คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1205 เตรียมตัวเป็นศิษย์
ทัศนคติและท่าทางของว่านหรูชูดูจริงใจอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่จึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลและเพียงลังเลเล็กน้อยเท่านั้นก่อนพยักศีรษะตอบตกลงในที่สุด
“ข้าจะเรียกสหายน้อยว่าอย่างไรดีล่ะ ?”
เมื่อฉินอวี้โม่ตกปากรับคำ สีหน้าของบรรดาผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
“ฉินอวี้โม่เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่แนะนำชื่อแซ่ของตนออกไปตามความจริง ในโลกแห่งเทพนี้ นางเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้ชื่อเสียง ต่อให้นางจะเดินท่องไปทั่วดินแดนด้วยชื่อจริง ก็คงมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงตัวตนของนาง เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบัง
“เอาล่ะ ฉินอวี้โม่ ข้าชวนเจ้าเข้าร่วมนิกายหมื่นกระบี่ของเราก็จริง แต่ข้าจะไม่ให้สิทธิพิเศษใดที่เหนือกว่าผู้อื่น ในช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้เจ้าพักในหอชั้นนอกของนิกายเพื่อฝึกฝนวิชา และหลังจากผ่านการประเมินของศิษย์เท่านั้นที่เจ้าจะได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่เต็มตัว เจ้าคัดค้านหรือสงสัยสิ่งใดหรือไม่ ?”
สีหน้าของว่านหรูชูดูจริงจังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดซึ่งเป็นการยืนยันว่าต่อให้เขาเชิญชวนฉินอวี้โม่ด้วยตนเอง นางก็จะไม่ได้รับการปฏิบัติที่เป็นพิเศษหรือมีสิทธิ์เหนือกว่าผู้ใด ทุกอย่างหลังจากนี้จะขึ้นอยู่กับพลังความแข็งแกร่งของตัวนางเองเท่านั้น
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบอย่างมั่นใจและรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถูกต้องแล้ว นางไม่คิดที่จะเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ด้วยวิธีการที่ไม่ชอบธรรมและมีเพียงการพิสูจน์ฝีมือของตนเองเท่านั้นที่นางจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นอย่างแท้จริง
ว่านหรูชูไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไปและเรียกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาพบก่อนสั่งการให้เขาพาฉินอวี้โม่ไปส่งที่หอชั้นนอกด้วยตัวเอง
หอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่มิได้ตั้งอยู่บนเทือกเขาเมฆา หากแต่เป็นเหมือนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา
หอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่ถือเป็นปราการด่านแรกของขุมกำลัง ผู้ใดที่ต้องการบุกรุกเข้ามาในนิกายจะต้องผ่านหอชั้นนอกให้ได้เสียก่อนจึงจะขึ้นมาบนเทือกเขาเมฆาได้
ศิษย์ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการนำทางฉินอวี้โม่ไปส่งที่หอชั้นนอกคือศิษย์ในที่มีนามว่า ‘ว่านจิน’ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่บรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนสามดาราตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบปีซึ่งถือว่ามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมพอสมควร
