คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1269 ศักดิ์ศรีของนักกิน
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่และทุกคนเลือกโต๊ะขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับสมาชิกได้มากถึงยี่สิบคน แน่นอนว่าตำแหน่งตรงกลางโต๊ะถูกสงวนไว้สำหรับฉินอวี้โม่โดยที่คนอื่น ๆ นั่งลงถัดออกไปทีละคนและตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ ก็ดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
“นั่งคุยกันก่อนเถอะ มื้อนี้ข้าจะเลี้ยงเอง ห้ามใครแย่งข้าล่ะ !”
ว่านหลิงเอ๋อร์ยืนขึ้นและกล่าวเสียงดังฟังชัด
“หลิงเอ๋อร์ ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
เจียงฉากล่าวพร้อมรอยยิ้มในขณะที่ลั่วซือลุกขึ้นอีกครั้ง ในเมื่อมีคนรับหน้าที่เลี้ยงอาหารแล้ว นางก็ต้องการสั่งอาหารที่โปรดปรานเพิ่มอีกหลายจาน
“อย่าสั่งเพิ่มอีกเลย หากพวกเจ้าทานไม่หมด มันจะเสียของเปล่า ๆ”
หลี่ก่วนก่วนจับแขนลั่วซือและกล่าวปรามด้วยสีหน้าที่ตำหนิเล็กน้อย เมื่อเป็นเรื่องอาหาร สหายผู้นี้ของนางไม่เคยยอมแพ้ผู้ใด
“หลี่ก่วนก่วน หากเป็นเรื่องอื่น เจ้าสามารถกังขาในตัวข้าได้ ทว่าเจ้าไม่สามารถกังขาข้าในเรื่องการกินได้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นศักดิ์ศรีของนักกินอย่างข้า ไม่ต้องกล่าวถึงการสั่งอาหารเพิ่มอีกไม่กี่จาน เพราะต่อให้จะสั่งเพิ่มอีกเป็นสิบจาน ข้าก็จะกวาดให้เรียบ !”
ลั่วซือยกมือทั้งสองข้างเท้าสะเอวและจ้องหน้าหลี่ก่วนก่วนด้วยใบหน้าที่ดูภาคภูมิใจ
“ถูกต้องแล้ว ลั่วซือไม่ปล่อยให้อาหารเสียเปล่าหรอก นางมิใช่ข้าสักหน่อย หลี่ก่วนก่วน…เจ้าเคยเห็นสหายของเราแพ้คนอื่นในเรื่องกินหรืออย่างไร ?”
เจียงจิ้งมองหลี่ก่วนก่วนด้วยแววตาไม่พอใจเช่นกันและกล่าวแสดงความสนับสนุนต่อลั่วซือ
ลั่วฉิงก็พยักหน้าหงึกหงักด้วยความเห็นด้วย ทว่าสายตากลับจับจ้องไปยังอาหารที่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย
“ลั่วซือ เรามาแข่งกินกันเถอะ”
จู่ ๆ หวังเผยยวี่ก็กล่าวขึ้น อันที่จริงนางก็เป็นสตรีที่กินจุเช่นกัน ทว่ามีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้
“แน่ใจรึว่าอยากจะแข่งกับข้า ?”
ลั่วซือหันขวับไปมองหวังเผยยวี่ด้วยความสงสัยและจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยที่พยายามจะหาคำตอบว่าสตรีรูปร่างผอมบางผู้นี้จะรับประทานอาหารได้มากสักเพียงใดกัน
“อย่าประเมินข้าต่ำเกินไป ข้าอาจจะแพ้ในการประกวดร้องเล่นเต้นรำก่อนหน้านี้ แต่เรื่องนี้ข้าไม่แพ้แน่ ! ข้าจะแสดงให้เจ้าได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นนักกินตัวจริง !”
หวังเผยยวี่กล่าวด้วยสีหน้าที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อกล่าวถึงเรื่องการกิน แววตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา
“ฉินอวี้โม่ อยากจะแข่งกับพวกเราด้วยหรือไม่ ?”
