คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1252 สิทธิ์ที่กำหนดไว้
หลังจากโยนร่างของเฉินหว่านเอ๋อร์ทิ้งไว้ในพื้นที่ที่ห่างจากนิกายหมื่นกระบี่เป็นระยะหนึ่งร้อยลี้ ฉินอวี้โม่ก็กลับเข้าไปที่หอชั้นนอกอย่างรวดเร็ว
คนของประตูเร้นลับก็รับช่วงต่อหลังจากนี้ไว้แล้ว เพราะเหตุนั้นเฉินหว่านเอ๋อร์จะไม่มีโอกาสรอดพ้นไปได้ ในภายภาคหน้า ไม่เพียงแต่นางจะกลายเป็นคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลังเท่านั้น ทว่านางก็ยังจะได้รับบทเรียนจากคนของประตูเร้นลับอย่างสาสม
ณ หอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่ บรรดาผู้อาวุโสเตือนทุกคนเกี่ยวกับเรื่องของเฉินหว่านเอ๋อร์เพื่อมิให้พวกเขาเอาเยี่ยงอย่างและระมัดระวังกับการกระทำของตนเองมากขึ้น รวมถึงยังกำชับมิให้ผู้ใดกระทำสิ่งที่เป็นการละเมิดกฎระเบียบของนิกายหมื่นกระบี่อีกด้วย
แน่นอนว่าศิษย์ทุกคนพยักศีรษะด้วยความเข้าใจและเคารพกฎของนิกาย
เนื่องจากเรื่องของเฉินหว่านเอ๋อร์ บรรดาผู้อาวุโสจึงได้หารือกันและตัดสินใจที่จะเลื่อนการประเมินของหอชั้นนอกออกไปหนึ่งวัน
ทุกคนไม่คัดค้านและแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตน อย่างไรก็ตาม ศิษย์หลายคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเถียนซินและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันเข้ามาสอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ถูกบรรดาผู้อาวุโสของหอชั้นนอกเรียกเข้าไปพบในที่ประชุมของพวกเขา
“ฉินอวี้โม่ ข้าได้ยินว่าตอนนี้เจ้ากลายเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยถาม ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสฉีได้เล่ารายละเอียดให้พวกเขาทราบแล้ว สำหรับเรื่องที่ฉินอวี้โม่ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้านิกายคนใหม่ของนิกายพันปีศาจ ผู้อาวุโสหลายคนก็แสดงปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป
ผู้อาวุโสบางคนมองว่าในเมื่อนางกลายเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจไปแล้ว การอาศัยอยู่ในนิกายหมื่นกระบี่ต่อไปอาจไม่เหมาะสมนักและต้องการให้นางถอนตัวไปจากที่นี่
ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็มองว่าเรื่องนั้นไม่มีผลใด ๆ ต่อนิกายหมื่นกระบี่ พวกเขามั่นใจว่าในตอนแรกที่ฉินอวี้โม่เข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ นางก็มีเพียงตัวลำพังเท่านั้น และการกลายเป็นผู้นำของนิกายพันปีศาจในตอนนี้ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อนิกายหมื่นกระบี่ของพวกเขา
“ใช่เจ้าค่ะ หากท่านผู้อาวุโสทั้งหลายมองว่าการที่ข้าขึ้นเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจจะส่งผลร้ายต่อนิกายหมื่นกระบี่ ข้าก็ยินดีออกไปจากที่นี่ทันทีและจะไม่ทำให้ทุกท่านต้องอึดอัดใจ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและกล่าวแสดงจุดยืนของตนออกไป
“อย่าคิดมากไปเลย เราเพียงถามให้แน่ใจเท่านั้นและไม่มีจุดประสงค์อื่นใด นิกายหมื่นกระบี่ของเราไม่มีกฎที่ห้ามมิให้ศิษย์ของนิกายดำรงตำแหน่งจ้าวนิกายของขุมกำลังอื่น ต่อให้เป็นศิษย์เอกของหอชั้นใน เมื่อได้เรียนรู้วิชามากพอและต้องการจะไปจากนิกายของเรา เราก็จะไม่ขัดขวาง ส่วนการที่เราเรียกเจ้ามาพบก็เพื่อถามถึงสถานการณ์ของนิกายพันปีศาจเท่านั้น”
ผู้อาวุโสฉีอธิบายว่าเดิมทีนิกายหมื่นกระบี่ของพวกเขาก็มิใช่นิกายที่เผด็จการและกดขี่ศิษย์ รวมถึงจะไม่แทรกแซงการกระทำของศิษย์ในนิกาย
ตราบใดที่ตัวตนและพื้นเพภูมิหลังของพวกเขาถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนก่อนเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ ทางนิกายก็จะไม่แทรกแซงในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในกรณีของฉินอวี้โม่ ก่อนที่จะเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ นางก็ไม่มีภูมิหลังมาจากนิกายหรือตระกูลใด การได้ขึ้นกลายเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของนางซึ่งผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ต่างก็ยินดีและจะไม่เข้าไปแทรกแซงเพราะสาเหตุนี้
“ฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ แม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจแล้ว หากทำสิ่งใดที่ขัดต่อหลักปฏิบัติของนิกายหมื่นกระบี่ เราก็ต้องจัดการกับเจ้าตามกฎระเบียบของนิกาย !”
