตรงหน้าและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างรุนแรงภายใต้กองเศษหินเหล่านั้นซึ่งทำให้เขามั่นใจว่าวานรพิทักษ์จะต้องซ่อนตัวอยู่ใต้ซากหินอย่างแน่นอน เพียงแต่มิอาจคาดเดาได้ว่ามันใช้วิธีการใดเพื่อซ่อนกลิ่นอายของตนไว้ส่งผลให้ไม่มีผู้ใดตรวจจับตัวตนของมันได้
หลังจากสิ้นเสียงของเขาก็เกิดเสียงหินขยับดังขึ้นก่อนร่างร่างหนึ่งค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา
ในเวลานี้ วานรร่างยักษ์ที่สูงเกือบหนึ่งจั้งก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นวานรที่มีขนาดไม่ถึงสามฉื่อเท่านั้น หากมิใช่เพราะทั้งร่างปกคลุมไปด้วยขนหนา มันก็คงดูไม่ต่างจากเด็กมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
มันมองตรงมาที่ฉินอี้เฟยด้วยดวงตาแดงก่ำซึ่งแสดงให้เห็นถึงความวิงวอนในสายตา แม้ร่างกายจะมีขนาดเล็กลง ทว่าบนศีรษะของมันก็ยังคงมีต้นหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามสายลมเช่นเดิมซึ่งก็คือหญ้าเทียนหมาที่พวกเขากำลังหมายปองนั่นเอง
“@#฿)%+”
วานรพิทักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและลมหายใจของมันอ่อนแอลงมาก ขณะมองตรงมาที่ฉินอี้เฟยจากระยะไกล จากนั้นมันก็เอ่ยปากกล่าวบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจและขยับมือไปมาราวกับกำลังจะสื่ออะไรบางอย่าง
“เจ้าตัวน้อย พวกข้าเพียงต้องการหญ้าเทียนหมาบนศีรษะของเจ้าเท่านั้นและไม่มีเจตนาร้ายต่อเจ้า หญ้าเทียนหมามีส่วนเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของทั้งดินแดนมหาเทพ ข้าทราบดีว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อเจ้า ทว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
ฉินอี้เฟยไม่รีบร้อน ถึงแม้พลังของวานรตรงหน้าจะอ่อนแอลงกว่าก่อนมาก ทว่าด้วยพลังของเขาเพียงลำพัง เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องพยายามทำให้วานรสงบจิตใจเสียก่อนและลองโน้มน้าวดูว่ามันจะยอมมอบหญ้าเทียนหมาให้แต่โดยดีหรือไม่ หากทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลดปัญหาไปได้มากทีเดียว
แน่นอนว่าวานรเข้าใจความหมายของฉินอี้เฟย ดวงตาโตของมันมองเขาอย่างไร้เดียงสาและยังคงขยับปากไปมาราวกับต้องการจะกล่าวบางอย่าง
ฉินอี้เฟยไม่เข้าใจความหมายของวานรแม้แต่น้อยและเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
ในตอนแรกเขาเชื่อว่าพลังของวานรตัวนี้แกร่งกล้ามากจนมันควรที่จะพูดภาษามนุษย์และจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวานรตรงหน้าจะมีสติปัญญาที่อยู่ในระดับสูงเช่นที่เขาคิดไว้จริง ทว่ามันก็สื่อสารภาษาของมนุษย์ไม่ได้ นับประสาอะไรกับการจำแลงร่างมนุษย์
หรือว่าภายในภูเขามหาเทพจะมีพลังยับยั้งบางอย่างที่ทำให้มันตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ?
เมื่อเห็นว่าฉินอี้เฟยไม่เข้าใจ วานรก็มีท่าทีกระสับกระส่ายขึ้นมา มันชี้ไปยังหญ้าเทียนหมาบนศีรษะของตนและส่ายหน้าไปมาอย่างรวดเร็ว ทว่าฉินอี้เฟยก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันเช่นเดิม
อสูรวานรเริ่มรู้สึกจนปัญหาและส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทางเศร้าสร้อย
ฉินอี้เฟยมองดูวานรที่ดูสิ้นหวังตรงหน้าและก้าวเข้าไปใกล้มันมากกว่าเดิม
“หญ้าเทียนหมาเติบโตอยู่บนศีรษะของเจ้า เจ้าหมายความว่าหากยอมให้พวกเราครอบครองมันไป มันอาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
เขาทำได้เพียงคาดเดาความหมายของวานรตรงหน้า ทว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าความคิดนั้นถูกต้องหรือไม่
วานรพยักหน้าหงึกหงักทันทีแสดงให้เห็นว่าวาจาของฉินอี้เฟยตรงกับความหมายที่มันพยายามจะสื่อ
อันที่จริง มันทราบตั้งแต่ต้นแล้วว่าฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อชิงหญ้าเทียนหมาไป หากทำได้ มันก็ไม่รังเกียจที่จะมอบให้พวกเขาไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม หญ้าเทียนหมากลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของมันไปแล้ว หากปล่อยให้ผู้อื่นชิงไปอย่างไม่ยั้งคิด ชีวิตของมันจะตกอยู่ในอันตราย นั่นคือสาเหตุที่มันพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิตและไม่ปล่อยให้ฉินอี้เฟยหรือผู้ใดเอาหญ้าเทียนหมาไปได้
“ข้าขอสำรวจดูหญ้าเทียนหมาบนศีรษะของเจ้าสักหน่อยจะได้รึไม่ ?”
