คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 134 ศึกแห่งผู้มั่งคั่ง
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม คนจำนวนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นบนเวทีสูงที่อยู่ ณ จุดกึ่งกลางของหอประมูล
“สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้าและโรงประมูลใหญ่แห่งนครไป๋อวิ๋นยินดีต้อนรับทุกท่านอีกครั้ง”
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดและกำลังกล่าวทักทายผู้เข้าร่วมงานทั้งหลายก็คือบุรุษวัยกลางคนผู้รั้งตำแหน่งเถ้าแก่ใหญ่ของโรงประมูลแห่งนี้ นอกจากตัวเถ้าแก่ใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจของแขกในงานทั้งหมดได้แล้ว พื้นที่ด้านข้างเยื้องมาทางด้านหลังของเขายังมีสตรีเลอโฉมที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากมายไม่แพ้กันยืนอยู่
“เนื่องจากวันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่ทางโรงประมูลของเราได้จัดงานประมูลครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และขอขอบพระคุณที่ทุกท่านให้เกียรติมาร่วมงานกับเราอย่างล้นหลามในวันนี้
สำหรับโรงประมูลของเรา งานในวันนี้นับเป็นโอกาสพิเศษที่ได้พบเจอท่านทั้งหลาย เราจึงถือโอกาสนี้แสดงความซาบซึ้งในน้ำใจจากชาวนครไป๋อวิ๋นทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุนและตอบรับโรงประมูลของเราอย่างอบอุ่นเสมอมา และเช่นเดียวกับทุกปีคืองานประมูลใหญ่นี้หนึ่งปีจะมีขึ้นเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ดังนั้นเนื่องในโอกาสพิเศษดังกล่าว ‘สมบัติ’ ที่พวกเรารวบรวมและสรรหามาให้ทุกท่านได้เลือกประมูลในงานนี้จึงถือได้ว่าล้ำค่าเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อให้บรรยากาศดำเนินไปอย่างครึกครื้นสนุกสนาน ครั้งนี้เราได้เชื้อเชิญบุคคลสุดพิเศษมาดูแลการประมูลและอำนวยความสะดวกให้แก่ทุกท่านด้วย”
เถ้าแก่ของโรงประมูลผายมือไปยังสาวงามที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนจะกล่าวแนะนำนางด้วยรอยยิ้ม “ผู้ที่จะดำเนินงานประมูลในวันนี้ก็คือสตรีผู้อยู่ข้างกายข้าน้อย นารีเลอโฉมผู้รั้งอันดับที่หนึ่งของตำแหน่งสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินและยังเป็นยอดฝีมือสาวผู้อยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา ขอเสียงต้อนรับแม่นาง–เจียงหลิวเยว่ ”
ทันทีที่เถ้าแก่ก้าวหลบออกไปด้านข้าง ฉินอวี้โม่ก็ได้เห็นใบหน้าของสาวงามที่อยู่ด้านหลังเขาอย่างชัดเจน
ต้องบอกเลยว่านางเป็นสตรีที่งดงามอย่างไร้ที่ติ ใบหน้าขาวผ่อง ผิวนวลเนียนละเอียดราวหยกชั้นเลิศ รูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนโค้งเว้างามตาและสมบูรณ์พร้อมตามแบบฉบับสตรีเลอโฉมที่สตรีด้วยกันยังต้องอิจฉา ความงามของหญิงสาวผู้นี้ยากอย่างยิ่งที่จะหาคำบรรยาย นางคือสุดยอดแห่งสุดยอดในหมู่สาวงาม แม้จะไม่ได้ดูอ่อนหวานนุ่มนวล แต่ด้วยภาพลักษณ์เย็นชาของนางกลับเพิ่มเสน่ห์อันน่าดึงดูดที่ไม่ว่าชายใดได้เห็นก็เป็นต้องลุ่มหลงไปเสียทุกราย
“สวรรค์ นั่นคือแม่นางเจียงหลิวเยว่จริง ๆ รึ ? นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ?”
บุรุษผู้หนึ่ง เมื่อได้เห็นใบหน้าของโฉมงามอันดับหนึ่งอย่างเต็มตาก็อุทานออกมาอย่างเผลอไผล ขณะที่มือทั้งสองข้างก็อดยกขึ้นมาขยี้ตาไม่ได้ เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเองสักนิด
“ไม่ผิดแน่ นั่นคือแม่นางเจียงหลิวเยว่จริง ๆ”
บุรุษอีกคนเป็นผู้เอ่ยตอบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่เจือกับความหลงใหลในตัวผู้ดำเนินรายการสาวของงานประมูลนี้
“ไม่คิดเลยว่าโรงประมูลใหญ่แห่งนครไป๋อวิ๋นจะใจป้ำถึงขั้นเชิญแม่นางเจียงหลิวเยว่มาในงานนี้ด้วย ต่อให้วันนี้เราประมูลไม่ได้อะไรเลยก็ถือว่าคุ้มแล้วที่มา”
……
ทันทีที่เถ้าแก่ใหญ่แนะนำเจียงหลิวเยว่ต่อเหล่าผู้เข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการ ภายในหอประมูลก็เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องเกรียวกราว ท่ามกลางชาวนครไป๋อวิ๋นมากมายทั้งบุรุษและสตรี มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ชื่นชมและชื่นชอบในตัวโฉมงามอันดับหนึ่งผู้นี้ เมื่อได้ทราบว่าทางโรงประมูลเชื้อเชิญบุคคลคนในดวงใจของพวกเขามาดำเนินรายการก็ตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งซึ่งนั่นก็ช่วยกระตุ้นความรื่นเริงของคนอื่น ๆ ตามไปด้วย ในเวลานี้บรรยากาศภายในหอประมูลจึงเปลี่ยนไปในทันที
เจียงหลิวเยว่ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินมาหลายปีแล้ว ทว่าโดยปกตินางไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งจึงยากที่จะพบเจอตัวจริงของนางได้ ไม่คิดเลยว่าในวันนี้โรงประมูลแห่งนครไป๋อวิ๋นจะสามารถเชิญนางมาร่วมงานได้
“คิก ๆ ดูเหมือนโรงประมูลแห่งนี้จะไม่ธรรมดาจริง ๆ แม้แต่เจียงหลิวเยว่พวกเขาก็ยังเชิญมาได้ ข้าว่าการประมูลในวันนี้คงจะสนุกไม่น้อย”
เยว่ชิงเฉิงยิ้ม แม้แต่นางเองก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
โอวหยางชิงเฟิงไม่ได้อยู่ในนครไป๋อวิ๋นมานานหลายปี แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจียงหลิวเยว่ผู้นี้มาบ้าง แต่ก็เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงของนางเป็นครั้งแรก
“อืม เจียงหลิวเยว่งดงามจริง ๆ สมแล้วที่อยู่ในอันดับหนึ่งของสิบโฉมงาม”
โอวหยางชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมออกไป เจตนาของเขามีเพียงความชื่นชมอันบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปน ทว่าวาจานั้นกลับทำให้ใครบางคนหน้าตึงขึ้นทันที
“โอวหยางชิงเฟิง ไหนเจ้าลองบอกหน่อยสิว่าระหว่างข้ากับเจียงหลิวเยว่ ผู้ใดงดงามกว่ากัน ?”
