คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1270 ผลการคัดเลือกศิษย์เข้าหอชั้นใน
แม้ได้ทราบเรื่องที่ฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์เป็นกังวล ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ยังคงสงบนิ่งและใจเย็นเป็นอย่างมาก
หากว่านอิ้งสงมาหาเรื่องกวนใจพวกนางจริง จากนั้นพวกนางก็คงต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาสักหน่อย เพราะถึงอย่างไร พวกนางทั้งสองก็มิใช่คนที่จะเกรงกลัวผู้ใด พวกนางมีหลักปฏิบัติที่ยึดถือมาเสมอนั่นคือหากผู้อื่นไม่ล่วงเกินพวกนางก่อน พวกนางก็จะไม่ล่วงเกินผู้ใดเช่นกัน
ว่านอิ้งสงมีผู้อาวุโสรองคอยหนุนหลังอยู่จริง ทว่าพวกนางก็มีไพ่ตายที่ซ่อนไว้เช่นกัน หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก พวกนางก็สามารถออกจากนิกายหมื่นกระบี่และกลับไปที่นิกายพันปีศาจได้ทุกเมื่อ ถึงอย่างไรตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็เป็นจ้าวนิกายพันปีศาจแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสรองของนิกายหมื่นกระบี่ก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือนางอย่างแน่นอน…
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสองสำหรับคำเตือนนะเจ้าคะ แต่ท่านไม่ต้องกังวลหรอก เรามีวิธีรับมืออยู่ หากว่านอิ้งสงนั่นเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเราจริง ท่านทั้งสองเพียงรับชมเรื่องสนุก ๆ ก็พอ”
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนเปิดเผยสิ่งใดและกล่าวแสดงความมั่นใจออกไปเพื่อมิให้ฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์เป็นกังวล
ในเมื่อฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยยังคงใจเย็นและสงบนิ่งกันได้เช่นนี้ ศิษย์พี่ทั้งสองก็ไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม พวกนางยังคงตั้งใจว่าหากฉินอวี้โม่รับมือกับสถานการณ์ในอนาคตไม่ได้ พวกนางจะไปหาอาจารย์ของตนเพื่อที่จะได้ช่วยฉินอวี้โม่ได้อีกแรง
“มิใช่ว่าพวกท่านจะแข่งกินกันหรือ ? เริ่มเลยเถอะ พวกเรารอมานานแล้ว”
ฉินอวี้โม่เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที เวลานี้อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลั่วซือและคู่แข่งของนางก็สามารถเริ่ม ‘แสดงความสามารถ’ ตามที่ท้าดวลกันได้
“ข้าขอข้าวสวยสิบชามและหมั่นโถวห้าลูก !”
ลั่วซือกล่าวเสียงดังโดยที่ต้องการจะข่มขวัญหวังเผยยวี่และคนอื่น ๆ
“เหอะ ข้าขอข้าวสวยสิบห้าชามและหมั่นโถวสิบลูก !”
“เถ้าแก่ ยกหม้อหุงข้าวมาให้ข้าเลย ข้าต้องการทั้งหมด !”
…
แน่นอนว่าอาหารในภัตตาคารมิได้ถูกเตรียมไว้มากถึงเพียงนั้น สิ่งที่สำคัญคือฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ต้องทานอาหารบางส่วนเช่นกัน พวกนางจึงไม่สามารถปล่อยให้ลั่วซือและคนอื่น ๆ ทานอาหารทั้งหมดจนหมดเกลี้ยงได้
การแข่งขันเพื่อหานักกินจุที่แข็งแกร่งที่สุดน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการประกวดร้องเล่นเต้นรำก่อนหน้านี้เสียอีก ท้ายที่สุด หวังเผยยวี่ก็กินหมั่นโถวไปมากกว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ หนึ่งลูกและได้รับตำแหน่งราชินีนักกินจุไปครอง
“แม่เจ้า ! อิ่มชะมัด ! หวังเผยยวี่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกินได้เยอะถึงเพียงนี้ ข้าคงต้องมองเจ้าใหม่เสียแล้ว”
เจียงจิ้งกล่าวและจับไหล่ของหวังเผยยวี่ เวลานี้ ทั้งสองไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองอีกต่อไปและเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางลูบท้องของตนเองเบา ๆ
“เอิ๊ก ~! คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะกินได้เยอะเช่นนี้ หากรู้มาก่อนว่าพวกเจ้าก็เป็นนักกินเช่นกัน ข้าคงไม่มาที่นี่กับหลูเยี่ยนและคนอื่น ๆ หรอก การที่มีพวกนางอยู่ ข้าไม่เคยได้กินอย่างหนำใจเลยสักนิด ต่อไปหากพวกเจ้าจะไปที่ใด อย่าลืมชวนข้าไปร่วมโต๊ะด้วยล่ะ”
หวังเผยยวี่เรอเสียงดังออกมาขณะกวาดสายตามองสหายร่วมห้องพัก รวมถึงฉินเสี่ยวเยี่ยนด้วยแววตาที่ไม่พอใจนัก
“ได้เลย ไม่มีปัญหา ค่ำวันพรุ่งนี้มาที่ห้องของพวกเราสิ เราจะกินหม้อไฟกันสักหน่อย ต้องการแบบเผ็ด ๆ เลยรึไม่ ?”
