คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1213 ดวงจิตกระบี่
ทักษะกระบี่ของฉินอวี้โม่อยู่ในระดับที่ล้ำเลิศพอสมควร แม้ทักษะที่เกี่ยวข้องกับกระบี่หลายกระบวนท่าจะเป็นสิ่งที่นางคิดค้นพัฒนาขึ้นมาเอง ทว่าพลังของพวกมันก็มิใช่สิ่งที่จะประเมินต่ำเกินไปได้
หากกล่าวว่าทักษะกระบี่ของเสิ่นเสี่ยวไห่มีรูปแบบกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและเป็นผลมาจากการฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์มานานหลายปี ทักษะกระบี่ของฉินอวี้โม่ก็ถือว่ายุ่งเหยิงและบ้าระห่ำกว่ามาก
จู่ ๆ กระบี่พลังมายาตรงหน้าของนางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปและแยกตัวออกเป็นกระบี่ขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งกระจายตัวออกไปล้อมรอบเสิ่นเสี่ยวไห่ในทุกทิศทาง
“นี่มัน…ดวงจิตกระบี่ !”
สีหน้าของเสิ่นเสี่ยวไห่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเมื่อสามารถฝึกฝนทักษะกระบี่จนบรรลุสภาวะที่ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว หรือว่าฉินอวี้โม่จะทำความเข้าใจดวงจิตกระบี่ได้แล้วเช่นกัน ?
“ไม่ มันเป็นเพียงทักษะยุทธ์พิเศษที่ข้าเรียนรู้ได้ก่อนหน้านี้และยังห่างไกลจากระดับของดวงจิตกระบี่มากนัก”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวตอบตามความจริง สำหรับ ‘ดวงจิตกระบี่’ ที่ล้ำลึกและยากที่จะหยั่งถึง เกรงว่านางจะทำความเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อบรรลุถึงระดับพลังของจ้าวนิกายหมื่นกระบี่เท่านั้นและนั่นยังเป็นระดับที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับตัวนางในตอนนี้
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
แม้ได้ทราบความจริง เสิ่นเสี่ยวไห่ก็ยังแอบชื่นชมฉินอวี้โม่จากใจจริง
การที่จอมยุทธ์จากดินแดนระดับต่ำสามารถฝึกฝนทักษะยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ด้วยพรสวรรค์ของตัวเองเพียงลำพังถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างที่สุด
ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถใช้กระบวนท่าสังหารในการดวลฝีมือเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นเสี่ยวไห่มั่นใจว่าหากแต่ละฝ่ายแสดงท่าไม้ตายออกมา เขาอาจจะต้านทานการโจมตีของฉินอวี้โม่ไว้ไม่ได้
แต่ถึงกระนั้น เสิ่นเสี่ยวไห่ก็ไม่คิดที่จะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นกัน อึดใจต่อมา ค่ายกลกระบี่ก็ก่อตัวขึ้นมารอบตัวของเขาเพื่อป้องกันจากทักษะยุทธ์ของฉินอวี้โม่
ตูมมม !
พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างจัง ฉินอวี้โม่และเสิ่นเสี่ยวไห่ต่างก็ถอยหลังไปหลายก้าวก่อนทรงตัวได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน เพลงกระบี่ของทั้งสองฝ่ายก็สลายหายไปในอากาศ เห็นได้ชัดว่าพลังของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกันและไม่มีฝ่ายใดที่เหนือกว่า
“หยุดเพียงเท่านี้เถอะ”
เสิ่นเสี่ยวไห่โบกมือและกล่าวขึ้นเพื่อยุติการต่อสู้
แม้ระดับพลังของฉินอวี้โม่จะไม่มากเท่ากับตัวเขา ทว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของนางก็สูงกว่าเขาพอสมควร ต่อให้ดึงดันสู้ต่อไป อย่างมากผลลัพธ์ก็คงมีเพียงการเสมอกันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ครานี้เขาก็คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต่อให้ทุ่มเทอย่างสุดฝีมือ เขาก็ต้องยอมรับว่าอาจเทียบกับฉินอวี้โม่ไม่ได้ ศิษย์ใหม่ผู้นี้แกร่งกล้าอย่างแท้จริงและทรงพลังเกินกว่าที่ทุกคนคาดไว้…
“ศิษย์พี่เสิ่น ขอบคุณสำหรับการชี้แนะครานี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและเหาะลงจากสังเวียน
เสิ่นเสี่ยวไห่ก็เหาะลงจากสังเวียนและเดินตรงไปยังที่นั่งซึ่งฉินอวี้โม่และสามพี่น้องตระกูลเมิ่งกำลังนั่งอยู่เช่นกัน ถัดจากพวกเขามีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งและเขาก็นั่งลงไปอย่างไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการพูดคุยกับฉินอวี้โม่และบุรุษสามพี่น้อง
“แม่เจ้า ศิษย์น้องฉินอวี้โม่สามารถรับมือกับศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่จนผลออกมาเป็นเสมออย่างนั้นรึ ?!”