สายตาของหวังเผยยวี่เลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมกล่าววาจายั่วยุ
“ข้าจะแข่งกับเจ้าเอง”
สหายคนหนึ่งจากห้องพักของว่านหลิงเอ๋อร์ยืนขึ้นเพียงคนเดียว นางเองก็เป็นสตรีที่ชื่นชอบในการกินเช่นกัน
“ลืมมันไปเถอะ เราไม่แข่งด้วยหรอก เชิญพวกท่านแข่งกันตามสบายและพวกเราจะเป็นคนตัดสินให้เอง”
ฉินอวี้โม่โบกมือปฏิเสธ แม้จะชื่นชอบการกินอยู่เช่นกัน นางก็ยังด้อยกว่าลั่วซือมากนัก คราก่อนที่ร่วมโต๊ะกันในภัตตาคาร ลั่วซือเพียงคนเดียวก็ฟาดข้าวเปล่าไปถึงหกชาม แม้แต่ลั่วฉิงและเจียงจิ้งก็ทานไปมากเช่นกัน หากต้องเทียบกับกระเพาะของคนเหล่านี้ ฉินอวี้โม่ก็มิใช่คู่มือแม้แต่น้อย
“ไม่คิดเลยว่าในห้องพักทุกห้องจะมีนักกินจุอยู่ หากพวกเจ้าอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน เกรงว่าคงจะชวนกันมาที่ภัตตาคารทุกวี่ทุกวันเป็นแน่ ฮ่า ๆ ๆ”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนอดกล่าวอย่างติดตลกไม่ได้ รอยยิ้มที่สดใสและคิ้วสวยที่โค้งเป็นรูปของนางก็ดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
“เราไม่เคยร่วมโต๊ะกันในภัตตาคารอย่างพร้อมหน้าเช่นนี้มาก่อน ไม่คิดเลยว่าการที่เราได้พูดคุยหัวเราะกันจะช่วยให้บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความสุขและความน่าอภิรมย์เช่นนี้ หากมีโอกาสหน้า เราจะต้องนัดเจอกันให้มากยิ่งขึ้น”
ว่านหลิงเอ๋อร์กล่าวเสนอความคิดออกไป ถึงอย่างไรพวกนางก็ไม่มีความบาดหมางหรือความคับแค้นใจต่อกันและมีความสัมพันธ์ที่อยู่ในระดับที่ดี การที่ได้นั่งทานอาหารด้วยกันและพูดคุยกันถือเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างมาก
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ในอีกไม่กี่วัน ห้องพักของศิษย์น้องอวี้โม่ก็คงจะมีสหายใหม่เข้ามาเพิ่มและเราจะได้นัดพบกันอีกครา”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนพยักศีรษะเห็นด้วย หลังจากคำนวณเวลาอย่างรวดเร็ว นางก็พบว่าการคัดเลือกศิษย์นอกเพื่อเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในจะเริ่มขึ้นในอีกประมาณสิบวันข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น ศิษย์ชุดใหม่จากหอชั้นนอกก็จะเข้าร่วมกับหอชั้นในและจะเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับหอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ได้มากยิ่งขึ้น
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเจ้ารู้จักสตรีที่มีนามว่าเฉินหว่านเอ๋อร์รึไม่ ?”
จู่ ๆ ฉินเสี่ยวเยี่ยนก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม แม้ไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอชั้นนอกมากนัก พวกนางก็พอจะทราบถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่บ้าง สาเหตุที่ฉินเสี่ยวเยี่ยนถามถึงเฉินหว่านเอ๋อร์เป็นเพราะนางบังเอิญได้ยินเรื่องบางอย่างเมื่อหลายวันก่อน
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยก็มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดจู่ ๆ ฉินเสี่ยวเยี่ยนจึงเอ่ยถึงเฉินหว่านเอ๋อร์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่ปฏิเสธและพยักศีรษะเบา ๆ เพื่อบ่งบอกว่ารู้จักเฉินหว่านเอ๋อร์จริง
“พวกเจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหอชั้นนอกให้ข้าฟังได้หรือไม่ ?”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่านหลิงเอ๋อร์เองก็นึกบางอย่างขึ้นได้เช่นกันและมองไปที่สตรีทั้งคู่เนื่องจากต้องการจะทราบถึงเรื่องราวของหอชั้นนอก
“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปิดบัง…”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่นางยังอยู่ที่หอชั้นนอกให้ทุกคนได้ทราบ แม้แต่จุดจบของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็ถูกเปิดเผยต่อฉินเสี่ยวเยี่ยนและคนอื่น ๆ เช่นกัน
“เฮอะ เฉินหว่านเอ๋อร์นั่นน่ารังเกียจจริง ๆ การที่ปล่อยให้นางรอดชีวิตออกไปจากนิกายหมื่นกระบี่ก็ถือว่าเมตตานางมากแล้ว !”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากฉินอวี้โม่ หวังเผยยวี่ก็ลุกพรวดและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง
“ใช่ การที่วางแผนการชั่วร้ายเช่นนั้นต่อศิษย์น้องของเราเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งนัก คนเช่นนางไม่คู่ควรที่จะเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ เพียงได้รู้ว่าเคยมีศิษย์เช่นนั้นอยู่ร่วมในนิกายของเรา มันก็ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจมากแล้ว”
หลูเยี่ยนและอีกหลายคนก็กล่าวแสดงความเห็นด้วย ความรู้สึกที่พวกนางมีต่อเฉินหว่านเอ๋อร์กลายเป็นความชิงชังอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดศิษย์พี่ทั้งสองจึงดูสงสัยในเรื่องของเฉินหว่านเอ๋อร์นัก ?”