ฉินอี้เฟยกล่าวอย่างช้า ๆ และไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงหรือไม่
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาและมันก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย หากอสูรวานรไม่ยอมเชื่อใจเขาโดยง่าย มันก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
อสูรวานรลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตอบตกลง
มันก้าวเข้ามาใกล้ฉินอี้เฟยอย่างระมัดระวังด้วยแววตาที่ยังเจือไปด้วยความไม่มั่นใจ
เมื่อหยุดตรงหน้าฉินอี้เฟย จากนั้นก็ขยับศีรษะเข้ามาใกล้เพื่อให้เขาสำรวจดู
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินอี้เฟยก็ล้มเลิกกระบวนท่าที่เตรียมไว้ทันที อันที่จริงเขาสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้วานรบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสหรือแม้กระทั่งปลิดชีวิตของมันเสีย อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายไว้ใจตน เขาก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนั้นอีกต่อไป
หลังจากตรวจดูอย่างใกล้ชิด เขาก็พบว่ารากของหญ้าเทียนหมาฝังลึกและแผ่กระจายเข้าไปในร่างของวานรและดูเหมือนว่าทั้งสองได้ผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
หากต้องการชิงหญ้าเทียนหมามาจากศีรษะของวานร มันจะสร้างความเสียหายที่ร้ายแรงต่อวานรและอาจเป็นภัยต่อชีวิตของมัน
ในที่สุดฉินอี้เฟยก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวานรพิทักษ์จึงต่อต้านมิให้พวกเขาชิงหญ้าเทียนหมาไปจากตน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาเอง เขาก็คงไม่มีทางยอมให้ผู้ใดชิงหญ้าเทียนหมาไปเช่นกัน
“เจ้านั่งลงก่อนเถอะ ข้าจะลองคิดหาวิธีอื่นดู”
ฉินอี้เฟยหยิบสมุนไพรวิญญาณบางอย่างออกมาให้วานรกลืนกิน ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ มันได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่งและลมหายใจอ่อนแอลงพอสมควร สมุนไพรวิญญาณชนิดนี้จะสามารถช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้เร็วที่สุดและยังส่งผลดีต่อมันในอีกหลายด้านเช่นกัน
อสูรวานรนั่งลงข้างฉินอี้เฟยอย่างว่าง่ายและไม่ระแวดระวังหรือต่อต้านเขาอีกต่อไป
แม้สติปัญญาของมันจะอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ทว่าลักษณะนิสัยของมันก็ดูเหมือนกับเด็กมนุษย์อายุเจ็ดถึงแปดขวบไม่มีผิดซึ่งดูไร้เดียงสายิ่งนัก
จากนั้นหนึ่งมนุษย์และหนึ่งวานรก็นั่งเคียงข้างกันพลางคิดหาวิธีที่พอจะทำได้
หากไม่สามารถนำหญ้าเทียนหมากลับไป โอสถที่ใช้สำหรับการทำลายหลุมดำมิติก็จะไม่มีวันถูกหลอมขึ้นมาได้และนั่นหมายถึงวิกฤตของดินแดนมหาเทพก็จะไม่ได้รับการสะสาง
ทว่าการที่ต้องการเด็ดหญ้าเทียนหมาออกมาโดยที่ไม่ทำร้ายอสูรวานร ไม่ว่าจะพยายามใช้ความคิดเพียงใด มันก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
วานรนั่งลงข้างฉินอี้เฟยอย่างว่าง่ายและจู่ ๆ ก็หยิบกล้วยออกมากัดกินอย่างมีความสุขโดยที่ไม่อาจทราบได้ว่ามันหยิบกล้วยมาจากที่ใด ท่าทางของมันดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อนและไร้เดียงสาอย่างน่าเอ็นดู
ในระหว่างนี้ ฉินอี้เฟยก็ได้ติดต่อสื่อสารไปหาเยี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ และภายในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาทุกคนก็กลับมารวมตัวกันที่เดิม
เมื่อเห็นฉินอี้เฟยและวานรตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้วยกันจากระยะไกล ทุกคนก็ประหลาดใจขึ้นมา อย่างไรก็ตาม พวกเขาปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็วและเดินตรงเข้าไปหาทั้งสอง
อสูรวานรทราบว่าเยี่ยเฟิงและคนเหล่านี้เป็นพวกพ้องของฉินอี้เฟย รวมถึงสัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่ได้แผ่จิตมุ่งร้ายออกมา มันจึงนั่งเฉยต่อไปและกัดกินกล้วยในมือโดยที่ไม่สนใจพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น ?”
แม้ว่าเยี่ยเฟิงจะอธิบายสถานการณ์กับทุกคนอย่างคร่าว ๆ แล้ว ทว่ายังมีบางคนที่ไม่เข้าใจนัก
“หญ้าเทียนหมาและเจ้านี่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว หากต้องการชิงหญ้าเทียนหมาไป เราก็ต้องฆ่ามัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันไว้ใจข้ามากและข้าก็ไม่อยากจะทำร้ายมัน เพราะเหตุนั้น ตอนนี้ข้าจึงกำลังคิดหาวิธีอื่นอยู่”
ฉินอี้เฟยอธิบายอย่างคร่าว ๆ รวมถึงเปิดเผยทัศนคติของตนให้เยี่ยเฟิงและทุกคนได้ทราบในเวลาเดียวกัน
เว้นแต่จะไม่มีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ เขาก็ไม่ต้องการทำร้ายเจ้าวานรน้อยตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องกังวล เราจะไม่ทำอะไรมันเด็ดขาด”
เยี่ยเฟิงและทุกคนนั่งลงข้างฉินอี้เฟยและมองวานรตัวน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้พลางคิดหาวิธีอื่นในใจ
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่าและเวลาครึ่งวันก็ผ่านไปภายในชั่วพริบตา
ท้องฟ้าเบื้องบนมืดสลัวลงเรื่อย ๆ และทุกคนก็ยังคิดกันไม่ออกว่าจะใช้วิธีใด ตอนนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกอับจนปัญญากันไม่น้อย