คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1315 ฉินหยวน..ผู้นำตระกูลฉิน
โครม !
ด้วยเสียงปะทะดังสนั่น อสูรมายาที่มีรูปลักษณ์คล้ายกระทิงซึ่งกำลังพุ่งตรงเข้าหาเสี่ยวอ้ายโม่ก็ถูกฟาดไปอย่างแรงจนกระเด็นออกไปและสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมดในทันที
ในเวลานี้ ตรงหน้าเสี่ยวอ้ายโม่ บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามายืนขวางไว้
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่ยิ้มหวานและกล่าวโดยไม่มีท่าทีที่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เมื่อครู่นี้นางก็สัมผัสได้ว่าอสูรคล้ายกระทิงตัวนั้นกำลังพุ่งตรงเข้าหาตน และอสูรมายาสองตัวที่มารดาของนางทำพันธสัญญาไว้ให้ก็พร้อมที่จะออกมาขัดขวางรวมถึงนางเองก็สามารถทำลายป้ายหยกในมือซึ่งสามารถปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาได้ ต่อให้บุรุษผู้นี้ไม่เคลื่อนไหวออกมา นางก็จะปราศจากรอยขีดข่วนและไม่ตกอยู่ในอันตราย
“เหอะ ใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำร้ายเด็กตัวน้อย ๆ เช่นนี้ !”
บุรุษวัยกลางคนแค่นเสียงเย็นชา ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน หลายคนก็จดจำเขาได้ทันที
“นี่คงจะเป็นฉินหยวน—ผู้นำตระกูลฉิน คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเดินทางมาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิงด้วยตัวเอง”
ฉินหยวน—ผู้นำตระกูลฉินถือเป็นบุคคลในตำนานของโลกแห่งเทพ พลังของเขาแกร่งกล้าอย่างมากและถือเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ในสามอันดับแรกของทั้งดินแดน แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ตระกูลฉินก็เป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ที่ทรงพลังมากในโลกแห่งเทพ ในฐานะผู้นำตระกูล สถานะของเขาย่อมสูงส่งเกินที่ผู้ใดจะเอื้อมถึง
“เขาคือผู้นำของตระกูลฉินจริง ๆ ด้วย การที่เขามาร่วมงานเลี้ยงครานี้ด้วยตัวเองถือว่าเป็นการให้เกียรติตระกูลเฟิงอย่างมาก”
หลายคนมองเห็นฉินหยวนได้อย่างชัดเจน และเมื่อยืนยันตัวตนของเขา แววตาของคนเหล่านั้นก็แสดงถึงความเคารพอย่างเต็มเปี่ยม
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่รวมถึงเสี่ยวอ้ายโม่ เสี่ยวอ้ายฉือและคนอื่น ๆ
เดิมทีเสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งวิ่งตรงเข้าไปถึงตัวเสี่ยวอ้ายโม่วางแผนที่จะเอ่ยปากขอบคุณฉินหยวน ทว่าเมื่อได้ยินบทสนทนาของผู้คนโดยรอบ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นเย็นชาในทันที รอยยิ้มหวานที่ประดับบนใบหน้าของเสี่ยวอ้ายโม่ก็หายไปเช่นกันและมองตรงไปที่ฉินหยวนด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“น้องอ้ายโม่ เจ้าเจ็บตรงไหนรึไม่ ?”
