คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1220 เรื่องแปลกประหลาด
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยแยกออกไปสำรวจห้องพักทางซ้ายมือรวมถึงห้องรับแขก ห้องฟืนและห้องครัว ในขณะที่เถาเซี่ยวเซี่ยวสำรวจอีกฟากหนึ่งของเรือนและหนึ่งในนั้นคือห้องส่วนตัวที่บิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยเคยอาศัยอยู่
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กสาว ทั้งสองก็รีบวิ่งไปหานางอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องนั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้องขณะสายตามองไปยังเตียงนอนและสีหน้าแสดงความงุนงงอย่างมิอาจอธิบาย
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเดินเข้าไปหยุดข้างกายนางและรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามและมองไปตามสายตาของนาง
“มีคนอยู่ที่นี่ !”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวขึ้นทันทีที่สังเกตเห็นความผิดปกติ หากเทียบกับห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะทั้งหมดก่อนหน้านี้ ห้องนี้ผิดแปลกไปจากห้องอื่นอย่างสิ้นเชิง
ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่ทำความสะอาดห้องนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่เครื่องเรือนเครื่องประดับที่ดูเป็นปกติเท่านั้น ทว่าทั้งห้องก็ยังไม่มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ตู้ เตียงหรือพื้น ทุกอย่างล้วนสะอาดและไม่มีจุดด่างพร้อยแม้แต่น้อย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
ทั้งสามรู้สึกสับสนไปตาม ๆ กัน หากมีคนอยู่ที่นี่จริง เหตุใดคนผู้นั้นจึงทำความสะอาดเฉพาะห้องนี้และมิใช่ห้องอื่นที่เหลือ ยิ่งไปกว่านั้น ประชากรในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก็หายสาบสูญไปทั้งหมด แล้วผู้ที่อยู่ที่นี่คือใครกันแน่ ?
และหากพวกนางไม่ได้มองพลาดไป เห็นได้ชัดว่าประตูด้านหน้าก็ไม่มีร่องรอยของการแตะต้องใด ๆ ด้วยซ้ำ แล้วผู้ที่พักอยู่ที่นี่ผ่านเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร…
ทั้งหมดที่รับรู้ในตอนนี้ล้วนทำให้ฉินอวี้โม่และอีกสองคนฉงนงุนงงเป็นที่สุด
“ลองสำรวจกันต่อไปเถอะ”
หากยังไม่เข้าใจถึงปริศนาของเรื่องเหล่านี้ พวกนางก็ไม่ควรเสียเวลาใคร่ครวญให้ปวดหัวก่อน ทั้งสามจึงมองหน้ากันและตัดสินใจสำรวจไปรอบ ๆ ต่อไปเพื่อดูว่าจะพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์หรือไม่
หลังจากที่ก้าวออกมาจากเรือนที่เหลิ่งซวงเสวี่ยเคยอาศัยอยู่ ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังอื่นที่อยู่ใกล้เคียง
และก็เป็นเช่นเดียวกับเรือนของเหลิ่งซวงเสวี่ยก่อนหน้านี้ สถานการณ์ประหลาดที่พวกนางค้นพบก็ปรากฏอยู่ในเรือนเหล่านั้นเช่นกัน ห้องส่วนใหญ่สกปรกและเต็มไปด้วยฝุ่นหนา ทว่ามีบางห้องที่ดูเหมือนถูกทำความสะอาดเป็นประจำจนไร้ตำหนิ ราวกับมีใครบางคนพักอยู่ที่นั่น
เรือนทั้งหมดที่พวกนางสำรวจล้วนให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันและพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างแท้จริง
หลังจากที่เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม เรือนในบริเวณที่พวกนางได้รับมอบหมายก็ถูกสำรวจทั้งหมด พวกนางจึงไม่เสียเวลาอีกต่อไปและเดินกลับไปยังจุดรวมตัวที่ทางเข้าของหมู่บ้าน
ณ ทางเข้าของหมู่บ้าน เสิ่นเสี่ยวไห่และคนอื่น ๆ กำลังรอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว
เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้มีพื้นที่ที่ไม่กว้างใหญ่นัก การสำรวจบ้านเรือนแต่ละหลังจึงใช้เวลาไม่นานและพวกเขาทำการตรวจสอบในส่วนของพวกตนเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าพบอะไรบ้างหรือไม่ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และอีกสองคนเดินกลับมา เถียนซินก็เอ่ยถามเป็นคนแรก
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ หากจะกล่าวถึงเบาะแสที่เป็นชิ้นเป็นอัน พวกนางก็ไม่ได้พบสิ่งใด
“แต่ว่า…เราพบบางอย่างที่แปลกพิลึก”
พวกนางไม่ลืมที่จะแบ่งปันข้อมูลที่ค้นพบกับเถียนซินและทุกคน
“เป็นจริงอย่างที่ว่า เรือนในส่วนที่พวกเราสำรวจก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เราไม่ได้คิดอะไรมากนัก เหตุใดบางห้องจึงดูเหมือนมีคนพักอยู่ในขณะที่บางห้องไม่มี ? คนในหมู่บ้านนี้หายสาบสูญไปนานแล้วมิใช่หรือ ?”
เถียนซินและสวีเยว่ตอบกลับทันที ก่อนหน้านี้พวกนางก็สังเกตเห็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันทว่าไม่คิดสิ่งใดมากนัก ตอนนี้เมื่อฉินอวี้โม่ย้ำเตือนถึงเรื่องนี้และเมื่อลองมาคิดไตร่ตรองดูดี ๆ มันก็ถือเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริง
จากข้อมูลที่พวกนางทราบมา ความเป็นความตายของประชากรในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆายังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบแน่ชัด นอกเหนือจากโรงเตี๊ยมสองหลังก็ไม่มีผู้อื่นอาศัยอยู่ที่นี่อีกเลย แล้วบางห้องในเรือนที่ดูเหมือนมีคนอาศัยอยู่นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน ?
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความงุนงงและมิอาจเข้าใจได้เลย
ท้องฟ้าเบื้องบนมืดลงเรื่อย ๆ เวลานี้ เฉินหว่านเอ๋อร์ ผางเลี่ยงและเซียวหมิงก็มาถึงหน้าทางเข้าของหมู่บ้านแล้วเช่นกัน
“ขอโทษทุกคนด้วย ข้าไม่ทราบว่าทุกคนจะมาสำรวจที่หมู่บ้านก่อนเวลา ข้าจึงเที่ยวชมในเมืองเพลินไปหน่อย หวังว่าทุกคนจะให้อภัย”
เฉินหว่านเอ๋อร์กล่าวขอโทษขอโพยด้วยสีหน้าท่าทางที่ยังคงดูอ่อนโยนและเป็นมิตรเช่นเดิม
“เหอะ เฉินหว่านเอ๋อร์ อย่ามัวแต่พูดพล่ามไร้สาระเลย ตอนแรกเราตกลงกันไว้เวลานี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งกล่าวคำขอโทษหรอก”
แน่นอนว่าเถียนซินและสวีเยว่ไม่มีทางไว้หน้าเฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินจึงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวขัดจังหวะอีกฝ่ายโดยตรง
“ตอนนี้ก็ใกล้มืดแล้ว เราไปที่โรงเตี๊ยมกันก่อนเถอะ”
เสิ่นเสี่ยวไห่กล่าวแทรกขึ้นมาและชี้ไปยังโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเข้าไปสำรวจก่อนหน้านี้
ไม่ว่าอย่างไร การอยู่ข้างนอกเช่นนี้จะเป็นอันตรายมากกว่าการอยู่ในโรงเตี๊ยม ก่อนจะทราบอย่างแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา พวกเขาทุกคนควรเลือกทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน
ทุกคนไม่คัดค้านและมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านด้วยกัน
ภายในโรงเตี๊ยมที่มืดสนิทและเงียบสงัดอย่างยิ่ง ทุกคนหยิบไข่มุกราตรีออกมาจากแหวนมิติของตนและวางไว้ตามมุมต่าง ๆ เพื่อมอบแสงสว่างให้กับโรงเตี๊ยมแห่งนี้
ประมาณสองก้านธูปต่อมา หมอกหนาทึบก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นนอกอาคารและแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา
“ถึงเวลาแล้ว !”
