คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1267 พลังที่ถูกปลุกขึ้นมา
หลายคราที่เผชิญกับวิกฤตร้ายก่อนหน้านี้ พลังลึกลับนั้นในร่างของฉินอวี้โม่ก็มักจะปรากฏออกมา มันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งและอัดแน่นไปด้วยพลังงานที่มหาศาล สิ่งที่สำคัญคือดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังที่สืบทอดมาจากสายเลือดของฉินอวี้โม่
เพียงแต่ นอกเหนือจากช่วงเวลาที่นางตกอยู่ในอันตราย พลังนั้นก็ไม่เคยปรากฏออกมาในสถานการณ์อื่น ๆ เพราะเหตุนั้น อสูรทั้งสองและแม้แต่ฉินอวี้โม่เองจึงไม่เคยทราบว่ามันคือพลังประเภทใด
ซิวและมารยาคาดเดาว่าหลังจากปลุกพลังลึกลับนั้นได้สำเร็จ ประสบการณ์ชีวิตในอดีตเมื่อครั้งที่ฉินอวี้โม่ยังเป็นชิงเหอคงจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่กำลังนั่งอยู่ในจวนเจ้าเมืองของคฤหาสน์เฟิงหัวและสภาวะพลังหนาแน่นรอบบริเวณก็หลั่งไหลเข้าหานางอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียน
ตอนนี้ก็ราวกับว่านางเข้าสู่สภาวะที่พิเศษซึ่งปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงและสติสัมปชัญญะพร่าเลือนจนเกิดความรู้สึกสับสนไม่ชัดเจนนัก
คลื่นพลังบางอย่างกำลังทำลายผ่านกำแพงขวางกั้นในร่างกายของนางและจุดทะลวงผ่านของขอบเขตเทพเซียนก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่าฉินอวี้โม่จะใช้เวลาอีกเพียงไม่นานเพื่อบรรลุไปสู่ขอบเขตเทพเซียนได้เต็มตัว
ฉินอวี้โม่มั่นใจได้ว่าหากการทะลวงพลังครานี้เสร็จสมบูรณ์ ต่อให้เผชิญหน้ากับอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของนิกายหมื่นกระบี่ นางก็มีพลังมากพอที่จะรับมือได้ ทว่าตอนนี้นางยังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย
เวลาดำเนินไปเรื่อย ๆ และภายในชั่วพริบตา เวลาในโลกภายนอกก็ผ่านไปสามวันแล้ว
เหลิ่งซวงเสวี่ยทราบว่าฉินอวี้โม่กำลังทะลวงพลังอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวและไม่คิดรบกวนนาง ยิ่งไปกว่านั้น เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ยังไม่ออกไปที่ใดตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมาและทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในห้องพัก
ในวันนี้ หลังจากการทะลวงพลังเป็นเวลานานในคฤหาสน์เฟิงหัว ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ลืมตาขึ้นมา
ทันใดนั้น แสงสีทองอร่ามก็ฉายวาบในดวงตาของนางและพลังที่ถูกปิดผนึกไว้ในร่างกายของนางก็หลั่งไหลออกมาผสานเข้ากับพลังของเทพมายาอย่างรวดเร็ว
พลังมายาในร่างของฉินอวี้โม่แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอย่างช้า ๆ และในที่สุดก็กลายเป็นสีโปร่งใสอีกคราก่อนหายเข้าไปในจุดตันเถียน
แสงสีทองในดวงตาของฉินอวี้โม่ค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ฟื้นกลับมาและร่างกายของนางก็เริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง
ในเวลานี้ พลังของนางทะลวงจากขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียนสองดาราได้โดยตรง และพลังมายาของนางก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าสองเท่า
อันที่จริง สาเหตุที่ฉินอวี้โม่ไม่พบโอกาสในการทะลวงพลังก่อนหน้านี้เป็นเพราะนางกดดันตัวเองมากเกินไป อย่างไรก็ตาม การประกวดร้องเล่นเต้นรำของหอชั้นในก็ช่วยให้นางปลดปล่อยความกดดันเหล่านั้นออกไปอย่างสิ้นเชิงจนกลายเป็นกุญแจสำคัญในการทะลวงพลังในที่สุด
“นายหญิง ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
มารยาและซิวสัมผัสได้ว่าผู้เป็นนายทะลวงพลังสำเร็จแล้วและรีบปรี่เข้ามากล่าวแสดงความยินดีกับนางทันที
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เมื่อครู่นี้พวกมันสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวบางอย่าง พลังลึกลับนั้นทำให้พวกมันเกิดความคิดที่จะก้มหัวศิโรราบอย่างว่าง่าย เคราะห์ดีที่พลังนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น อสูรที่อ่อนแอเช่นเสี่ยวเฮยหรืออสูรอื่น ๆ คงไม่สามารถต้านทานแรงกดดันของมันได้
“นายหญิง ท่านรู้สึกถึงความผิดปกติใดในร่างกายหรือไม่ ?”