โอวหยางชิงเฟิงเพียงแต่กล่าวไปตามที่เห็น แต่กลับทำให้ใบหน้าของเยว่ชิงเฉิงเปลี่ยนไปได้อย่างน่าประหลาด
คุณหนูตระกูลช่างหลอมจ้องมองอดีตคู่หมายหนุ่มที่บัดนี้เปลี่ยนกลายมาเป็นคู่กัดตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยคำถามกดดันอีกฝ่าย ใบหน้านวลบูดบึ้ง บรรยากาศรอบตัวนางชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ…”
โอวหยางชิงเฟิงอึ้งงันไปชั่วขณะ ทว่าเพียงวูบเดียวเขาก็รีบแย้มรอยยิ้มออกมา
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าอยู่แล้ว ถึงเจียงหลิวเยว่จะสวยก็เถอะ แต่นางก็ดูเย็นชามากเกินไป เจ้าร่าเริงแจ่มใสดูจริงใจกว่านางมาก เจ้าก็ต้องน่าสนใจมากกว่าอยู่แล้ว”
“อ่อ เป็นเช่นนั้นเอง”
เมื่อได้ยินคำตอบอันน่าพึงพอใจ คุณหนูผู้อารมณ์ร้ายก็เลิกสนใจชายหนุ่มผู้เป็นคู่กัด ผิดกับคุณชายตระกูลโอวหยางที่ลอบจ้องมองนางแล้วถอนหายใจ หากเขาคิดช้าไปสักนิดคงร่วมงานประมูลอย่างไม่เป็นสุขแน่
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสองสหายอยู่ในสายตาของฉินอวี้โม่ทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นตามความคิดของอดีตนักฆ่าสาวเห็นว่ามันน่ารักเป็นอย่างยิ่ง และคลับคล้ายคลับคลาว่าในโลกศตวรรษที่ 21 ของนางพฤติกรรมของโอวหยางชิงเฟิงเข้าข่าย ‘พ่อบ้านใจกล้า’ อย่างชัดเจน
“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ระหว่างเจียงหลิวเยว่กับฉินอวี้โม่แห่งตระกูลฉิน ผู้ใดงดงามกว่ากัน ?”
ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าตอนนี้หัวข้อของการสนทนาได้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องเปรียบเทียบความงามของหญิงสาวไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่ก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“แน่นอนว่าต้องเป็นแม่นางเจียงหลิวเยว่อยู่แล้ว ฉินอวี้โม่ไม่แม้แต่จะติดหนึ่งในสิบ แล้วนางจะไปงดงามกว่าได้อย่างไร”
คนผู้หนึ่งที่ไม่เคยเห็นฉินอวี้โม่กล่าว เขาไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะงดงามไปกว่าสตรีผู้มีตำแหน่งไปได้
“เจ้าเคยเห็นแม่นางฉินแล้วอย่างนั้นรึ ?”
บุรุษอีกคนเอ่ยถาม
ผู้ที่กล่าวเมื่อครู่ส่ายศีรษะยอมรับตามความจริง
“หากว่าไม่เคยเห็นก็อย่าเพิ่งแสดงความเห็นส่งเดช”
คนผู้ถามเมื่อครู่กลอกตาก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าเคยพบฉินอวี้โม่อยู่ครั้งหนึ่ง บอกตามตรงเลยนะ ข้าคิดว่าแม่นางฉินอวี้โม่งดงามกว่าแม่นางเจียงหลิวเยว่ ยิ่งกว่านั้นแม่นางฉินอวี้โม่ยังดูสง่างามกว่าแม่นางเจียงหลิวเยว่มาก”
หากบอกกล่าวผู้อื่นก็คงมีคนหาว่าเขาหลงใหลสตรีจนโง่งม แต่ด้วยความสัตย์จริงในวันนั้นที่ได้เห็นฉินอวี้โม่เขารู้สึกปลื้มปีติและเป็นเกียรติยิ่งนัก ภาพความงดงามของนางยังตราตรึงในหัวใจเขามาจนถึงทุกวันนี้
“ข้าเองก็เคยเห็นแม่นางฉินอวี้โม่มาก่อน นางงดงามกว่าแม่นางเจียงหลิวเยว่จริง ๆ ยิ่งกว่านั้นข้าว่าบรรยากาศจากตัวนางก็ยังดูเป็นมิตรและน่าคบหามากกว่าชัดเจน”
คนผู้หนึ่งที่เคยมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่พระราชวังในครั้งที่ผ่านมาแสดงความคิดเห็นขึ้นบ้าง เขาได้เห็นฉินอวี้โม่ในชุดสีขาวยาวสง่างาม
ในวันนั้นนางงดงามราวเทพธิดา อีกทั้งยังดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าใกล้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เหล่าบุรุษทั้งหลายรู้สึกชมชอบฉินอวี้โม่มากกว่า
“ข้าไม่เชื่อ ถ้าฉินอวี้โม่งดงามจริง เหตุใดนางถึงไม่แม้แต่จะติดหนึ่งในสิบโฉมงาม ข้าไม่เคยเห็นคนที่สวยกว่าแม่นางเจียงหลิวเยว่มาก่อน”
ยังมีบางคนปฏิเสธที่จะเชื่อคำพูดของบุรุษผู้เคยเห็นคุณหนูสี่ตระกูลฉิน และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นฉินอวี้โม่ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะคิดคัดค้าน
“@#฿)%+(&=#@$”
.