หลังจากที่มีใครบางคนเตือนทุกคนให้ระวังตัว สีหน้าของทุกคนก็ดูตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่ออีกสองก้านธูปผ่านไป นอกเหนือจากหมอกที่หนาแน่นซึ่งบดบังทัศนวิสัยจนแทบมองไม่เห็นถนนหนทาง มันก็ไม่มีสิ่งอื่นใดปรากฏให้เห็น ทุกคนจึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
“นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ?”
ทุกคนสับสนงุนงงและคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใด
“ศิษย์พี่เสิ่น ข้าว่าเราควรแยกกันออกไปสำรวจจะดีกว่า”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและกล่าวเสนอออกไป เนื่องจากรู้สึกว่าการอยู่ในโรงเตี๊ยมเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
“ข้าเห็นด้วย”
เสิ่นเสี่ยวไห่ไม่ปฏิเสธและเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉินอวี้โม่
“เราแบ่งกันเป็นสามกลุ่มและแยกย้ายไปสำรวจทั่วบริเวณเถอะ หากเผชิญกับภยันตรายใด จงตะโกนขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่าเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยตัวเอง ทุกคนเข้าใจรึไม่ ?”
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เสิ่นเสี่ยวไห่ก็กล่าวออกไป เดิมทีเขาวางแผนที่จะแบ่งทุกคนออกเป็นสี่กลุ่ม ทว่าเขาก็รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้แปลกพิลึกเกินไปและกลุ่มสี่คนจะปลอดภัยมากกว่า หากเผชิญกับปัญหาใด ต่อให้จะสะสางไม่ได้ ทุกคนก็คงจะหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย
“เราจะแบ่งกันอย่างไรรึ ? ข้าบอกไว้ก่อนว่าข้าไม่อยากอยู่ร่วมกลุ่มกับนาง”
เถียนซินและสวีเยว่กล่าวขึ้นแทบจะพร้อมกันและแสดงจุดยืนของตนเองอย่างตรงไปตรงมา พวกนางไม่ต้องการอยู่ร่วมกลุ่มกับเฉินหว่านเอ๋อร์จอมเสแสร้งและรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เป็นที่สุด
“เหอะ !”
เฉินหว่านเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชาทันที แม้ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่ต้องการอยู่ร่วมกับเถียนซินเช่นกัน
“ศิษย์น้องเหลิ่ง ศิษย์น้องอวี้โม่ เถาเซี่ยวเซี่ยว เมิ่งเถียน พวกเจ้าอยู่กลุ่มเดียวกัน เฉินหว่านเอ๋อร์ ผางเลี่ยง ข้าและเมิ่งจวินจะอยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนเถียนซิน สวีเยว่ เมิ่งฝานและเซียวหมิงก็จะเป็นกลุ่มสุดท้าย”
เสิ่นเสี่ยวไห่ไม่ต้องการเสียเวลาโต้แย้งสิ่งใดและรีบแบ่งกลุ่มตามความเหมาะสมทันทีโดยไม่กังวลว่าเถียนซินหรือผู้ใดจะคัดค้าน
“เราจะรับหน้าที่สำรวจในทิศตะวันออกเฉียงทางใต้เอง”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวขึ้นก่อน เนื่องจากต้องการกลับไปสำรวจที่เรือนหลังเดิมของตนเอง
เสิ่นเสี่ยวไห่และเถียนซินก็เลือกทิศทางที่จะแยกไปสำรวจเช่นกัน จากนั้นทั้งสามกลุ่มที่มีสมาชิกกลุ่มละสี่คนก็แยกย้ายกันออกไป
ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัดอย่างยิ่งและหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่วจนยากที่จะมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัว
หลังจากเดินเท้าไปตามทางและปรากฏตัวตรงหน้าประตูเรือนที่เหลิ่งซวงเสวี่ยเคยอาศัยอยู่ พวกนางก็ผลักเปิดประตูเบา ๆ และเดินตรงเข้าไปทันที
“เอ๋ ?”
ทันทีที่ประตูเปิดออก คนทั้งสี่ก็ตกตะลึงระคนประหลาดใจทันที
เพราะตรงหน้าของพวกนางในเวลานี้ มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากห้องหนึ่งในเรือน แม้จะดูพร่ามัวเล็กน้อย มันก็เป็นแสงไฟอย่างแน่นอน