ซิวเอ่ยถามฉินอวี้โม่เนื่องจากรับรู้ได้ว่าพลังมายาของนางและพลังลึกลับที่ถูกผนึกไว้ในร่างกายของนางได้ผสานเข้าด้วยกันแล้ว ตอนนี้ความแข็งแกร่งโดยรวมของฉินอวี้โม่จึงพัฒนาขึ้นมาอย่างน้อยสองเท่าตัว
ฉินอวี้โม่ยังไม่รับรู้ถึงความผิดปกติใด เมื่อครู่นี้ที่นางทะลวงพลังได้สำเร็จ สติรับรู้ของนางก็หลุดลอยไปชั่วขณะและไม่ทราบว่าพลังลึกลับที่เคยช่วยชีวิตตนไว้หลายคราได้ผสานเข้ากับพลังของเทพมายาภายในร่างกายแล้ว
ทันใดนั้น ก้อนพลังมายาก็ปรากฏบนปลายนิ้วมือของนางโดยแทบไม่ต้องใช้ความคิดด้วยซ้ำ
“หืม ? อะไรกัน ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เวลานี้พลังมายาของนางกลายเป็นสีโปร่งใสไปโดยสมบูรณ์แล้ว หากมิใช่เพราะสัมผัสได้ถึงพลังในมือของตน ฉินอวี้โม่ก็คงไม่กล้าคิดว่ามันเป็นพลังมายาของนางเอง
“นายหญิง พลังในสายเลือดที่เป็นของชิงเหอได้ถูกปลุกขึ้นแล้ว หลังจากนี้ พลังความแข็งแกร่งและความเร็วในการฝึกยุทธ์ของท่านจะพัฒนาขึ้นมาก ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
ซิวกล่าวพร้อมยกยิ้มมุมปาก ทว่ารูปลักษณ์ที่สง่างามชวนหลงของมันก็ทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย
นางไม่ได้พบหน้าซิวในร่างมนุษย์ที่ดูผ่อนคลายเช่นนี้มานานแล้ว ซิวในตอนนี้ดูหล่อเหลายิ่งกว่าตอนที่พบหน้ากันในครั้งแรกเสียอีกและยากที่ผู้พบเห็นจะละสายตาออกไปได้
ต่อให้ควานหาในทั้งสามภพ เกรงว่าคงมีเพียงหานโม่ฉือคนเดียวเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับซิวในเรื่องของรูปลักษณ์ได้
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของทั้งสองก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความหล่อเหลาของซิวดูเป็นความดึงดูดน่าหลงใหลซึ่งมีทั้งด้านเที่ยงธรรมและด้านของความโหดร้ายป่าเถื่อน ในขณะที่หานโม่ฉือดูสงบนิ่งและเย็นชาซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับสัมผัสสายลมอ่อน ๆ
“พลังทางสายเลือดของชิงเหออย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่คิดไม่ถึงเลยว่าพลังจากสายเลือดของชิงเหอจะยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายของนาง ในชีวิตภพก่อน ชิงเหอตายไปโดยที่ไม่หลงเหลือร่างกายหรือกระดูกด้วยซ้ำ เพราะเหตุนั้น พลังทางสายเลือดดังกล่าวคงจะผสานเข้ากับจิตวิญญาณและถือกำเนิดใหม่มาพร้อมกับนาง
“พลังทางสายเลือดของชิงเหอดูจะแอบแฝงไปด้วยพลังของเทพโบราณซึ่งทำให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันที่แกร่งกล้า ข้าสงสัยว่าตระกูลของชิงเหออาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเทพยุคโบราณ บางทีบรรพบุรุษของตระกูลชิงเหออาจเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายของเทพโบราณ”
ซิวพยักศีรษะและกล่าวข้อสันนิษฐานของตน
เมื่อฉินอวี้โม่ทะลวงพลังสำเร็จ พลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างของนางก็มีร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณซ่อนอยู่ซึ่งเป็นพลังที่แม้แต่ซิวก็มิอาจต้านทานได้