เฟิงชิงหลิงวิ่งโร่เข้ามาเช่นกัน นางรีบจับมือเสี่ยวอ้ายโม่และสำรวจร่างกายอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าโดยไม่ชายตามองฉินหยวนแม้แต่น้อย แม้แต่เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่สนใจฉินหยวนเช่นกันขณะดึงมือเด็กทั้งสามและเตรียมเดินจากไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงกิริยาท่าทางและทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มเด็กตรงหน้า ฉินหยวนก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขามิใช่บุคคลที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับธุระกงการของผู้อื่น เมื่อครู่นี้เขาเพียงสังเกตเห็นว่าเสี่ยวอ้ายโม่ตกอยู่ในอันตรายจากระยะไกล ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องช่วยชีวิตนางให้ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่หัวใจของฉินหยวนเกิดความปั่นป่วนเช่นนี้ สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่รู้สึกโกรธเคืองที่เด็กเหล่านี้แสดงท่าทีเย็นชาและไม่ไว้หน้าตน
“เหอะ แม้ท่านจะช่วยข้า ข้าก็ยังไม่ชอบท่านหรอกนะ”
เสี่ยวอ้ายโม่แค่นเสียงเย็นชาก่อนสะบัดหน้าหนีจากฉินหยวนและเดินกลับไปยังร้านขนมน้ำตาลปั้นซึ่งอยู่ไม่ไกล
ถึงอย่างไร ฉินหยวนก็ควรจะมีศักดิ์เป็นทวดของนาง การที่เขาปกป้องนางจึงมิใช่เรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของบุรุษชราผู้นี้ที่ทำให้มารดาของนางต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายและท่านตาท่านยายต้องทุกข์ทรมานใจตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะเหตุนั้น เสี่ยวอ้ายโม่จึงไม่ต้องการเสียเวลาพูดคุยกับฉินหยวนแม้แต่น้อย
เสี่ยวอ้ายฉือก็ไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าความคิดของเขาก็สอดคล้องกับเสี่ยวอ้ายโม่และไม่ต้องการให้ความสนใจกับอีกฝ่าย
ในเวลานี้ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็เพียงยิ้มตามมารยาทขณะกล่าวกับฉินหยวน “ขอบคุณที่ท่านช่วยเสี่ยวอ้ายโม่ไว้เมื่อครู่ ทว่านี่เป็นสิ่งที่ท่านควรจะกระทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อเรื่องนี้”
นางทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของฉินอวี้โม่ตั้งแต่อดีตแล้ว เพราะเหตุนั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวจึงไม่ชอบหน้าผู้นำตระกูลฉินที่ทรงอำนาจผู้นี้เท่าใดนัก
ฉินอิงและฉินอวี๋ก่อนหน้านี้ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของตระกูลฉินในสายตาของนางย่ำแย่ลงมากแล้ว แน่นอนว่านางไม่คิดที่จะไว้หน้าพวกเขาแต่อย่างใด
ฉินหยวนรู้สึกฉงนสงสัยยิ่งกว่าเดิมและมิอาจหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จู่ ๆ เด็กเหล่านี้ก็แสดงท่าทีเย็นชาอย่างไม่ทราบสาเหตุและเขามั่นใจว่ามิเคยกระทำสิ่งใดที่เป็นบาปต่อพวกนางมาก่อน
เขาเป็นถึงผู้นำของตระกูลฉินที่เรืองอำนาจ ทุกคนที่ทราบถึงตัวตนของเขาล้วนต้องแสดงความเคารพและกล่าววาจาสรรเสริญชื่นชม แล้วเหตุใดคนรุ่นเยาว์เหล่านี้จึงแสดงท่าทีรังเกียจและถึงขั้นแสดงความเกลียดชังต่อเขาเช่นนี้ ?
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นผู้อื่นที่ริอาจกล่าววาจาเช่นนี้กับเขา ฉินหยวนก็คง ‘สั่งสอน’ พวกเขาอย่างไม่ลังเล ทว่าคนเหล่านี้กลับแสดงอากัปกิริยาดูหมิ่นได้โดยที่เขาไม่รู้สึกโกรธเคืองและกลับมองเป็นเรื่องน่าตลกขบขันด้วยซ้ำ !
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของฉินหยวนก็เย็นชาลงชั่วขณะ หรือข้าจะแก่ชราเกินไปแล้ว…
“แม่สาวน้อย เจ้าจะชี้แจงให้ข้าฟังได้รึไม่ว่าเหตุใดจึงกล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำ ? อีกอย่าง…ข้ามั่นใจว่าเราเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรกและไม่เคยทำสิ่งใดที่เลวร้ายต่อพวกเจ้า เหตุใดจึงเกลียดชังชายแก่ผู้นี้นักเล่า ?”
เขาอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ขณะสายตาเลื่อนไปหยุดลงที่เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่
“เหอะ เราไม่บอกหรอก ท่านไม่เคยทำสิ่งใดที่เลวร้ายต่อเรารึ ? กล้าทำความผิดแต่ไม่กล้ายอมรับ ! เราไม่อยากคุยกับท่านแล้ว หลีกทางไปเถอะ”
เสี่ยวอ้ายโม่รับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายและหันกลับมาจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าที่แสดงความขุ่นเคือง
“ใช่ ท่านอาอวี้โม่เคยบอกว่าพวกผู้ใหญ่ชอบหลอกลวงเด็กอย่างพวกเราเป็นที่สุด อย่ามาคุยกับเราอีกเลย กลับไปไตร่ตรองให้ดีถึงสิ่งที่ท่านเคยกระทำลงไปเถอะ เราจะไม่บอกอะไรทั้งสิ้น!”
เฟิงชิงหลิงพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวกับผู้นำตระกูลฉินอย่างเสียมารยาท
“แม่สาวน้อยจากตระกูลเฟิง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร ?”
ฉินหยวนรู้จักกับเฟิงชิงหลิงมาก่อน ทว่าเขาไม่ทันสังเกตเห็นนางก่อนหน้านี้ เมื่อไตร่ตรองจากวาจาของเด็กสาวเมื่อครู่ ประกายบางอย่างก็ฉายวาบในแววตาของเขาขณะเอ่ยถามต่ออย่างรวดเร็ว “เจ้ามีท่านอาอวี้โม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
“หึ ข้าไม่บอกหรอก ท่านเป็นคนไม่ดี ข้าไม่อยากคุยกับท่าน !”
แม้เฟิงชิงหลิงจะดูใสซื่อและไร้เดียงสาเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ ทว่าแท้ที่จริงแล้วนางก็มิใช่คนโง่เขลา ในเวลานี้ นางเพียงแลบลิ้นให้กับฉินหยวนและปิดปากเงียบทันทีซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดอีก
“แม่สาวตัวน้อย น้ำตาลปั้นของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ในขณะเดียวกัน พ่อค้าของร้านขนมโบราณก็ปั้นน้ำตาลตามสั่งจนเสร็จเรียบร้อยแล้วและมันเป็นรูปร่างของครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกสี่คน
“ท่านลุง รบกวนท่านลุงส่งที่เหลือไปที่จวนตระกูลเฟิงนะเจ้าคะ ที่นั่นจะมีคนรอรับอยู่ เราต้องขอตัวกลับก่อน”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวขอบคุณพ่อค้าคนนั้นอย่างสุภาพนอบน้อมก่อนรับน้ำตาลปั้นจำนวนหนึ่งมาและมุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางของจวนเจ้าเมืองของตระกูลเฟิง
เถาเซี่ยวเซี่ยวก็จับมือเฟิงชิงหลิงและเดินตามไปอย่างรวดเร็ว นางไม่ต้องการเสียเวลาพูดคุยกับฉินหยวนอยู่ที่นี่อีกต่อไป นางกลัวว่าตนเองจะอดใจที่จะกล่าววาจาตำหนิเขาไม่ได้ !
จากนั้นเด็กทั้งกลุ่มก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าฉินหยวนไม่คิดขัดขวางไว้เช่นกัน ถึงอย่างไร ในเมื่อทราบถึงตัวตนของเฟิงชิงหลิงแล้ว หากต้องการสืบหาความจริง เขาก็สามารถมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงด้วยตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินหยวนก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับ ‘ท่านอาอวี้โม่’ ที่เฟิงชิงหลิงกล่าวถึงเป็นอย่างมากและไม่ทราบว่าจะเป็นคน ๆ เดียวกับที่เขาคิดไว้หรือไม่…
เมื่อฉินหยวนหันหลังและเดินจากไป ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณก็เริ่มกระซิบกระซาบหารือกัน
“เด็กกลุ่มนั้นเป็นใครกัน ? พวกนางกล้าดีอย่างไรจึงไม่ไว้หน้าตระกูลฉินและถึงขั้นกล่าววาจาล่วงเกินฉินหยวนเช่นนั้น ? พวกนางไม่กลัวว่าจะมีปัญหากับตระกูลฉินรึ ?”
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกนางจะสนิทสนมกับตระกูลเฟิงมาก ในเมื่อเกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิง พวกนางก็คงจะคิดว่าตระกูลฉินไม่กล้าแตะต้องพวกนาง…”
“ไม่หรอก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินและตระกูลเฟิงอยู่ในระดับที่ย่ำแย่มาก ไม่มีทางที่คนเหล่านั้นจะไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ในความคิดของข้า ดูเหมือนว่าตระกูลฉินจะทำความผิดต่อพวกนางมาก่อน พวกนางจึงแสดงทัศนคติเช่นนั้น ถึงอย่างไร เด็กน้อยเหล่านั้นก็สุภาพต่อพ่อค้าแผงลอยมากและเห็นได้ชัดว่ามิใช่กลุ่มเด็กที่หยาบคาย”