เขาเป็นศิษย์สายตรงของว่านหรูชูและได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหมื่นกระบี่เป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ในหอชั้นนอกมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนหลายพันคน นอกเหนือจากผู้อาวุโสที่รับผิดชอบจัดการธุระต่าง ๆ ของหอชั้นนอกจำนวนไม่กี่คน คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์ที่ยังไม่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าเป็นศิษย์ในจากคราก่อน ๆ พวกเขาบางคนมีพลังไล่เลี่ยกับข้าทว่าไม่ผ่านการคัดเลือกเพียงเพราะพลาดพลั้งไปในบางส่วน พวกเขาจึงยังต้องอยู่ในหอชั้นนอกต่อไป หากเผชิญกับคนเหล่านั้น ศิษย์น้องอวี้โม่จะต้องระวังตัวให้มากล่ะ มิใช่ว่าทุกคนจะมีเจตนาดีต่อเจ้า”
ในขณะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปสู่หอชั้นนอก ว่านจินก็กล่าวกำชับกับนาง
“ศิษย์พี่ ขอบคุณมากที่เตือนข้า ข้าเข้าใจดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณว่านจินอย่างจริงใจและได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนิกายหมื่นกระบี่จากเขาเพิ่มมากขึ้น
เมื่อได้ทราบว่านิกายหมื่นกระบี่เป็นขุมกำลังระดับสองและมีเกียรติยศชื่อเสียงในโลกแห่งเทพที่มากพอสมควร นางก็รู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก
หากถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งไปยังขุมกำลังระดับสองที่เป็นแหล่งรวมอาชญากรที่ชั่วร้ายและเป็นกลุ่มคนที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม นางก็คงเผชิญกับปัญหาที่น่าปวดหัวไม่น้อย แม้จะออกจากที่นั่นก็คงทำได้ยาก นับประสาอะไรกับการได้เข้าร่วมเป็นศิษย์
เพียงนึกถึงสถานการณ์เช่นนั้น นางก็นึกกังวลเกี่ยวกับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ขึ้นมา มิอาจคาดเดาได้เลยว่าสหายของนางจะเป็นอย่างไรบ้าง…
ในขณะที่พูดคุยตอบโต้กัน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงบริเวณเชิงเขาของเทือกเขาเมฆา
เมื่อมองออกไปจะเห็นได้ว่าไม่ไกลจากแนวเทือกเขาขนาดใหญ่มีหมู่บ้านที่กว้างใหญ่และไกลจนสุดตาจะเห็นซึ่งครอบครองพื้นที่หลายร้อยหมู่ปรากฏอยู่ อาคารสิ่งปลูกสร้างภายในหมู่บ้านล้วนมีลักษณะเรียบง่ายและไม่มีอาคารใดสูงตระหง่านมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังหนาแน่นที่แผ่ออกมา
แม้ไม่มากเท่ากับพื้นที่บนเทือกเขาเมฆา ทว่าสภาวะพลังของที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์กว่าดินแดนมหาเทพหลายสิบเท่า หากได้เก็บตัวเพื่อฝึกวิชาอยู่ที่นี่ นางเชื่อว่าจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้ในไม่ช้า
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าจะพาเจ้าไปพบผู้อาวุโสฉีซึ่งประจำการอยู่ที่หอชั้นนอกและเขาจะช่วยจัดเตรียมที่พักให้กับเจ้า โดยปกติแล้วศิษย์ในจะไม่ออกมาที่นี่ หากขาดเหลือสิ่งใดเจ้าก็แจ้งกับผู้อาวุโสฉีได้เลย เขาจะส่งข่าวต่อมาให้ข้า ท่านอาจารย์และข้าจะตั้งตารอวันที่เจ้าจะได้เข้าร่วมกับหอชั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูหมู่บ้าน ว่านจินก็กล่าวกำชับฉินอวี้โม่อีกครั้งและเดินนำเข้าไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
เวลานี้ใกล้ค่ำแล้วและศิษย์นอกส่วนใหญ่ก็เก็บตัวอยู่ในที่พักของตนเพื่อฝึกฝนวิชา เพราะเหตุนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นฉินอวี้โม่เดินตามว่านจินเข้ามา
คนเหล่านั้นไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใด พวกเขาเพียงกล่าวทักทายว่านจินอย่างเคารพนอบน้อมก่อนแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตน
ฉินอวี้โม่เดินตามว่านจินมาถึงเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน นี่คือเรือนที่พักสำหรับผู้อาวุโสของหอชั้นนอก