.
เพียงไม่กี่อึดใจ ภายในหอประมูลก็เต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบดังแซงแซ่ ผู้คนมากมายต่างจับกลุ่มเปิดหัวข้อสนทนาวิพากษ์วิจารณ์โฉมนารีกันอย่างออกรส ทว่าโชคร้ายที่เสียง ‘กระซิบกระซาบ’ เหล่านั้นออกจะดังไปสักหน่อยและมันก็ทำให้ผู้ที่อยู่บนเวทีได้ยินไปด้วย
ตอนนี้เถ้าแก่ที่อยู่บนเวทีรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยเพราะถ้าให้เขากล่าวอย่างสัตย์จริง เขาก็ต้องยอมรับว่าฉินอวี้โม่งดงามและมีเสน่ห์กว่าเจียงหลิวเยว่จริง ๆ แต่เขาก็ทราบดีว่าในเวลานี้ไม่เหมาะที่จะเอ่ยความจริงเช่นนั้นออกมา
“เถ้าแก่ ฉินอวี้โม่เป็นใครกัน ?”
ในที่สุดเจียงหลิวเยว่ก็เอ่ยปากถาม น้ำเสียงของนางทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเหน็บจนถึงขั้วหัวใจ
“แม่นางอาจจะไม่รู้จักฉินอวี้โม่ นางคือคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินที่ผู้นำตระกูลเพิ่งจะพาตัวกลับมาอยู่ยังนครไป๋อวิ๋นได้ไม่นาน นางเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์โดดเด่นมาก”
เถ้าแก่แห่งโรงประมูลเอ่ยอธิบายเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น เขาไม่อยากลงรายละเอียดมากนัก
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ได้โปรดเงียบเสียงลงก่อน ข้าจะขอเวลาอธิบายกฎของงานประมูลสักครู่เพื่อที่จะให้งานประมูลเป็นไปอย่างราบรื่น และเราจะได้เริ่มงานประมูลในวันนี้กัน”
เถ้าแก่กล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเพื่อให้สามารถกลบเสียงพูดคุยกันของฝูงชนได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้เข้าร่วมงานประมูลทั้งหลายเงียบเสียงลงในทันที
“อย่างที่ทุกท่านทราบ โรงประมูลของเรายึดมั่นในหลักการสองข้อ ข้อแรกคือ ‘ยุติธรรม’ ข้อสองคือ ‘เปิดเผย’ หากว่าแขกผู้มีเกียรติท่านใดต้องการจะก่อปัญหาภายในหอประมูลก็โปรดยั้งใจไว้สักหน่อยเพราะที่นี่และเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะมีเรื่องวิวาทขัดแย้ง ข้าขอกล่าวไว้เลยว่าโรงประมูลแห่งนครไป๋อวิ๋นของเราจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดก่อปัญหาหรือก่อกวนงานประมูลครั้งนี้ ดังนั้นถ้าหากท่านใดไม่พร้อมก็ขอให้ท่านกลับไปเสียแต่เนิ่น ๆ มิฉะนั้นก็อย่าให้ว่าทางเราล่วงเกินที่ต้องไล่พวกท่านออกไป”
เถ้าแก่กล่าวด้วยเสียงดังลั่นพลางจ้องมองไปยังกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา
งานประมูลในวันนี้สำคัญสำหรับพวกเขามาก หากมีคนก่อปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็จงอย่าตำหนิที่พวกเขาจะไม่ใช้วิธีนุ่มนวล
