คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1207 แต่ละฝ่ายของหอชั้นนอก
หลังจากนั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ช่วยฉินอวี้โม่ทำความสะอาดห้องอีกครั้งจนสะอาดเอี่ยมอ่องก่อนขอตัวกลับและปล่อยให้นางพักผ่อนตามสบาย
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด ทว่าต้องการตรวจดูสถานการณ์ของคฤหาสน์เฟิงหัว นางจึงไม่รั้งเถาเซี่ยวเซี่ยวไว้
หลังจากเด็กสาวกลับออกไป ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและสร้างผนึกป้องกันขึ้นมาทั่วห้องและแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายตนเองเพื่อพยายามติดต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัว อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พลังวิญญาณของนางเข้าไปใกล้ นางก็พบว่ารอบ ๆ คฤหาสน์เฟิงหัวเหมือนจะมีชั้นหมอกหนาที่ปกคลุมอย่างมิดชิดและขัดขวางการเชื่อมต่อระหว่างนางกับมัน
นางพยายามที่จะฝ่าผ่านหมอกหนาดังกล่าวเช่นกัน ทว่าพลังของนางถูกดูดซับและสลายหายไปทันทีที่เข้าไปใกล้โดยไม่สามารถปัดเป่ามันออกไปได้เลย
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องพัฒนาพลังให้มากกว่านี้เสียก่อนจึงจะติดต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัวได้”
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจเบา ๆ และถอนพลังวิญญาณกลับมา อย่างไรก็ตาม การที่ปราศจากคฤหาสน์เฟิงหัวไป เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของนางเท่านั้น…
คืนแรกของการพักผ่อนในหอชั้นนอกผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าในวันที่สอง เสียงของเถาเซี่ยวเซี่ยวก็ดังขึ้นหน้าห้องของฉินอวี้โม่ตั้งแต่เช้าตรู่
“พี่อวี้โม่ ตื่นเร็ว เราต้องออกไปรวมตัว…”
ในทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน ศิษย์นอกทุกคนจะต้องไปเข้าร่วมชุมนุมกันที่ลานจัตุรัส และวันนี้บังเอิญเป็นวันที่หนึ่งของเดือนพอดิบพอดีและนั่นหมายถึงการชุมนุมกันตามปกติ
เวลานี้ ฉินอวี้โม่ถือเป็นศิษย์ฝึกหัดของหอชั้นนอกแล้ว เพราะเหตุนั้น นางจึงต้องเข้าร่วมการชุมนุมครานี้
หลังจากเตรียมตัวเล็กน้อย นางและเถาเซี่ยวเซี่ยวก็เดินไปยังลานจัตุรัสของหอชั้นนอกด้วยกัน
เมื่อไปถึงประตูหน้าเรือน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะทักทายเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยรอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยตั้งใจมารอพวกนางอยู่ที่นี่
“อรุณสวัสดิ์พี่เหลิ่ง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวทักทายเหลิ่งซวงเสวี่ยตามปกติและไม่แปลกใจแม้แต่น้อยเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันหลังให้ก่อนเดินตรงไปยังลานจัตุรัสโดยไม่ชายตามองตนด้วยซ้ำ นางพักอยู่ในเรือนเดียวกับเหลิ่งซวงเสวี่ยมานานจนพอจะทราบถึงลักษณะนิสัยของ ‘เจ้าหญิงน้ำแข็ง’ ผู้นี้
แม้มิใช่คนช่างจ้อหรือเอ่ยปากกล่าวสิ่งใดมากนัก ทว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยก็มิใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใด
เถาเซี่ยวเซี่ยวจดจำได้อย่างเลือนรางว่าในตอนแรกที่นางมาถึงที่นี่ เหลิ่งซวงเสวี่ยก็มายืนรออยู่ที่หน้าประตูเช่นกัน หากนึกย้อนกลับไป คาดว่าอีกฝ่ายคงจะตั้งใจทำเช่นนั้นเพราะกังวลว่าศิษย์ใหม่อย่างนางอาจจะถูกผู้อื่นรังแกเอาได้
ในตอนนี้เมื่อฉินอวี้โม่กำลังจะออกไปพบปะกับทุกคนเป็นครั้งแรก นางก็มารอที่นี่เช่นกันซึ่งพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของเถาเซี่ยวเซี่ยวได้มาก
“พี่อวี้โม่ ในหมู่ของพวกเราศิษย์นอก มันก็มีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายเช่นกัน สวีเยว่และเถียนซินอยู่ในฝ่ายหนึ่ง ส่วนอีกคนที่มีนามว่าเฉินหว่านเอ๋อร์ก็เป็นผู้นำของอีกฝ่ายหนึ่ง ทว่าข้าและพี่เหลิ่งไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น พวกเราจึงอยู่ฝ่ายกลาง”
ขณะเดินตามหลังเหลิ่งซวงเสวี่ย เถาเซี่ยวเซี่ยวก็กล่าวแนะนำสถานการณ์ของหอชั้นนอกให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ
แม้หอชั้นนอกจะมีสตรีเพียงไม่มากและแต่ละคนมีความแข็งแกร่งที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ทว่าพวกนางก็ยังแบ่งกันออกเป็นสามฝ่าย
สวีเยว่ เถียนซินและผู้ติดตามของพวกนางอยู่รวมกันในฝ่ายหนึ่ง ส่วนสตรีนามว่าเฉินหว่านเอ๋อร์มาจากอีกฝ่ายหนึ่ง สำหรับเหลิ่งซวงเสวี่ยและเถาเซี่ยวเซี่ยว แม้ว่าพวกนางจะมีเรื่องขัดแย้งกับทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งคราว ทว่าพวกนางก็เลือกที่จะฝึกวิชาอย่างเงียบ ๆ เป็นส่วนใหญ่โดยไม่คิดเข้าไปก้าวก่ายธุระของทั้งสองฝ่ายและตั้งตัวเป็นฝ่ายกลาง
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของสวีเยว่และเถียนซินหรือฝ่ายของเฉินหว่านเอ๋อร์ พวกนางพยายามทาบทามให้เถาเซี่ยวเซี่ยวและเหลิ่งซวงเสวี่ยเข้าไปรวมกลุ่ม ทว่าทั้งสองก็ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ไม่ว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยหรือเถาเซี่ยวเซี่ยว เป้าหมายสูงสุดของพวกนางก็คือการเข้าเป็นศิษย์ใน มิใช่เป็นการเข้าไปพัวพันในปัญหาความวุ่นวายของหอชั้นนอก
“พี่อวี้โม่ ท่านมาจากดินแดนระดับต่ำและทุกคนทราบเรื่องนี้แล้ว ด้วยนิสัยใจคอของเถียนซินและสวีเยว่ พวกนางคงจะดูแคลนท่านเป็นแน่ ส่วนเฉินหว่านเอ๋อร์ก็อาจจะเสแสร้งทำเป็นจิตใจดีโดยการเชิญชวนท่านให้เข้าร่วมกับฝ่ายของนาง ทว่าพี่อวี้โม่อย่าหลงกลและอย่าสนใจพวกนางเลยนะ ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด หากคิดจะรังแกท่าน เราทั้งสองคนไม่ยอมแน่ ข้าและพี่เหลิ่งจะดูแลท่านเอง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกอดแขนฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวยืนยันเพื่อให้นางวางใจ แม้ฉินอวี้โม่จะไม่แสดงทีท่ากังวลใด ๆ ก็ตาม
“พี่เหลิ่ง ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ ?”
เด็กสาวมองไปยังเหลิ่งซวงเสวี่ยผู้ซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าและเอ่ยถามเสียงดัง
เหลิ่งซวงเสวี่ยไม่เอ่ยตอบสิ่งใดตามเดิม ทว่าฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่านางแอบพยักศีรษะเบา ๆ
“ไม่ต้องห่วง หากพวกนางกล้ายั่วโมโหข้า ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าพวกนางจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างไร !”