หลังจากนิ่งเงียบด้วยความตกตะลึง ทุกคนก็เรียกสติกลับคืนมาอีกครั้งและอุทานออกไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เสิ่นเสี่ยวไห่เป็นถึงจอมยุทธ์อันดับสามของหอชั้นนอกและมีความแข็งแกร่งที่ทราบโดยทั่วกัน ความจริงที่ว่าฉินอวี้โม่เสมอกับเขาในการดวลฝีมือพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังความแข็งแกร่งและพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวของนาง กล่าวได้ว่าแม้แต่จอมยุทธ์อันดับหนึ่งของหอชั้นนอกก็อาจจะเอาชนะฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เหอะ ศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่เพียงอ่อนข้อให้กับนางเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ นางจะเป็นคู่มือให้กับศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่ได้อย่างไรกัน ? พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่ไม่ได้แสดงกระบวนท่าที่ทรงพลังออกมาแม้แต่คราเดียว ?”
เห็นได้ชัดว่าผู้ติดตามหลายคนของเฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินและคนอื่น ๆ ไม่ยอมรับในความสามารถของฉินอวี้โม่ ในเวลานี้ ใครคนหนึ่งกล่าวแย้งขึ้นมาและคิดว่าเสิ่นเสี่ยวไห่จงใจปล่อยอีกฝ่ายไป มิเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ไม่มีทางเป็นคู่มือให้กับเขาได้อย่างแน่นอน
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าไม่คิดหรือว่าศิษย์น้องฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ ?”
หลังจากได้เห็นการต่อสู้สองครา ศิษย์นอกหลายคนที่ตัดสินใจจะอุทิศตนให้กับฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นเป็นเสียงเดียวและตำหนิผู้ที่ไม่ยอมรับในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“เห็นกันอยู่ว่าคนที่พวกเจ้าสนับสนุนไม่ได้มีดีเท่ากับศิษย์น้องฉินอวี้โม่ พวกเจ้าก็เลยริษยาและกล่าววาจาเสีย ๆ หาย ๆ ออกมา ศิษย์น้องฉินอวี้โม่แข็งแกร่งยิ่งนักและสิ่งที่เกิดขึ้นก็ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเจ้าไม่ต้องการยอมรับความจริงก็เชิญท้าดวลและต่อสู้กับนางได้เลย”
พวกเขาไม่แสดงความปรานีต่อคนอคติเหล่านั้นแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นกลางและไม่ฝักใฝ่หรือเห็นพ้องกับฝ่ายใด ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายของเถียนซินหรือฝ่ายของเฉินหว่านเอ๋อร์ คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาหวั่นเกรงได้
“เหอะ เมื่อถึงการประเมินเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในในอนาคต พวกเจ้าจะได้เห็นธาตุแท้ของนางแน่ ตอนนี้หลงระเริงดีใจกันไปก่อนเถอะ !”
คนเหล่านั้นไม่อาจสรรหาคำใดมาโต้แย้งและทำได้เพียงตอบโต้กลับอย่างดื้อรั้นก่อนหันหลังเดินออกจากลานประลองยุทธ์ทันที
“ศิษย์น้องฉินอวี้โม่ ไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้นหรอก ก็แค่พวกเบาปัญญาที่ไม่มีอะไรทำนอกจากก่อเรื่องสร้างปัญหาไปวัน ๆ พวกนางริษยาในพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเจ้าจึงกล่าววาจาที่ไม่น่าฟังออกมา”
กลุ่มผู้ที่เป็นกลางหันกลับมาสนใจฉินอวี้โม่อีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเย้ยหยันต่อคนเหล่านั้นอย่างไม่ปิดบัง
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งหลายเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจความคิดเห็นของคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น นางก็เป็นที่ถกเถียงโจษจันของผู้คนมาแต่ไหนแต่ไรและมีความสุขกับการได้หักหน้าคนเหล่านั้น
จากนั้นความวุ่นวายในลานประลองยุทธ์ก็สงบลงและทุกคนก็เริ่มท้าดวลกับผู้ที่ต้องการประมือด้วย เวลานี้ บรรยากาศในลานประลองดูกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
“ศิษย์น้องอวี้โม่ หากมีโอกาสในอนาคต ข้าจะประกระบี่กับเจ้าอีกจะได้หรือไม่ ?”
