คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1294 กลับมาเยือนนิกายพันปีศาจ
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลและตกปากรับคำไปทันที ในฐานะจ้าวนิกายพันปีศาจ นางควรไปที่นั่นด้วยตัวเองหลังจากได้รับสาส์นเชิญจากตระกูลเฟิง
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกแห่งเทพเป็นเวลานานพอสมควร ทว่านางกลับหมกตัวอยู่เพียงในนิกายหมื่นกระบี่และบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น นางต้องการใช้โอกาสนี้ออกไปท่องดินแดนและสืบข่าวเพิ่มเติมเพื่อตามหาเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ รวมถึงบิดาและพี่ใหญ่ของตน
นางยังมีเวลาอีกมากกว่าหนึ่งปีก่อนจะถึงการประชันฝีมือของหอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ ก่อนถึงเวลานั้น เมื่อกลับมาจากจวนตระกูลเฟิง นางยังมีเวลาทำความเข้าใจเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนอีกมากและยังไม่ถือว่าสายจนเกินไป
“เราจะเดินทางผ่านนิกายพันปีศาจก่อนไปที่จวนตระกูลเฟิงรึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามออกไป หากเดินทางผ่านเส้นทางนั้น นางต้องการแวะไปที่นิกายพันปีศาจของตนก่อน แต่หากมิใช่เส้นทางเดียวกัน นางก็จะเดินทางออกไปเป็นการล่วงหน้าและตามไปสมทบกับคนอื่น ๆ ในภายหลัง
“อยู่ในระหว่างทางของเรา”
ว่านหรูชูเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“จ้าวนิกายฉิน ท่านจะให้การต้อนรับพวกเราเมื่อไปถึงที่นิกายพันปีศาจรึไม่เจ้าคะ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวอดที่จะกล่าวหยอกเย้าฉินอวี้โม่ไม่ได้ นางเคยเดินทางไปที่นิกายพันปีศาจแล้วและทราบว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ระหว่างที่ข้าอยู่ในนิกายหมื่นกระบี่ การจัดการดูแลของนิกายพันปีศาจคงจะดำเนินเป็นไปด้วยดี ข้าควรกลับไปตรวจดูสถานการณ์สักหน่อย”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน เดิมทีนางก็วางแผนที่จะเชิญว่านหรูชู ว่านเฉินซีและคนอื่น ๆ ไปร่วมรับประทานอาหารอย่างเป็นทางการเมื่อไปถึงที่นั่น
“กลับไปที่หอชั้นในและชี้แจงเรื่องนี้กับมิตรสหายคนอื่น ๆ ของเจ้าก่อนเถอะ เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ การเดินทางจากที่นี่ไปถึงจวนตระกูลเฟิงจะต้องใช้เวลามากกว่าสองเดือน งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิงก็จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า เราจะล่าช้าไม่ได้…”
ว่านเฉินซีกล่าวอธิบายเพื่อให้ฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวออกไปจัดการธุระที่หอชั้นในก่อน
หลังจากได้รับข่าว เหลิ่งซวงเสวี่ย เจียงฉาและคนอื่น ๆ ก็ยืนยันว่าจะรอฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่และอวยพรให้พวกนางเดินทางปลอดภัย
เนื่องจากไม่มีสัมภาระที่ต้องจัดเตรียมมากนัก เช้าตรู่วันต่อมา กลุ่มหกคนก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปสู่จวนตระกูลเฟิง
นิกายหมื่นกระบี่ตั้งอยู่ห่างจากนิกายพันปีศาจพอสมควรและทุกคนใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือนก่อนปรากฏตัวตรงหน้าทางเข้าของนิกาย
แน่นอนว่าการกลับมาของฉินอวี้โม่ได้รับการต้อนรับจากทุกคนในนิกายพันปีศาจ สำหรับจ้าวนิกายคนใหม่ผู้นี้ ทุกคนรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมากและยอมจำนนต่อนางด้วยความเต็มใจ
บรรดาผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจก็ทราบดีว่าว่านเฉินซีและว่านหรูชูเป็นใคร รวมถึงทราบว่าคณะเดินทางทั้งหมดนี้คือสมาชิกของนิกายหมื่นกระบี่ ทว่าพวกเขาก็ไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใดและให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“นิกายพันปีศาจในตอนนี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง”
ว่านเฉินซีถอนหายใจเบา ๆ นิกายพันปีศาจในปัจจุบันทำให้นางรู้สึกถึงความเป็นมิตรและความปรองดองซึ่งแตกต่างไปจากนิกายพันปีศาจในอดีตที่มักจะแสดงท่าทีขี้ขลาดและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย ก่อนหน้านี้นิกายหมื่นกระบี่จึงได้ดูถูกดูแคลนและรังเกียจพวกเขาเป็นอย่างมาก
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ด้วยการปกครองของจ้าวนิกายคนใหม่ เราต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ย่ำแย่ทั้งหมดที่เคยมี ในภายภาคหน้า เราจะทำตามคำชี้นำของท่านจ้าวนิกายและทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อพัฒนาให้นิกายพันปีศาจของเรากลายเป็นขุมกำลังที่สามารถเทียบชั้นกับนิกายหมื่นกระบี่และเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดต่อกันได้ !”
เฉินคุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ในความจริง คนของนิกายพันปีศาจสามารถจัดการดูแลได้ง่ายกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้เสียอีก ในปัจจุบัน บรรยากาศของนิกายพันปีศาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่านิกายพันปีศาจของพวกตนจะพัฒนาขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ หรือแม้กระทั่งกลายเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดน
ระหว่างนี้ สมาชิกนิกายบางส่วนก็ได้จัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้แล้ว ในขณะที่เฉินคุนนำสาส์นจากตระกูลเฟิงออกมาและเล่าสถานการณ์ของนิกายพันปีศาจในช่วงที่ผ่านมาให้ฉินอวี้โม่ฟัง
ฉินอวี้โม่พึงพอใจกับผลงานของผู้อาวุโสใหญ่เฉินคุนเป็นอย่างยิ่ง เขามีทั้งความกล้าหาญและความสามารถ รวมถึงมีวิสัยทัศน์ที่ดีเยี่ยม การที่เขาได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างแท้จริง
“ท่านจ้าวนิกาย ท่านจะพาคนไปที่จวนตระกูลเฟิงเป็นจำนวนกี่คนหรือขอรับ ?”
เฉินคุนเอ่ยถาม ถึงอย่างไร นิกายพันปีศาจของพวกเขาก็จัดเป็นหนึ่งในขุมกำลังระดับสอง เมื่อถึงเวลาที่ยอดฝีมือจากขุมกำลังมากมายมารวมตัวกัน พวกเขาไม่ควรที่จะสร้างความอับอายให้กับตนเองหรือน้อยหน้าขุมกำลังอื่น ๆ จนเกินไป
“แค่เฉินคุนและอีกสองสามคนก็พอ ไม่จำเป็นต้องพาคนไปมากหรอก”
ฉินอวี้โม่ตัดสินใจเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วและคิดว่าจะเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ ต่อให้จะเดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิงในครานี้ ตัวตนในฐานะจ้าวนิกายพันปีศาจของนางก็คงจะไม่ถูกเปิดเผย และในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ การที่เฉินคุนนำสมาชิกไปอีกสองคนเพื่อเป็นตัวแทนของนิกายพันปีศาจจะไม่ถือเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะเตรียมความพร้อมโดยเร็ว เชิญท่านจ้าวนิกายและสหายทั้งหลายจากนิกายหมื่นกระบี่พักอยู่ในนิกายเราก่อนเถอะขอรับ พวกเรามีเรื่องอยากจะถามความคิดเห็นจากท่านจ้าวนิกายพอดิบพอดี”
เฉินคุนไตร่ตรองครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไป แม้ฉินอวี้โม่จะมอบอำนาจทั้งหมดให้กับเขาและบรรดาผู้อาวุโส แต่เขาก็ยังต้องถามความเห็นของนางในบางเรื่อง เพราะถึงอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็เป็นจ้าวนิกายพันปีศาจ ไม่ว่าตัวเขาจะได้รับการมอบหมายอำนาจมาเพียงใด เขาก็ไม่สามารถกระทำสิ่งใดที่ข้ามหน้าข้ามตานางได้
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นก็ให้คนจัดเตรียมที่พักให้ป้าซีและทุกคนเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและสั่งการให้เฉินคุนส่งคนไปเตรียมความพร้อมเรื่องที่พักอาศัย
หลังจากรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ว่านเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อน ในขณะที่ฉินอวี้โม่และบรรดาผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจมุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือเพื่อหารือกัน
“ท่านจ้าวนิกายขอรับ ในช่วงที่ผ่านมา เราได้จัดการแก้ไขหลายสิ่งหลายอย่างไปแล้ว ผู้ที่เคยต่อต้านหรือมีเจตนาไม่ดี พวกเขาทั้งหมดล้วนหลั่งเลือดสาบานตนและปฏิญาณว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือถูกเนรเทศออกจากนิกายไปแล้วขอรับ สิ่งที่เราอยากจะถามจากท่านก็คือนิกายพันปีศาจของเราจะดำเนินไปในเส้นทางใดต่อ ? เราจะเกณฑ์คนมาเป็นศิษย์มากขึ้นเพื่อขยายนิกายต่อไป หรือเราจะหยุดพักก่อนและมุ่งเน้นไปกับการพัฒนาความแข็งแกร่งของนิกายในปัจจุบัน ?”