ฉินอวี้โม่พยายามเอ่ยถามลองเชิงเนื่องจากไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ ฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์จึงเอ่ยชื่อของเฉินหว่านเอ๋อร์ขึ้นมา
“เราไม่ได้อยากรู้เรื่องของนางหรอก เพียงแต่เราเป็นห่วงเจ้าทั้งสองมากกว่า ศิษย์น้องอวี้โม่ มีคนมากมายที่อยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในหอชั้นนอก แม้เฉินหว่านเอ๋อร์จะเป็นศิษย์นอก นางก็มีเล่ห์เหลี่ยมและลูกไม้ที่มากทีเดียว กล่าวกันว่าก่อนหน้านี้เฉินหว่านเอ๋อร์ได้ตกลงปลงใจกับศิษย์พี่คนหนึ่งที่ตามเกี้ยวพานนางมานานและเขาคนนั้นก็กำลังรอให้นางเข้ามาในหอชั้นใน”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์มองหน้ากันเล็กน้อย พวกนางทั้งคู่กำลังคิดกังวลในเรื่องเดียวกัน
เฉินหว่านเอ๋อร์มิใช่บุคคลที่ถือว่าสำคัญ ทว่าศิษย์พี่บุรุษผู้นั้นแตกต่างออกไป
หากศิษย์พี่ผู้นั้นทราบว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เฉินหว่านเอ๋อร์ถูกขับไล่ออกไปจากนิกายหมื่นกระบี่ เขาอาจหาเรื่องกวนใจพวกนางก็เป็นได้ สิ่งสำคัญคือศิษย์พี่คนนั้นเป็นศิษย์คนโปรดของผู้อาวุโสรองและถือเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของนิกายหมื่นกระบี่ หากเขาต้องการสร้างความลำบากใจให้กับฉินอวี้โม่จริง ฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์กังวลว่านางอาจรับมือไม่ได้
“ศิษย์พี่คนใดหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าผู้ใดกันที่จะมีดวงตามืดบอดและหลงใหลในการแสดงเสแสร้งของเฉินหว่านเอ๋อร์จนหัวปักหัวปำ ยิ่งไปกว่านั้น หากทราบถึงการกระทำอันชั่วร้ายของเฉินหว่านเอ๋อร์และยังคิดที่จะก่อเรื่องสร้างปัญหาให้กับพวกนางอีก เกรงว่าศิษย์พี่คนนั้นคงจะมีสติฟั่นเฟือนก็เป็นได้
“ศิษย์พี่ว่านอิ้งสง เขาคือศิษย์ผู้ที่ครองอันดับสองในทำเนียบสวรรค์ พลังของเขาอยู่ในขอบเขตเทพเซียนเก้าดาราขั้นสูงสุดและแข็งแกร่งมาก ต่อให้ข้าร่วมมือกับหลิงเอ๋อร์ พวกเราก็มิใช่คู่มือของเขาเลย อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านนี้เขาก็เก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่และยังไม่ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอชั้นนอก หากเขารู้เข้า เขาอาจจะพยายามก่อเรื่องสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าก็เป็นได้”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนเปิดเผยชื่อของบุรุษผู้นั้นและขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม
แม้ศิษย์พี่ผู้นั้นจะแข็งแกร่งมาก ทว่าสิ่งที่นางกังวลมากที่สุดมิใช่ว่านอิ้งสง หากแต่เป็นผู้อาวุโสรองผู้เป็นอาจารย์ของเขา ผู้อาวุโสรองว่านเจียงเหอเป็นคนที่ออกหน้าปกป้องและเห็นดีเห็นงามกับว่านอิ้งสงอยู่เสมอ หากว่านอิ้งสงต้องการก่อกวนฉินอวี้โม่ ฉินเสี่ยวเยี่ยนและคนอื่น ๆ ก็พอจะช่วยกันปกป้องฉินอวี้โม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากว่านเจียงเหอต้องการจัดการกับนางด้วยตัวเอง เกรงว่าการปกป้องนางจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างแน่นอน…