เสิ่นเสี่ยวไห่มองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและอดกล่าวออกไปไม่ได้
ไม่ว่าในแง่ของรูปลักษณ์หรือพรสวรรค์ เขารู้สึกถูกชะตากับนางมากกว่าเถียนซินและเฉินหว่านเอ๋อร์หลายเท่าตัวนัก เพราะเหตุนั้น เสิ่นเสี่ยวไห่ผู้ซึ่งมักอยู่ลำพังมาเสมอจึงต้องการผูกมิตรกับฉินอวี้โม่
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งกระบี่ของศิษย์พี่เสิ่นก็เป็นสิ่งที่ข้าชื่นชมมากนัก อีกอย่าง…ข้าเองก็สามารถเรียนรู้ทักษะวิชาจากศิษย์พี่เสิ่นได้มากเช่นกัน”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและรับรู้ได้ถึงเจตนาที่ดีของเสิ่นเสี่ยวไห่ซึ่งต้องการผูกมิตรสร้างไมตรีกับตน
ด้วยพรสวรรค์ในระดับของเขา เสิ่นเสี่ยวไห่จะสามารถเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในได้อย่างไม่เป็นปัญหา แม้บรรยากาศในนิกายหมื่นกระบี่จะไม่ถือว่าเลวร้าย การแข่งขันภายในนิกายก็ประปรายกว่าขุมกำลังอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าร่วมหอชั้นใน เกรงว่าการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอาจจะเพิ่มมากขึ้น การผูกมิตรกับเสิ่นเสี่ยวไห่จึงเป็นสิ่งที่ดีซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
“พวกเราก็อยากจะเรียนรู้จากศิษย์พี่เสิ่นในอนาคตเช่นกัน”
สามพี่น้องตระกูลเมิ่งกล่าวอย่างพร้อมเพรียงขณะมองเสิ่นเสี่ยวไห่ด้วยแววตากระหายสงคราม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเมิ่งเถียนผู้ซึ่งปรารถนาที่จะดวลฝีมือกับเสิ่นเสี่ยวไห่ในตอนนี้ด้วยซ้ำ
ความแข็งแกร่งของสามพี่น้องตระกูลเมิ่งอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร เมิ่งฝานและเมิ่งเถียนจัดเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของหอชั้นนอก และแม้ว่าเมิ่งจวินจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เขาก็ถือเป็นหนึ่งในสามสิบอันดับแรกของหอชั้นนอกซึ่งเป็นอันดับที่ไม่ย่ำแย่เลยสักนิด
ด้วยฝีมือของพวกเขา พวกเขาคงจะเข้าร่วมกับหอชั้นในได้ไม่ยาก
กล่าวได้ว่าหลังจากกลายเป็นศิษย์ใน เมื่อถึงตอนนั้นฉินอวี้โม่ เถาเซี่ยวเซี่ยว เหลิ่งซวงเสวี่ยและสามพี่น้องตระกูลเมิ่ง รวมถึงเสิ่นเสี่ยวไห่ก็จะเกาะกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้
“ด้วยความยินดี”
เสิ่นเสี่ยวไห่ยกยิ้มมุมปากและตั้งตารอที่จะดวลฝีมือกับบุรุษทั้งสามเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเมิ่งเถียนที่ถูกจัดเป็นอันดับสี่ของหอชั้นนอกและเป็นรองเขาเพียงเล็กน้อย คาดว่าพลังในการต่อสู้ของบุรุษผู้นี้คงจะไม่ธรรมดาแน่และการดวลฝีมือระหว่างพวกเขาจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
หลังจากใช้เวลาอยู่ในลานประลองยุทธ์จนมืดค่ำ ฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังเรือนที่พักของตน
ภายในเรือน เถาเซี่ยวเซี่ยวยังคงปิดประตูและเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ในขณะที่ประตูห้องของเหลิ่งซวงเสวี่ยเปิดแง้มไว้เล็กน้อย
“เจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฉินอวี้โม่ เหลิ่งซวงเสวี่ยก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หึ ศิษย์พี่เหลิ่งเป็นห่วงข้าและกำลังเฝ้ารอให้ข้ากลับมาอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะเดินเข้าไปในห้องของเหลิ่งซวงเสวี่ย
คิดไว้ไม่มีผิด สตรีผู้นี้เป็นคนที่ภายนอกเย็นชาทว่าจิตใจอ่อนโยน !