ในช่วงเวลาที่ความทรงจำยังไม่ฟื้นคืนกลับมา แน่นอนว่าซิวไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ทว่าตอนนี้เมื่อความทรงจำของมันฟื้นคืนมามากพอสมควรแล้วและหลายสิ่งหลายอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับเทพโบราณของมันก็ฟื้นคืนกลับมาเช่นกัน
“ผู้สืบเชื้อสายของเทพโบราณอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่เคยคาดคิดว่าชิงเหอจะมีสถานะที่พิเศษเช่นนั้นอยู่ นางจดจำได้เพียงว่าเมื่อครั้งที่นางยังเป็นชิงเหอและอาจารย์ของนางเก็บนางมาเลี้ยงจากในหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้หุบเขา ในตอนนั้นนางก็ไม่ทราบถึงต้นกำเนิดของตนเองแม้แต่น้อย อีกทั้งในร่างกายของนางก็ไม่มีสิ่งใดที่ช่วยยืนยันสถานะที่พิเศษนั้น
สำหรับชีวิตในภพนั้น ฉินอวี้โม่ไม่เคยคิดที่จะตามหาความจริงเกี่ยวกับภูมิหลังของตน คิดไม่ถึงเลยว่านางจะได้พบโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หลังจากการเกิดใหม่
“นายหญิง พลังของท่านพิเศษมาก หากกระตุ้นพลังทางสายเลือดขึ้นมาได้ มันจะดึงดูดความสนใจของคนในตระกูลของชิงเหออย่างแน่นอนและบางคนอาจจะมาหาท่านถึงที่ ท่านควรคิดพิจารณาก่อนว่าท่านจะเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นอย่างไร”
ซิวกล่าวเตือนฉินอวี้โม่อีกครา หากบิดามารดาของชิงเหอจงใจทอดทิ้งนางตั้งแต่แรก มิอาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อรับรู้ว่านางปรากฏตัวขึ้นมาอีกครา เพราะเหตุนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
ฉินอวี้โม่ทราบดีและเริ่มคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของชิงเหอ ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้สึกว่าบิดามารดาของตนในภพก่อนคงจะอยู่ในโลกแห่งเทพเช่นเดียวกันและพวกเขาจะได้พบกันในอีกไม่นาน…
หลังจากอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวต่ออีกพักใหญ่เพื่อลองทดสอบพลังที่พัฒนาขึ้นมา ฉินอวี้โม่ก็พบว่าหลังจากที่พลังทางสายเลือดและพลังของเทพมายาผสานรวมกัน พลังของนางก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าก่อนอย่างน้อยสามเท่าตัว เวลานี้ ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพเซียนแปดดารา นางก็มีโอกาสเอาชนะมากถึงเจ็ดในสิบส่วนแม้ไม่ใช้ไพ่ตายใด ๆ ก็ตาม
นางพยักศีรษะเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจก่อนก้าวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว ตอนนี้นางมีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้อย่างมั่นใจแล้ว หลังจากได้ศึกษาวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของนิกายหมื่นกระบี่ มันก็ถึงเวลาที่จะออกตามหาเสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่และบิดามารดาในภพนี้…
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในห้องหนึ่ง สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
“นางกลับมาแล้ว !”
เขาพึมพำกับตัวเอง ทว่าเป็นน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขา