คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 143 กำไลมิติ
ณ จวนตระกูลฉิน
ฉินอี้เฟยกำลังนั่งหลอมโอสถอยู่อย่างสงบเงียบภายในเรือนพักส่วนตัว นี่เป็นกิจกรรมที่เขามักจะทำเป็นปกติเมื่อไม่ได้ไปที่สมาคมโอสถ
ทันใดนั้นคุณชายตระกูลฉินก็หยุดชะงักก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่า จู่ ๆ เขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
“พี่ใหญ่”
ในตอนนั้นเอง เสียงเรียกของฉินอวี้โม่ก็กระทบเข้าสู่โสตประสาทของเขา เมื่อมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังมาฉินอี้เฟยก็มองเห็นร่างของผู้เป็นน้องสาวยืนอยู่
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ งานประมูลจบแล้วหรือ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเดินเข้าไปใกล้ฉินอี้เฟยอย่างช้า ๆ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย “พี่ใหญ่ เสี่ยวโร่วจากเราไปแล้ว”
ฉินอี้เฟยชะงักกึกในทันที ครั้งนี้เขาหยุดมือจากงานที่กำลังทำอยู่ทั้งหมดแล้วหันไปมองน้องสาว
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด ตอนนี้น้องสาวของเขายังบอกว่าเสี่ยวโร่วจากไปแล้วอีก นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?
“เสี่ยวโร่วถูกพาตัวกลับตระกูลของนางไปแล้ว ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเป็นใครหรือเสี่ยวโร่วจะถูกพาตัวไปที่ไหน”
ฉินอวี้โม่บอกเล่าเรื่องราว นอกเหนือจากเรื่องที่ภายในกายของเสี่ยวโร่วมีสายเลือดโบราณไหลเวียนอยู่ เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับสาวน้อยผู้นี้ คุณหนูสี่แห่งตระกูลยิ่งใหญ่ไม่เคยทราบมาก่อนเลย
ฉินอวี้โม่ไม่รู้สักนิดว่าผู้ชราที่พาเสี่ยวโร่วไปเป็นใคร ไม่แม้แต่จะรู้ว่าตระกูลของนางเป็นตระกูลแบบไหน ที่สำคัญนางก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้เช่นกันกับนางหรือเป็นคนจากดินแดนหนเหนือ
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าว ใบหน้าของฉินอี้เฟยก็ค่อย ๆ สงบลง เขาหลุบสายตาลงต่ำ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าขณะนี้คุณชายใหญ่กำลังคิดเห็นเช่นใด
“ข้าคิดว่าบางทีการที่นางกลับไปอาจจะเป็นเรื่องดี ตั้งแต่ตอนที่พวกเราไปพบนางโดยบังเอิญและรับมาเลี้ยงดู นี่ก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เวลานี้นางก็เริ่มโตเป็นสาว พ่อแม่ของนางอาจจะตามหานางมาตลอด และคิดถึงนางมากก็ได้”
ฉินอี้เฟยเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นน้องสาว เขายกยิ้มแล้วกล่าวคำ
วาจาของฉินอี้เฟยทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกงุนงงหนักหน่วง นางไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้ผู้เป็นพี่ชายคิดอย่างไรหรือกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในหัว
“พี่ใหญ่ ท่านชอบเสี่ยวโร่วหรือไม่ ?”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ถามคำถามที่นางอยากรู้มานานออกไปตรง ๆ
ฉินอี้เฟยชะงักค้างไปชั่วขณะ เขาไม่ตอบคำถามของน้องสาวและทำเพียงแต่เงียบเสียงไป
อย่างไรก็ตามในหัวใจชายหนุ่มไม่ได้สงบเหมือนกับภายนอก
‘ชอบนางหรือไม่ ?’ เหตุใดเขาจะไม่ชอบเล่า ! ในตอนที่ผู้เป็นมารดาพาเด็กหญิงตัวเล็กกลมป้อมกลับมาที่บ้าน สาวน้อยจับมือของเขาและเรียกขานเขาว่าพี่ชายด้วยเสียงอันน่ารัก เขายังจำถึงตอนที่ปากเล็ก ๆ นั่นจุมพิตแก้มของเขาได้ดี และนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาสาวน้อยก็เข้ามาอยู่ในหัวใจของเขาแล้ว
หลายปีผ่านไป เขาเฝ้าดูสาวน้อยผู้นี้ค่อย ๆ เติบโต ถึงแม้จะถูกนางจะเรียกว่าคุณชายใหญ่ในทุกคำแต่ความรู้สึกของเขาไม่คล้ายเป็นเจ้านายของสาวน้อยเลย ทั้งแววตาและรอยยิ้มที่เสี่ยวโร่วมอบให้เขา ทั้งยามเรียกขาน ยามถามไถ่ ยามช่วยเหลือดูแล หรือทุก ๆ ยามที่ได้ชิดใกล้ มันติดตาตอกตรึงอยู่ในหัวใจของเขาอย่างแจ่มชัด …ในใจเขาเสี่ยวโร่วนั้นเป็นยิ่งกว่าสาวใช้มานานแล้ว
‘เสี่ยวโร่ว ช่วยอดทนรอข้าสักนิดนะ ข้าจะไปพาเจ้ากลับมาเอง !’
