คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1302 จุดยืนของตระกูลเฟิง
ผู้มาใหม่กลุ่มนี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเฟิงหว่านหลี่—นายน้อยของตระกูลเฟิงซึ่งเป็นทายาทผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเฟิงนั่นเอง ด้านข้างเขาก็คือหลินหว่านหว่านที่ตามมาอย่างใกล้ชิดและกำลังจับมือเฟิงชิงหลิงผู้ซึ่งกำลังเคี้ยวขาไก่อย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเอง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของฉินอวี้โม่และคนตระกูลฉิน เฟิงหว่านหลี่ก็ทราบได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
ในเวลานี้ สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเย็นชาขณะก้าวตรงเข้าไปและเอ่ยถาม
“เฟิงหว่านหลี่ หลินหว่านหว่าน ท่านทั้งสองมาทันเวลาพอดี คนพวกนี้ดูหมิ่นตระกูลฉินของเรา มาช่วยเราจับตัวพวกนางและส่งไปที่จวนตระกูลฉินเพื่อรับบทลงโทษเถิด !”
เมื่อเห็นว่าผู้ที่ปรากฏตัวคือเฟิงหว่านหลี่และภรรยา ใบหน้าของฉินอิงก็แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเล็กน้อย ตระกูลฉินและตระกูลเฟิงมีความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนต่อกันและต้องประคับประคองกันให้ดีที่สุด ในเมื่อพวกเขาถูกดูหมิ่นอย่างไม่ไว้หน้าในเมืองจูเฟิงแห่งนี้ ตระกูลเฟิงจะนิ่งนอนใจไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ตระกูลฉินจะยังเอาชนะคนเหล่านี้ไม่สำเร็จ หากมีเฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านร่วมด้วย เขาก็มั่นใจว่าจะจัดการกับอีกฝ่ายได้ดังต้องการ !
“เฟิงหว่านหลี่ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านไปที่ภัตตาคารเอกพิภพและสอบถามความจริงได้เลย ครานี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิง หากตระกูลเฟิงเลือกที่จะปกป้องตระกูลฉินโดยที่ไม่ถามหาความจริงให้แน่ชัด เราก็คงต้องขอถอนตัวจากงานเลี้ยงครานี้”
ว่านหรูชูกล่าวด้วยท่าทางที่สงบนิ่งและไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาเคยพบกับเฟิงหว่านหลี่มาก่อนและประทับใจในตัวนายน้อยแห่งตระกูลเฟิงพอสมควร เขาเชื่อว่าเฟิงหว่านหลี่มิใช่บุรุษที่จะตัดสินใจกระทำสิ่งใดโดยที่ไร้ซึ่งความเป็นธรรม
“นายน้อยเฟิง ที่ภัตตาคารเอกพิภพก่อนหน้านี้ ตระกูลฉินเป็นฝ่ายหาเรื่องระรานศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ก่อน ทว่าพวกนางก็ไม่ยอมถูกรังแกและตอบโต้กลับด้วยวาจา แน่นอนว่าตระกูลฉินก็ไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ และมาดักรอพวกนางที่นี่ พวกเขาต้องการจัดการกับศิษย์เหล่านี้ให้ได้ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงปะทุขึ้น”
บุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้นำของขุมกำลังที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายหมื่นกระบี่กล่าวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม วาจาของเขาก็เป็นความจริงและไร้ซึ่งความลำเอียงต่อฝ่ายใด
เฟิงหว่านหลี่โบกมือปัดเบา ๆ เพื่อบ่งบอกว่าตนรับรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
“ฉินอิง รีบพาคนของตระกูลฉินออกไปจากที่นี่เสีย ข้ารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ภัตตาคารเอกพิภพเป็นอย่างดี ที่นี่คือเมืองจูเฟิง มิใช่ที่ของตระกูลฉิน ในเมื่อมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง พวกท่านก็ไม่ควรก่อความวุ่นวายใด ๆ หากยังคิดที่จะสร้างปัญหาอีกละก็…เชิญออกจากเมืองจูเฟิงไปได้เลย พวกเราที่นี่ไม่ต้อนรับพวกท่าน !”
เขากล่าวอย่างเย็นชาและแสดงจุดยืนออกไปโดยตรง
หลังจากได้ทราบรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างชัดเจน เฟิงหว่านหลี่ก็ชิงชังและรังเกียจตระกูลฉินอย่างที่สุด แล้วเขาจะมีใจช่วยตระกูลฉินได้อย่างไร ? หากมิใช่เพราะบิดาของเขายังติดธุระและท่านป้ายังมาไม่ถึง พวกเขาก็คงจะประกาศศึกและประจันหน้ากับตระกูลฉินทันทีโดยที่ไม่เสียเวลากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้
“เฟิงหว่านหลี่ จุดยืนของตระกูลเฟิงเป็นอย่างไรกันแน่ ?”
ฉินอิงคิดไม่ถึงเลยว่าเฟิงหว่านหลี่จะแสดงทัศนคติเช่นนี้ออกมา สีหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีเขามั่นใจว่าตระกูลฉเฟิงจะเลือกเข้าข้างฝ่ายของพวกตนอย่างไม่ลังเล ทว่าตอนนี้เขากลับคิดผิดไปอย่างมหันต์
“หึ จุดยืนของตระกูลเฟิงรึ ? ฉินอิง…ท่านเองก็เป็นผู้อาวุโสหกของตระกูลฉิน ท่านไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจริง ๆ หรือ ?”
หลินหว่านหว่านยิ้มเยาะและกล่าวขึ้น ทว่านั่นทำให้สีหน้าของฉินอิงเปลี่ยนแปลงไปยิ่งกว่าเดิม เขาทราบถึงความบาดหมางที่ฝังลึกระหว่างตระกูลฉินและตระกูลเฟิงเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจมาเสมอว่าตระกูลเฟิงจะไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องราวครานั้นหลังจากที่เวลาล่วงเลยมานานขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านจะหยิบยกเรื่องราวนั้นขึ้นมาจริง ๆ
หรือว่าตระกูลเฟิงวางแผนที่จะคิดบัญชีกับตระกูลฉินสำหรับเรื่องราวในครานั้น ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินอิงก็ไม่มีเจตนาที่จะต่อสู้กับนิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจอีกต่อไป หากแต่ต้องการกลับไปรายงานข่าวต่อผู้นำตระกูลฉินโดยเร็วที่สุดเพื่อให้เขาเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
หากตระกูลเฟิงต้องการสะสางเรื่องราวในอดีตจริง การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“เหอะ ! เรื่องในวันนี้ไม่จบลงง่าย ๆ แน่ !”
ฉินอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาและกล่าวทิ้งท้ายก่อนหยุดการต่อสู้กับว่านหรูชู
สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลฉินก็หยุดการโจมตีเช่นกัน และมีเพียงฉินอวี๋เท่านั้นที่ถูกเถาเซี่ยวเซี่ยวตบใบหน้าทิ้งท้ายอีกคราจนใบหน้าของนางบวมปูดอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ฉินอิงกล่าวทิ้งท้าย เขาก็นำคณะตระกูลฉินเดินจากไปทันที ตระกูลฉินของพวกเขามีคฤหาสน์ส่วนตัวของตนเองอยู่ในเมืองจูเฟิง พวกเขาจึงไม่ต้องพักรวมกับขุมกำลังระดับหนึ่งและระดับสองแห่งอื่นที่เดินทางมาร่วมงาน
“ช่างน่าอับอายจริง ๆ เจ้าเอาชนะคนบ้านนอกอย่างข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวตะโกนไล่หลังฉินอวี๋และทำหน้าล้อเลียนนางอย่างสาแก่ใจ
เห็นเพียงแค่ว่าร่างของฉินอวี๋โซเซไปเล็กน้อยและแทบที่จะล้มลง ทว่านางก็ยังประคองตนเองไว้ได้และรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อตระกูลฉินถอนกำลังกลับไปอย่างน่าสิ้นหวัง ทุกคนก็ไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นให้รับชมอีกต่อไปและกลับไปยังที่พักของตนเองตาม ๆ กัน อย่างไรก็ตาม ขณะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กำลังจะมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนที่พัก เด็กน้อยร่างจ้ำม่ำคนหนึ่งก็วิ่งปรี่เข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“ท่านน้าเจ้าคะ ท่านใช่ท่านแม่ของน้องอ้ายฉือและน้อยอ้ายโม่หรือไม่ ?”
เวลานี้ เฟิงชิงหลิงรับประทานขาไก่ในมือจนหมดแล้วและเช็ดมือกับอาภรณ์ของบิดาก่อนวิ่งตรงเข้าไปเกาะขาของฉินอวี้โม่
“เอ๋ ? เจ้ารู้จักอ้ายฉือและอ้ายโม่ด้วยหรือ ?”