ผู้อาวุโสฉีคือบุรุษวัยกลางคนที่มีอายุอยู่ในช่วงสี่สิบปีและมีรูปลักษณ์ที่ดูปกติทั่วไป
หลังจากได้ทราบความเป็นมาคร่าว ๆ จากว่านจิน เขาก็ไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ
ว่านจินขอตัวกลับไปยังหอชั้นในในขณะที่ผู้อาวุโสฉีนำทางฉินอวี้โม่ไปยังเรือนด้านหลังของหมู่บ้าน
แม้นิกายหมื่นกระบี่จะมีศิษย์ที่เป็นสตรีอยู่ด้วย มันก็เป็นเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น ศิษย์สตรีของหอชั้นนอกทั้งหมดจึงพักรวมกันอยู่ในบริเวณด้านหลังของหมู่บ้าน
ที่พักสำหรับศิษย์สตรีเป็นเรือนรวมสิบหลังซึ่งแต่ละหลังจะรองรับสมาชิกได้สามคน เวลานี้ มีเพียงสองหลังเท่านั้นที่ยังมีห้องว่างสำรอง
“ฉินอวี้โม่ ข้าจะพาเจ้าไปยังเรือนทั้งสองหลังที่ยังมีห้องว่าง เจ้าสามารถตัดสินใจเลือกเองได้ว่าอยากจะพักอยู่หลังใด”
ผู้อาวุโสฉีกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางที่สุภาพ แม้ว่านหรูชูจะเน้นย้ำเรื่องการที่ฉินอวี้โม่จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ทว่าในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นศิษย์ที่เขาสั่งให้ว่านจินพามาส่งที่นี่ด้วยตัวเอง ผู้อาวุโสฉีย่อมไม่กล้าปล่อยปละละเลยอย่างแน่นอน
เรือนที่พักบริเวณด้านหลังของหมู่บ้านมีลักษณะเหมือนกันทั้งหมดและแบ่งออกเป็นสามห้องได้แก่ตรงกลาง ทางตะวันออกและทางตะวันตก
ผู้อาวุโสฉีพาฉินอวี้โม่ไปยังเรือนหลังแรกซึ่งมีห้องว่างอยู่ทางตะวันตกและอีกสองห้องมีผู้อาศัยอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงผู้มาเยือน เจ้าของห้องทั้งสองก็ก้าวออกมา
“คารวะผู้อาวุโสฉีเจ้าค่ะ”
สตรีทั้งสองมองฉินอวี้โม่อย่างสงสัยใคร่รู้ขณะโค้งคำนับต่อผู้อาวุโสฉีอย่างนอบน้อม
“นี่คือศิษย์ฝึกหัดคนใหม่…ศิษย์น้องฉินอวี้โม่ ข้าพานางมาที่นี่เพื่อแนะนำเส้นทางและให้นางเลือกห้องพักด้วยตัวเอง”
ผู้อาวุโสฉีพยักศีรษะก่อนกล่าวอธิบายและให้ทั้งสองแนะนำตัว
ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังของฉินอวี้โม่อยู่เพียงขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุด สีหน้าของพวกนางก็แสดงความเย้ยหยันเล็ก ๆ ออกมา
“ข้าชื่อเถียนซิน ส่วนนี่คือสวีเยว่ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องอวี้โม่มาจากที่ใดรึ ?”
แม้ไม่แสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์ แต่ทั้งสองก็ไม่ปิดบังแววตาดูถูกเหยียดหยามที่มีต่อฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
“มาจากดินแดนระดับต่ำ”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพียงสั้น ๆ โดยไม่คิดอธิบายให้ยืดยาวและในที่สุดสีหน้าของสตรีทั้งสองก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสฉี เราทั้งสองยังต้องฝึกฝนต่อไป เราต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
พวกนางไม่คิดเสียเวลาเสวนากับฉินอวี้โม่อีกต่อไปและขอตัวแยกกลับไปที่ห้องของตน
ผู้อาวุโสฉีก็ดูจะคาดเดาถึงทัศนคติของทั้งสองไว้ก่อนแล้ว เขาจึงเพียงยิ้มบาง ๆ และไม่กล่าวสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าที่ปกติเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ เขาก็รู้สึกประทับใจในตัวนางขึ้นมา
“ไปกันเถอะ ไปที่เรือนอีกหลังหนึ่ง”
เขากล่าวขึ้นและเดินนำไปยังเรือนอีกหลังที่มีห้องว่างหลงเหลืออยู่
ภายในเรือนหลังนี้มีผู้อาศัยอยู่สองคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพักอยู่ในห้องทางตะวันออกและตะวันตกโดยเหลือห้องตรงกลางเว้นว่างไว้