ฉินอี้เฟยส่งเสียงคำรามดังก้องในหัวใจ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ก้าวข้ามสักกี่หมื่นภูผา เขาก็สัญญาว่าจะต้องตามหาตัวนางให้พบและพายอดดวงใจของเขากลับมาให้ได้
เมื่อเห็นว่าฉินอี้เฟยเอาแต่นิ่งเงียบ ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดจะถามเซ้าซี้ อย่างไรก็ตามนางก็เห็นความอาลัยและเศร้าลึกเจืออยู่ในดวงตาคมของผู้เป็นพี่ชาย คุณหนูสี่จึงหยิบผลไร้รากออกมาและชวนพี่ชายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อสลายบรรยากาศทุกข์ตรม
“พี่ใหญ่ ข้าได้ผลไร้รากมาจากงานประมูลประจำปี แต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงรึเปล่า ?”
เมื่อเห็นผลไม้ที่ใสราวแวววาวราวอัญมณีล้ำค่าที่อยู่ในมือของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยก็หยิบมันมาก่อนจะยกขึ้นส่องกับแสงไฟเพื่อพิจารณามันโดยละเอียด
“หากดูจากรูปลักษณ์และกลิ่นอายของมัน ของสิ่งนี้ต้องเป็นผลไร้รากไม่ผิดแน่”
ผู้หลอมโอสถหนุ่มมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาแล้วหันมาจ้องมองผู้เป็นน้องสาว แม้จะเพียงน้อยนิด แต่ในตอนนี้แววแห่งความเจ็บปวดในดวงตาคมก็ถูกเจือจางลงไป ขณะเดียวกันประกายแห่งความตื่นเต้นอันเลือนรางก็เริ่มปรากฏให้เห็น
คุณชายตระกูลฉินพยายามปรับสีหน้าให้ร่าเริงก่อนกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้ขาดเพียงบุปผาน้ำแข็งเท่านั้น แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ปล่อยเป็นหน้าที่ข้า ข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
เป็นเรื่องจริงที่ว่าฉินอี้เฟยทราบที่อยู่ของบุปผาน้ำแข็งเป็นอย่างดี แต่ที่เขาอาสาไปเอามันมาส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ให้น้องสาวเขาต้องไปเอง แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือเขาอยากจะหาโอกาสออกไปข้างนอกตามลำพังสักพักเพื่อปกปิดความเศร้าและใช้เวลาสำหรับทบทวนตัวเอง
“ก็ได้”
คุณหนูสี่พยักหน้า นางเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าคุณชายใหญ่ตระกูลฉินดูต่างออกไปจากปกติมาก
หลังจากบอกลาฉินอี้เฟยแล้ว ฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังเรือนพักของตัวเอง เรือนพักอันเงียบสงบที่วันนี้ดูเงียบเหงาจนใจหายเพราะขาดสาวน้อยผู้คอยอยู่ข้างกายอย่างเสี่ยวโร่ว
ทว่าเมื่อฉินอวี้โม่เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนก็พบร่างสูงของคนคุ้นเคยผู้ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวันยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“โม่ฉือ เจ้ามารอข้าอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มงดงามไปให้พร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้ เมื่อสัมผัสร่างของบุรุษอันเป็นที่รักได้ อดีตนักฆ่าสาวก็ทิ้งตัวลงในอ้อมแขนแข็งแรงและอกกว้างแสนอบอุ่นด้วยความโหยหา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้หัวใจของนางอ่อนล้ามากเหลือเกิน ยามนี้สตรีโฉมงามต้องการตักตวงพลังใจและความอบอุ่นจากอ้อมแขนนี้ให้เต็มที่
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อรู้สึกถึงท่าทางแปลกประหลาดของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็โอบกระชับร่างบางพลางลูบหัวนางอย่างเบามือ บุรุษผู้เคยเย็นชาไถ่ถามสตรีในหัวใจด้วยเสียงอ่อนโยน
“เสี่ยวโร่วถูกยอดฝีมือผู้หนึ่งพาตัวไปแล้ว ข้ารู้ดีว่าเสี่ยวโร่วไม่เต็มใจ แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นข้ายังต้องให้นางช่วยปกป้องอีก ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่ง แม้แต่จะปกป้องคนที่รัก ข้าก็ยังทำไม่ได้”
ฉินอวี้โม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หานโม่ฉือฟังด้วยเสียงแผ่วเบา ภายในน้ำเสียงอ่อนระโหยนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความหดหู่ที่ไม่อาจปิดบังได้อย่างดี
“เอาเถอะ โม่เอ๋อร์เจ้าไม่ต้องเศร้าไป อย่าไปคิดถึงเรื่องนี้อีกเลย ปัญหามันไม่ใช่เป็นเพราะว่าเจ้าอ่อนแอ แต่เป็นเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไป”