ทันทีที่สิ้นวาจายืดยาวของเถ้าแก่แห่งโรงประมูล ยอดฝีมือที่ดูน่าเกรงขามหลายคนก็ปรากฏตัวบนเวที บุคคลเหล่านี้ก็คือผู้คุ้มกันที่จะคอยดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยของงานในวันนี้
แม้จะดูด้วยตาก็ทราบว่าคนเหล่านี้มีฝีมือที่ร้ายกาจมาก ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าหลายคนในนั้นอยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีถึงสองคนที่ก้าวผ่านระดับนั้นไปและเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว
งานประมูลประจำปีของนครไป๋อวิ๋นคงจะเป็นงานที่สำคัญมากอย่างแท้จริง มิฉะนั้นเถ้าแก่แห่งโรงประมูลก็คงไม่ลงทุนมากมายในการจ้างวานยอดฝีมือระดับสูงมาคอยคุ้มกันมากถึงเพียงนี้
“เอาล่ะ เวลานี้ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะกล่าวกับทุกท่านแล้ว ข้าขอมอบเวทีนี้ให้แม่นางเจียงหลิวเยว่เป็นผู้ดูแลต่อไป”
เมื่อกล่าวจบ เถ้าแก่ของโรงประมูลก็เดินลงจากเวทีและปล่อยให้เจียงหลิวเยว่ เจ้าหน้าที่ของโรงประมูลและยอดฝีมือที่ทำหน้าที่คุ้มกันให้รับช่วงต่อ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้มีโอกาสมาเป็นผู้ดูแลงานประมูลให้ทุกท่านในวันนี้ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาข้าจะขอเริ่มงานประมูล ณ บัดนี้”
เจียงหลิวเยว่กล่าวด้วยเสียงที่ติดจะเย็นชาอยู่เล็กน้อยตามนิสัยของนาง
อย่างไรก็ตาม แขกทุกคนก็ไม่ได้โกรธเคืองในท่าทีของนางแม้แต่น้อย กลับกันทันทีที่สิ้นเสียงกังวานหวานใสนั้นฟังดูไพเราะจับใจ เสียงโห่ร้องอันตื่นเต้นของฝูงชนก็ดังระเบิดขึ้น
“ขอให้ทุกท่านโปรดเงียบลงก่อน ข้าจะให้ทุกท่านได้เห็นสิ่งของที่นำออกประมูลเป็นชิ้นแรก”
เจียงหลิวเยว่ยิ้มพร้อมกับปรบมือให้สัญญาณ เจ้าหน้าที่ของโรงประมูลเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับถาดใบหนึ่งที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีแดง
“ของชิ้นแรกนี้อาจจะไม่มีผลกับคนส่วนใหญ่ แต่ทว่าสำหรับบางคนนั้นถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามาก”
เจียงหลิวเยว่เผยรอยยิ้มอ่อนก่อนจะสะบัดผ้าคลุมออก
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นบนถาดนั้นก็คือแร่ก้อนหนึ่งซึ่งมีขนาดเท่ากับกำปั้นมนุษย์
ฉินอวี้โม่มองดูแร่ก้อนนั้นอย่างพิจารณา ดวงตาเนื้อทรายฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเพียงชั่ววูบเดียวใบหน้าของนางก็ฉายแววแห่งความสุขให้เห็น