ผู้อาวุโสใหญ่ของหอชั้นนอกกล่าวขึ้นและเน้นย้ำประเด็นดังกล่าว
เพราะถึงอย่างไร ตราบใดที่ยังอยู่ร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ นางก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของนิกายเช่นเดียวกับศิษย์ทุกคนและจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษแต่อย่างใด
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายไม่ต้องห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจดี”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะยืนยันความเข้าใจ นับตั้งแต่ตัดสินใจกลับมาที่นิกายหมื่นกระบี่ นางก็เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับสิ่งนี้ไว้แล้ว หากต้องออกจากนิกายหมื่นกระบี่ในอนาคต นางก็ต้องการไปจากที่นี่อย่างมีเกียรติ มิใช่ถูกขับไล่ออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใดที่นางออกไปจากนิกายหมื่นกระบี่ นางก็จะไม่ปฏิเสธตัวตนในฐานะศิษย์ของนิกายแห่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า ครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่
“เล่าสถานการณ์ของนิกายพันปีศาจให้พวกเราฟังเถอะ หากต้องการความช่วยเหลือใด เจ้าก็บอกมาได้เลย ในเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้นำของนิกายพันปีศาจแล้ว ต่อไปนิกายหมื่นกระบี่ของเราก็คงจะกลายเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับนิกายพันปีศาจ และไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธความช่วยเหลือของเราหรอก”
ผู้อาวุโสฉีกล่าวและถามถึงสถานการณ์ของนิกายพันปีศาจ
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังสิ่งใดและบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของนิกายพันปีศาจ รวมถึงกฎระเบียบที่ตั้งขึ้นใหม่ให้ผู้อาวุโสของหอชั้นนอกได้ทราบ
“เยี่ยมไปเลย นั่นเป็นเรื่องที่เยี่ยมจริง ๆ”
ผู้อาวุโสหลายคนพึงพอใจกับการกระทำของฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก ในเมื่อนิกายพันปีศาจเปลี่ยนจุดยืนไปเช่นนี้ ในอนาคตข้างหน้า นิกายพันปีศาจก็จะไม่ถือเป็นศัตรูของพวกเขาอีกต่อไป หากแต่จะกลายเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การปกครองของฉินอวี้โม่ อนาคตของนิกายพันปีศาจก็จะก้าวไกลอย่างไร้ขีดจำกัด
“อีกอย่าง…ในเมื่อภารกิจในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จากเงื่อนไขที่ตั้งไว้ พวกเจ้าจะได้รับรางวัลตามความเหมาะสม แผนการเดิมคือผู้ที่ทำภารกิจสำเร็จจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมหอชั้นในโดยตรง ทว่าเนื่องจากครานี้เป็นภารกิจที่ยากเย็นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผลตอบแทนจึงสูงขึ้นเป็นสองเท่าและจะได้รับทั้งหมดสองสิทธิ์ หลังจากกลับไป เจ้าไปหารือกับศิษย์พี่คนอื่น ๆ เถอะว่าสองสิทธิ์นั้นจะมอบให้กับผู้ใด”
ผู้อาวุโสฉีนึกบางอย่างขึ้นได้จึงกล่าวกับฉินอวี้โม่เพื่อให้นางกลับไปหารือกับเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ หลังจากนั้น นางก็กลับไปยังเรือนที่พักของตน