ลั่วซือพยักศีรษะและกล่าวเชิญนักกินจุอีกสองคน
“ตกลง ไม่มีปัญหา เตรียมเนื้อไว้ให้ข้าด้วยล่ะ ข้าอยากกินเนื้อ”
หวังเผยยวี่และศิษย์พี่นามว่า ‘ผางหยิง’ จากห้องพักของว่านหลิงเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงักและตอบตกลงทันที
เวลานี้ สตรีเหล่านี้ก็ดูจะกลายเป็นสหายที่สนิทสนมกันไปแล้วและลืมเลือนเรื่องราวก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท รวมถึงหวังที่จะได้พักอยู่ในห้องพักเดียวกันเพื่อที่พวกนางจะได้กินกันอย่างหนำใจโดยที่ไม่มีใครห้าม
ความรู้สึกที่เจียงจิ้งและคนอื่น ๆ มีต่อหวังเผยยวี่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ถึงอย่างไร ผู้ที่รักและหลงใหลในการกินก็มักจะมิใช่คนที่เลวร้าย สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้จากการได้พบนักกินหลายคน คนเหล่านี้หลงใหลเพียงในอาหารเท่านั้นและไม่มีความเกรี้ยวกราดอื่นใด…
หลังจากรับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปยังห้องพักของตน
ตลอดช่วงสิบวันต่อมา พวกนางก็วนเวียนกันไปมาระหว่างภัตตาคาร ห้องพักหมายเลขหนึ่งและสองบนชั้นที่สอง รวมถึงห้องพักหมายเลขสามและสี่บนชั้นที่สามเพื่อรับประทานอาหารมื้อโอชะด้วยกันซึ่งสามารถสรรหาได้ในนิกายหมื่นกระบี่
ความแข็งแกร่งของทุกคนในปัจจุบันก็อยู่ในระดับที่ไม่อ่อนแอ ฉินอวี้โม่เองก็เพิ่งทะลวงพลังเสร็จสิ้นและไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะฝึกวิชาในช่วงเวลาอันใกล้นี้ นอกเหนือจากการร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร นางและคนอื่น ๆ ก็มักเล่นไพ่โป๊กเกอร์และไพ่นกกระจอกด้วยกันอย่างสนุกสนาน อีกทั้งฉินอวี้โม่ เจียงฉาและคนอื่น ๆ ก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนไปยังหอสมุดเป็นครั้งคราว
คัมภีร์ที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ในหอสมุดของหอชั้นในภายในนิกายหมื่นกระบี่ถือว่าเพียบพร้อมในทุกด้าน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พบทักษะยุทธ์และคัมภีร์ระดับสูงทุกประเภท แม้แต่ไพ่ตายของขุมกำลังระดับหนึ่งในโลกแห่งเทพก็ยังพบได้ที่นี่
หลังจากเวลาผ่านไปสิบห้าวัน การคัดเลือกศิษย์เพื่อเข้าสู่หอชั้นในก็สิ้นสุดลง
การคัดเลือกศิษย์เข้าหอชั้นในถูกจัดขึ้นในเขตของหอชั้นนอกเพื่อคัดเลือกศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อรับชมการคัดเลือก ทว่าอยู่ในเขตหอชั้นในเพื่อรอฟังผลลัพธ์สุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ในเช้าตรู่ของวันนี้ ลั่วซือ ลั่วฉิงและหวังเผยยวี่ก็มุ่งหน้าไปรอที่ทางเข้าของหอชั้นในซึ่งเชื่อมต่อกับหอชั้นนอกเพื่อรอผล
และเมื่อใกล้ถึงเที่ยงวัน ลั่วซือและอีกสองคนก็วิ่งกลับมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เสี่ยวเยี่ยน หลิงเอ๋อร์ อวี้โม่ ลองเดาดูสิว่าครานี้มีศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกเข้าหอชั้นในกี่คน ?”
พวกนางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับน่าค้นหาและไม่เปิดเผยผลลัพธ์ออกมาโดยตรง
“กี่คนหรือ ?”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่คาดเดาให้เสียเวลา หอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่มีศิษย์เป็นจำนวนหลายร้อยคนและผู้ที่ผ่านการคัดเลือกครานี้จะต้องมิใช่จำนวนน้อยอย่างแน่นอน นอกเหนือจากสหายที่พวกนางรู้จัก คาดว่าจะต้องมีอีกหลายคนที่ผ่านการคัดเลือกครานี้มาได้
“ข้าจะบอกก็ได้ ครานี้มีศิษย์ได้รับคัดเลือกเข้าหอชั้นในมากกว่าหกสิบคน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีศิษย์ที่เป็นสตรีมากกว่าสิบคน หอพักในชั้นที่ห้าของพวกเราว่างมานานและในที่สุดก็จะได้มีคนเข้ามาพักเสียที”
ลั่วซือกล่าวต่ออีกว่าจำนวนผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในครานี้มีมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจำนวนศิษย์สตรีที่มากกว่าทุกครา
นอกเหนือจากฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยที่เข้ามาก่อน ยังมีสตรีอีกสิบเจ็ดคนที่ผ่านการคัดเลือกและกลายเป็นศิษย์ชั้นใน
ต้องกล่าวเลยว่าจำนวนของศิษย์บุรุษและศิษย์สตรีของหอชั้นในภายในนิกายหมื่นกระบี่มีอัตราอยู่ที่สี่ต่อหนึ่ง ในเมื่อครานี้มีสตรีจำนวนมากผ่านเข้ามาพร้อมกันในคราวเดียว อำนาจของศิษย์สตรีก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
“เยี่ยมไปเลย พวกนางกำลังจะเข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่ ?”
เดิมทีภายในหอชั้นนอกก็มีศิษย์สตรีอยู่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นและตอนนี้การที่สิบเจ็ดคนผ่านการคัดเลือกเข้ามาได้ มันก็ถือเป็นอัตราส่วนเกือบครึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าคนที่เหลือจะสามารถผ่านการคัดเลือกในคราต่อไปและกลายเป็นศิษย์ในได้อย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย เรากลับกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ พวกเรามีสหายจากหอชั้นนอกอยู่หลายคนและคาดว่าพวกนางจะเข้ามาหาเราทันทีที่เข้ามาในเขตหอชั้นในได้ ตอนนี้เราจะกลับไปทำความสะอาดห้องพักก่อนและช่วงเย็นเราจะไปที่ภัตตาคารเพื่อฉลองด้วยกัน”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยลุกขึ้นพร้อมกัน เมื่อนึกถึงเถาเซี่ยวเซี่ยวที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานกว่าหนึ่งเดือน พวกนางก็มีความสุขขึ้นมา
เมื่อปราศจากเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาว ทั้งสองก็รู้สึกไม่คุ้นเคยนัก หลังจากนี้ เสียงหัวเราะที่ดังเหมือนระฆังของเถาเซี่ยวเซี่ยวคงจะก้องกังวานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นแน่…
เป็นจริงดังที่คิดไว้ หลังจากทั้งสองกลับถึงห้องพักเพียงหนึ่งก้านธูป เสียงที่คุ้นหูก็ดังมาจากทางเดิน
“ศิษย์พี่เถียนซิน ศิษย์พี่สวีเยว่ พี่อวี้โม่และพี่เหลิ่งอยู่ห้องไหนกันนะ ?”
เสียงของเถาเซี่ยวเซี่ยวดังขึ้น และเห็นได้ชัดว่าในเวลานี้นาง เถียนซินและสวีเยว่กำลังอยู่ด้วยกัน
“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าถามซ้ำ ๆ เป็นครั้งที่หนึ่งร้อยแปดแล้ว พวกนางพักอยู่ในห้องหมายเลขสี่บนชั้นที่สาม ห้องหมายเลขสี่ !”
เถียนซินและสวีเยว่ถอนหายใจอย่างจนปัญญาก่อนกล่าวตำหนิเสียงดัง