นี่คือหนึ่งในสิ่งของที่นางอยากได้มากที่สุดเพราะมันเกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าในวิชาการหลอมของนาง แร่ชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างมากในการหลอมอาวุธ ชื่อเรียกขานของมันก็คือ ‘เหล็กทมิฬหมื่นปี’
ต้องทราบก่อนว่าเหล็กทมิฬนั้นหาได้ดาษดื่น ตัวมันไม่ได้มีราคาค่างวดเท่าไหร่นัก แต่เมื่อมันถูกจำกัดความด้วยคำว่า ‘หมื่นปี’ ต่อท้าย มูลค่าของมันก็จะต่างออกไปราวฟ้ากับเหว
เหล็กทมิฬที่อายุประมาณหนึ่งพันปีนั้นพบได้ไม่ยากนักและมักจะใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในขั้นตอนการหลอม ทว่าเหล็กทมิฬที่มีอายุหนึ่งหมื่นปีขึ้นไปเป็นแร่ที่แทบจะหาไม่ได้ ในขั้นตอนการหลอมนั้นขอเพียงผสมมันลงไปในปริมาณเล็กน้อยก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและคุณสมบัติของสิ่งหลอมนั้นได้อย่างมหาศาล
ดังนั้นแล้วเหล็กทมิฬหมื่นปีจึงเป็นของที่ล้ำค่ามากสำหรับเหล่าช่างหลอม
“ข้าเชื่อว่าทุกท่านที่ต้องการครอบครองแร่ชิ้นนี้คงทราบถึงความวิเศษของมันดี ฉะนั้นข้าจะไม่แนะนำอะไรอีก ราคาประมูลจะเริ่มต้นที่ 1,000 เหรียญทอง และการขานราคาประมูลมีกฎว่าจะต้องเพิ่มราคาในขั้นต่ำสุดอยู่ที่ครั้งละ 100 เหรียญทอง ตอนนี้เริ่มต้นการประมูลได้ !”
เมื่อสิ้นเสียงแนะนำสั้น ๆ ของเจียงหลิวเยว่ ทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอก็เริ่มขานราคาแข่งกันทันที
“1,100 !”
ทันทีที่เสียงของคนแรกสิ้นสุดลงไป ชายอีกคนก็ยกมือขึ้นและขานราคาต่อในฉับพลัน
“1,200 !”
ทันทีที่เสียงของคนผู้นั้นจบลง อีกคนก็ลุกขึ้น
คาดว่าผู้ที่แข่งกันขานราคาคงจะเป็นช่างหลอมทั้งหมดเพราะพวกเขาเล็งเห็นถึงความล้ำค่าของเหล็กทมิฬหมื่นปีจึงต้องการจะแย่งชิงมาให้ได้
เวลาผ่านไปสักพัก ดูเหมือนว่าราคาของของชิ้นแรกนี้จะค่อย ๆ ไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดนิ่ง ทว่านั่นอาจจะชักช้าเกินไปจนไม่ทันใจแขกผู้อยู่ในชั้นที่สอง
“5,000 !”
บุคคลที่ชั้นที่สองยืนขึ้นมาและยกมือขานราคา เขายื่นเสนอที่ห้าพันเหรียญทองในการต่อรองครั้งเดียว ดูแล้วเขาคงจะเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งผู้หนึ่ง
“นั่นมันหวังรั่วจวิน !”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เยว่ชิงเฉิงก็อุทานออกมา
และทันทีที่ได้รู้ว่านั่นคือคุณชายรองแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว ในเมื่อหวังรั่วจวินอยากจะได้สิ่งของชิ้นนี้ พวกนางก็ต้องสงเคราะห์เสียหน่อย โดยการทำทุกทางอย่าให้เขาได้สมใจปรารถนา !
“10,000 !”