ฉินอวี้โม่แตะมือเถาเซี่ยวเซี่ยวเบา ๆ สำหรับหอชั้นนอกแห่งนี้ นางไม่สนใจหรือคิดไว้หน้าผู้ใดนอกเหนือจากบรรดาผู้อาวุโส
ในบรรดาศิษย์นอกทั้งหมด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงขอบเขตเทพเซียนสองดาราเท่านั้น แม้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัวได้ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับจอมยุทธ์เทพเซียนสองดาราได้อย่างง่ายดาย
ระหว่างพูดคุยกันนั้น ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงลานจัตุรัส
เวลานี้มีคนมารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสเป็นจำนวนมากแล้ว เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และอีกสองคนเข้ามาใกล้ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่ทันที
“สตรีผู้นั้นคือฉินอวี้โม่…ศิษย์ใหม่ที่มาจากดินแดนระดับต่ำสินะ”
ข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วหอชั้นนอกตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว นิกายหมื่นกระบี่ไม่คิดที่จะปิดบังความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของฉินอวี้โม่ตั้งแต่แรกและบรรดาศิษย์ในหอชั้นนอกล้วนทราบกันดี
“เป็นจริงดังคำเล่าลือ นางช่างงดงามมากจริง ๆ แม้ยืนเคียงข้างเหลิ่งซวงเสวี่ยและเถาเซี่ยวเซี่ยว ทั้งสองก็ไม่สามารถบดบังรัศมีอันเจิดจรัสของนางได้เลย”
ศิษย์ที่เป็นบุรุษหลายคนอดถอนหายใจให้กับความงามของฉินอวี้โม่ไม่ได้ แม้ว่าเมื่อวานนี้ข่าวลือเกี่ยวกับความงามของศิษย์คนใหม่จะแพร่ไปทั่ว ทว่าพวกเขาหลายคนก็ไม่เชื่อจนกระทั่งได้เห็นกับตา
เวลานี้พวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจ ยิ่งไปกว่านั้น หากเทียบกับเฉินหว่านเอ๋อร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งของหอชั้นนอก ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าสตรีทั้งสองมีเสน่ห์เป็นของตนเองและไม่มีผู้ใดยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“พลังของนางก็อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดซึ่งถือว่าไม่เลวร้าย ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ที่มีคุณสมบัติดีพร้อมเช่นนี้จะมาจากดินแดนระดับต่ำ”
เสียงกระซิบกระซาบของหลายคนดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และใบหน้าของนางก็เพียงประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เช่นเดิม สีหน้าของนางแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปและยังคงสงบนิ่งใจเย็นตลอดเวลา
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คือศิษย์น้องคนใหม่สินะ”
เสียงหัวเราะที่แอบแฝงไปด้วยเลศนัยดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน จากนั้นในระยะที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
ผู้ที่เดินนำหน้าสุดของกลุ่มคือสตรีที่ดูมีอายุประมาณยี่สิบสามถึงยี่สิบสี่ปี นางสวมชุดสีขาวและใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางซึ่งดูเป็นมิตรเข้าถึงง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ร่างของนางก็แผ่กลิ่นอายของความอ่อนน้อมและความเป็นผู้ดีซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกชื่นชอบตั้งแต่แรกเห็น ผู้ที่มีรูปลักษณ์งดงามและโดดเด่นสะดุดตาเช่นนี้มิอาจเป็นใครไปได้นอกจากเฉินหว่านเอ๋อร์—สตรีงามอันดับหนึ่งของหอชั้นนอก
เฉินหว่านเอ๋อร์ก้าวเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ และเมื่อเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน เฉินหว่านเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าปรับสีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับ ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้ามีนามว่าเฉินหว่านเอ๋อร์ ไม่ทราบว่าเจ้าอยากจะเข้าร่วมฝ่ายของข้าและพัฒนาเติบโตไปด้วยกันในอนาคตหรือไม่ ?”
นางคลี่ยิ้มและกล่าวเชิญชวนด้วยท่าทางที่ยังดูสุภาพและเรียบง่ายเช่นเดิม
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เมตตา แต่ไม่จำเป็นหรอก”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา นางมิใช่คนเขลาหรือใสซื่อจนมองไม่เห็นความเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้นางก็มองเห็นประกายความเหยียดหยามและความริษยาที่ฉายวาบในแววตาของเฉินหว่านเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน แม้จะปรากฏขึ้นมาเพียงชั่วขณะก็ตาม
หากเทียบกับเฉินหว่านเอ๋อร์ผู้หน้าซื่อใจคดตรงหน้า นางรู้สึกชื่นชอบเถียนซินและสวีเยว่มากยิ่งกว่าเสียอีก อย่างน้อยทั้งสองก็แสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ มิใช่เป็นสตรีดอกบัวขาวเช่นเฉินหว่านเอ๋อร์
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็แข็งทื่อไปเล็กน้อยและประกายความมุ่งร้ายปรากฏชัดในแววตา