ความประหลาดใจปรากฏในแววตาของฉินอวี้โม่ก่อนอุ้มร่างของเฟิงชิงหลิงขึ้นมาและเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกัน และข้าก็ชอบน้องอ้ายฉือมาก ๆ”
เฟิงชิงหลิงพยักหน้าหงึกหงักทันที เวลานี้ เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าเมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ ทั้งสองก็เดินเข้ามาหานางเช่นกัน
“แม่สาวน้อย เราไปหาที่พูดคุยกันก่อนเถอะ”
หลินหว่านหว่านกล่าวขึ้น เนื่องจากในบริเวณโดยรอบยังมีผู้คนที่ยืนออกันอยู่พอสมควร การเข้าไปในเรือนและพูดคุยกันอย่างจริงจังจึงเหมาะสมมากกว่า
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเดินตรงไปยังเรือนที่พักของพวกตนโดยมีเฟิงชิงหลิงอยู่ในอ้อมแขน
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร ?”
นางมองเด็กสาวจ้ำม่ำในอ้อมแขนและเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“น้องอ้ายโม่ น้องอ้ายฉือและท่านน้ามีหน้าตาที่คล้ายกันมาก แน่นอนว่าข้าต้องรับรู้ได้เจ้าค่ะ อีกอย่าง…ท่านน้ามีกลิ่นอายบางอย่างที่เหมือนกับน้องอ้ายฉือและน้องอ้ายโม่ไม่มีผิด”
เฟิงชิงหลิงกล่าวด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ อันที่จริง เพียงมองตั้งแต่แวบแรกนางก็รับรู้ได้ทันทีว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นมารดาของเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ ทว่านางยังต้องรับประทานขาไก่ในมือให้หมดเสียก่อนและยังต้องเช็ดมือให้สะอาดอีกด้วยจึงจะเข้ามาทักทายฉินอวี้โม่ได้ เด็กสาวเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใด จู่ ๆ นางก็นึกสนใจในภาพลักษณ์ของตนเองขึ้นมา
ในขณะพูดคุยกัน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มาถึงเรือนที่พัก
เมื่อทราบว่าเฟิงหว่านหลี่และครอบครัวมีเรื่องส่วนตัวต้องพูดคุยกับฉินอวี้โม่ ว่านหรูชูและคนอื่น ๆ จึงไม่รบกวนและแยกย้ายกันกลับไปยังห้องพักของพวกตน แม้แต่เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ถูกมารดาลากออกไปและห้ามมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
“ตอนนี้อ้ายฉือและอ้ายโม่อยู่ที่ใดหรือ ?”
ทันทีที่นั่งลงในห้องโถง ฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นและความกระตือรือร้นได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ นางพยายามสืบหาข่าวเกี่ยวกับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่มาตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับข่าวที่คาดไม่ถึงเมื่อมาที่นี่
“น้องอวี้โม่ ไม่ต้องกังวลไปหรอก อ้ายฉือและอ้ายโม่สบายดี ตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินทางมาที่เมืองจูเฟิงพร้อมกับท่านป้าและท่านลุง พวกเขาคงจะมาถึงในอีกประมาณสามวัน”
หลินหว่านหว่านแตะมือฉินอวี้โม่อย่างแผ่วเบา นางเข้าใจดีว่าความรู้สึกของผู้เป็นมารดานั้นเป็นอย่างไร
นางทราบว่าฉินอวี้โม่คงปรารถนาที่จะพบบุตรน้อยทั้งสองโดยเร็วที่สุด ทว่าในระหว่างเดินทางก็เกิดเหตุขัดข้องบางอย่างขึ้น ฉินหลิงเซียวและคณะจึงมาถึงช้ากว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะใช้เวลาอีกเพียงไม่นานก่อนจะมาถึงที่นี่ได้
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและคาดเดาได้ว่า ‘ท่านลุง’ ที่หลินหว่านหว่านกล่าวถึงคงจะเป็นเจ้าของมิติพิเศษที่เสี่ยวอ้ายฉือพลัดหลุดเข้าไปโดยบังเอิญ
“ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่กล่าวถึงเจ้าแล้ว เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวว่าท่านแม่ของนางคือสตรีที่งดงามที่สุดในโลกหล้า เมื่อได้พบด้วยตัวเอง ข้าก็เชื่อแล้วว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง”
หลินหว่านหว่านถอนหายใจเบา ๆ และเริ่มพูดคุยเรื่องของเด็กน้อยทั้งสองกับฉินอวี้โม่