ทันทีที่เสียงของหวังรั่วจวินจากชั้นที่สองสิ้นสุดไปก็มีเสียงที่ฟังดูสบาย ๆ เสียงหนึ่งดังมาจากอีกห้องบนชั้นเดียวกัน
คนที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งต่างก็ได้แต่นิ่งเงียบกล่าวสิ่งใดไม่ออก ผู้ที่อยู่ในแต่ละห้องของชั้นที่สองปกติแล้วจะมีแต่บุคคลมั่งคั่งทั้งนั้น นี่ถึงกับขานเพิ่มกันทีละห้าพันเหรียญทอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไปสู้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามช่างหลอมหลายคนก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ฉะนั้นการสู้ราคาก็ยังคงดำเนินต่อไป
ผ่านไปเพียงไม่นาน ราคาของเหล็กทมิฬหมื่นปีก็ไต่ระดับขึ้นไปถึงห้าหมื่นเหรียญทองแล้ว
ฉินอวี้โม่รู้สึกหมดคำพูดไปเลยเช่นกัน แม้ว่าราคาของเหล็กทมิฬหมื่นปีจะสูงมากก็จริง แต่ดูเหมือนว่ามูลค่าของมันจะยังไม่คุ้มกับเงินห้าหมื่นเหรียญทอง การที่ราคาของมันไต่ระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้นางเริ่มรู้สึกว่าการประมูลนี้ดูไม่ปกตินัก
“60,000 !”
หวังรั่วจวินขานราคาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเพิ่มราคาไปอีกหนึ่งหมื่นเหรียญ อย่างไรเขาก็ร่ำรวยมาก กับเงินแค่หมื่นเหรียญทองขนหน้าแข้งของเขาไม่ร่วงอย่างแน่นอน
“มันจะรวยเกินไปแล้ว !”
ช่างหลอมอาวุธผู้หนึ่งที่พยายามจะสู้ราคามาตั้งแต่ต้นจำต้องถอนตัวออกไปอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่คิดว่าการใช้เงินถึงหกหมื่นเหรียญทองจะคุ้มค่ากับเหล็กทมิฬหมื่นปี
“หกหมื่นเหรียญทองครั้งที่หนึ่ง!”
หลังจากที่หวังรั่วจวินขานราคาถึงหกหมื่นเหรียญทองก็ไม่มีผู้ใดกล้าสู้ราคาต่อไปอีก เจียงหลิวเยว่ที่อยู่บนเวทีจึงเริ่มนับ
“หกหมื่นเหรียญทองครั้งที่สอง !”
ดูเหมือนว่าหวังรั่วจวินคงได้เตรียมรับเหล็กทมิฬหมื่นปีกลับบ้านเป็นแน่
“หากไม่มีผู้ใดเสนอราคาที่สูงกว่า งั้นเหล็กทมิฬหมื่นปีก้อนนี้จะตกเป็นของ….”
เมื่อเจียงหลิวเยว่เห็นว่าไม่มีใครขานราคาสู้อีก นางจึงเตรียมประกาศนามผู้ที่ได้ครอบครองเหล็กทมิฬก้อนนี้ไป ทว่าในตอนนั้นเองผู้คนทั่วทั้งโถงกว้างกลับได้ยินเสียงสตรีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“100,000 !”
หากเป็นคนอื่น ฉินอวี้โม่ก็คงไม่คิดเข้าไปแย่ง ทว่าเมื่อเป็นหวังรั่วจวินที่ฝันหวานอยากจะได้เหล็กทมิฬหมื่นปีก้อนนั้นไปดูเล่นได้ ‘ง่าย ๆ’ นางก็ต้องขอรับหน้าที่เป็นผู้ ‘ดับฝัน’ คุณชายอัธพาลผู้นี้เสียหน่อย
เมื่อเสียงของฉินอวี้โม่สิ้นสุดลง ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งหอประมูลแห่งนี้ทันที ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนกล้าเสนอราคาที่สูงมากถึงเพียงนี้
เมื่อมองตามทิศทางที่เสียงนั้นดังมา บรรยากาศภายในโถงกว้างของหอประมูลก็ร้อนระอุขึ้นในฉับพลัน เพราะเสียงกังวานนั้นดังมาจากห้องในชั้นที่สาม !
.