ณ เรือนที่พักของฉินอวี้โม่ เถาเซี่ยวเซี่ยวและเหลิ่งซวงเสวี่ย ในเวลานี้ บรรดาศิษย์ที่ไปออกดำเนินภารกิจที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาต่างก็มารวมตัวกันและพูดคุยกันอยู่ที่นี่
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา ทุกคนก็ลุกขึ้นและเข้าไปทักทายนางทันที
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ? บรรดาผู้อาวุโสมีความเห็นกันอย่างไร ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวเอ่ยถามออกไปอย่างเร่งรีบเนื่องจากกังวลว่าฉินอวี้โม่จะถูกขับไล่ออกจากนิกายหมื่นกระบี่เนื่องจากการตำแหน่งใหม่ในนิกายพันปีศาจ
“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดี ท่านผู้อาวุโสแค่ถามข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของนิกายพันปีศาจและไม่ได้เจาะจงประเด็นอื่นใด”
ฉินอวี้โม่แตะมือเด็กสาวเบา ๆ และยิ้มให้กับทุกคนก่อนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา
“ตอนนี้ก็บังเอิญจริง ๆ ที่ทุกคนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า ข้าจึงไม่ต้องออกไปเรียกทุกคนมา ท่านผู้อาวุโสบอกข้าว่าเราทำภารกิจสำเร็จแล้วและจะได้รับสองสิทธิ์เพื่อเข้าร่วมหอชั้นใน ดังนั้นข้าจึงต้องการหารือกับทุกคนว่าสองสิทธิ์นั้นจะมอบให้กับผู้ใดบ้าง”
ทั้งสิบคนนั่งลงและฉินอวี้โม่ก็อธิบายถึงประเด็นนี้
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงน้อยคนที่ต้องการสิทธิ์สำหรับการเข้าร่วมหอชั้นในโดยตรง
เพราะถึงอย่างไร สำหรับความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของทั้งสิบคน พวกเขาสามารถเข้าร่วมการประเมินเพื่อเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในได้โดยตรงและจะไม่มีผู้ใดที่กังขาในเรื่องนี้
เพราะเหตุนั้น สองสิทธิ์ที่ถูกกำหนดมานี้จึงไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
เสิ่นเสี่ยวไห่ สามพี่น้องตระกูลเมิ่งและเซียวหมิงก็แสดงจุดยืนออกไปอย่างรวดเร็วโดยบ่งบอกว่าพวกเขาไม่สนใจในสิทธิ์ดังกล่าวและต้องการจะเข้าร่วมการแข่งขันประเมินเพื่อเข้าร่วมกับหอชั้นในด้วยฝีมือของตนเอง
“ข้าก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน ข้าต้องการเข้าร่วมกับหอชั้นในด้วยฝีมือของตัวเองและไม่ต้องการสิทธิพิเศษในการผ่านเข้าไปโดยตรง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวโบกมืออย่างรวดเร็วและแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจสองสิทธิ์นั้น อันที่จริง นางสามารถเข้าร่วมกับหอชั้นในได้นานแล้ว ทว่ายังต้องการพิสูจน์บางสิ่งบางอย่าง หากใช้สิทธิพิเศษเพื่อผ่านเข้าไปโดยตรง ความตั้งใจนั้นก็จะไร้ความหมาย
เถียนซินและสวีเยว่ก็แสดงจุดยืนว่าไม่ต้องการสิทธิ์ดังกล่าวเช่นกัน
เพราะเหตุนั้น ตอนนี้จึงเหลือฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเพียงสองคน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่เหลิ่งและข้าจะรับสองสิทธิ์นั้นไว้เอง”
ฉินอวี้โม่ลังเลครู่หนึ่งและรู้สึกว่าการรับสิทธิ์นั้นไว้มิใช่เรื่องเสียหาย สำหรับเหลิ่งซวงเสวี่ย ไม่ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมการประเมินคราต่อไป มันก็มิใช่เรื่องสำคัญสำหรับนาง