เฉินคุนเอ่ยถาม เขาและผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจหารือเรื่องนี้กันมาพักใหญ่ทว่าความคิดเห็นของแต่ละคนไม่เป็นเอกฉันท์
เฉินคุนมองว่าควรที่จะใช้เวลานี้ในการพัฒนาความแข็งแกร่งของศิษย์เดิมโดยเร็วที่สุดเพื่อที่พวกเขาจะได้กลายเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน สำหรับผู้อาวุโสอีกสองคน พวกเขารู้สึกว่าควรใช้ประโยชน์จากการปกครองในรูปแบบใหม่ของฉินอวี้โม่เพื่อขยายนิกายพันปีศาจให้ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม
เดิมทีนิกายพันปีศาจของพวกเขามีข้อได้เปรียบในด้านจำนวนคนส่งผลให้ติดอันดับขุมกำลังระดับสองได้อย่างหวุดหวิด ทว่าหากไม่พัฒนาความแข็งแกร่งในส่วนบุคคล เกรงว่าพลังอำนาจและอิทธิพลของนิกายจะลดลงอย่างมาก
ฉินอวี้โม่ฟังความคิดเห็นจากผู้อาวุโสแต่ละคนและมองว่าความคิดของพวกเขาสมเหตุสมผล บางครามดฝูงใหญ่ก็สามารถฆ่าช้างได้ทั้งตัวและการมีจำนวนคนมากถือเป็นข้อได้เปรียบที่ดี อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของนิกายพันปีศาจ การมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นมิอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพได้
“ข้าหลอมอุปกรณ์อาวุธไว้จำนวนหนึ่ง เชิญผู้อาวุโสทั้งหลายหารือกันและจัดสรรให้กับศิษย์มากพรสวรรค์ของนิกายพันปีศาจตามความเหมาะสม”
ฉินอวี้โม่กล่าวก่อนหยิบอุปกรณ์และอาวุธระดับสูงจำนวนมากที่หลอมเมื่อไม่นานมานี้ออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือในขอบเขตเทวราชขั้นสูงสุดและถือว่าสมบัติล้ำค่าที่ขายได้ในราคาสูงลิ่ว
“ของพวกนี้เป็นของเราหรือขอรับ ?”
เฉินคุนและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ตกตะลึงทันที พวกเขาคิดว่าฉินอวี้โม่ช่างเป็นสตรีที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและล้างผลาญยิ่งนัก การมอบสมบัติมากมายเหล่านี้ให้กับศิษย์ของนิกายพันปีศาจ เพียงได้เห็นก็ทำให้ทุกคนอิจฉาจนตาร้อนได้ทันที…
“ข้าต้องการให้พวกท่านหารือกันเพื่อมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับศิษย์ที่คู่ควรเหมาะสม มันมิใช่ของพวกท่านหรอก ข้ายังไม่ได้หลอมอุปกรณ์ให้กับพวกท่าน”
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของเฉินคุนและทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจและกล่าวอธิบาย