หานโม่ฉือพยายามปลอบโยนโฉมงามของเขา ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ไปร่วมงานประมูลประจำปีพร้อมกับนาง หากมีเขาไปด้วยก็คงจะช่วยได้ เพราะเขาจะไม่มีวันยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแน่
เมื่อได้ฟังวาจาของบุรุษน้ำแข็ง แม้จะยังไม่คลายจากความโศกเศร้า แต่ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกทึ่งไม่น้อย นางรู้สึกว่าบุรุษแสนเย็นชาผู้นี้นับวันก็ยิ่งพูดเก่งขึ้นเรื่อย ๆ คำปลอบโยนเมื่อครู่ของเขาค่อนข้างน่าสนใจและช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นได้จริง
“โม่เอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง บางทีการที่เสี่ยวโร่วตามคนผู้นั้นไปอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย สาวน้อยผู้นั้นมีสิทธิ์จะรู้ชาติกำเนิดของตัวเองและบิดามารดาของนางก็สมควรที่จะได้พบหน้าบุตรสาวผู้พลัดพรากไม่ใช่หรือ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เริ่มจะยิ้มออก หานโม่ฉือก็กล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยค
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ขอเดินเคียงข้างเจ้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยากเย็นมากน้อยเพียงใด พวกเราก็จะช่วยกันตามหาเสี่ยวโร่วให้เจอ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำ ในตอนนี้สิ่งที่นางควรจะทำและจะต้องเริ่มทำในทันทีก็คือเข้มแข็งให้มากและตั้งใจฝึกฝน นางต้องมุ่งมั่นกับการฝึกปรือพลังเพื่อพัฒนาตนเอง หากอยากจะตามหาเสี่ยวโร่วนางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ วันหนึ่งข้างหน้าถ้านางแข็งแกร่งจนอยู่เหนือผู้คนทั้งปวงก็จะไม่มีใครหน้าไหนสามารถพรากคนสำคัญไปจากนางได้อีก
“แบบนี้สิโม่เอ๋อร์ของข้า”
หานโม่ฉือยิ้ม เขามั่นใจว่าฉินอวี้โม่ต้องเข้าใจและรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดก่อนเป็นอันดับแรก
“โม่ฉือ เจ้าดูนี่ นี่คือสิ่งที่เสี่ยวโร่วทิ้งไว้ให้ข้าก่อนที่นางจะจากไป”
ฉินอวี้โม่นำโอสถผสานสวรรค์ออกมาและส่งให้หานโม่ฉือดู
เมื่อเห็นโอสถวิเศษในตำนานบนมือของหญิงสาว บุรุษน้ำแข็งก็นิ่งอึ้งไป “นี่คือโอสถผสานสวรรค์ มันคือสิ่งที่ล้ำค่ามาก”
“หึ ๆ แค่มีโอสถผสานสวรรค์เม็ดนี้ เมื่อก้าวถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดาราแล้ว ข้าก็จะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้ในทันที”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางเอ่ยอย่างมุ่งมาด การที่จอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม ขอเพียงมีโอสถผสานสวรรค์อยู่ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายดายทันที
“เจ้าสามารถกินมันตั้งแต่ตอนนี้ได้เลยเพราะมันก็จะให้ผลเหมือนกัน”
หานโม่ฉือบอกกล่าวในสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจ
“ข้ายังไม่ถึงขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา หากใช้มันตอนนี้จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้ด้วยหรือ ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น จริงอยู่ว่าหากเจ้ากินมันเข้าไปตอนที่ยังไม่ถึงระดับพลังอันเหมาะมันจะยังไม่ก่อผล ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีพลังมายาในร่างกายเพียงพอ เจ้าก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้ในทันที ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนที่เจ้าอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา เจ้าก็สามารถกลืนมันเข้าไปก่อนเพื่อรอผลลัพธ์ในวันหน้าได้”
หานโม่ฉืออธิบาย เหตุผลที่เขามีความรู้เกี่ยวกับโอสถผสานสวรรค์นี้เป็นอย่างดีก็เพราะว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็มีโอกาสได้มันมาโดยบังเอิญและกินมันเข้าไปโดยบังเอิญเช่นกัน ดังนั้นแล้วเขาจึงรู้จักวิธีใช้และผลลัพธ์ของโอสถล้ำค่านี้เป็นอย่างดี
“ที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าหากเจ้ากินมันตั้งแต่ตอนนี้ โอสถจะไปอยู่ที่ใต้จุดตันเถียนของเจ้าเป็นการชั่วคราว มันจะช่วยเจ้าดูดซับพลังมายาและทำให้เจ้าก้าวหน้าในการฝึกฝนได้เร็วยิ่งขึ้น”
หานโม่ฉือกล่าวเสริม
โอสถผสานสวรรค์นับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างแท้จริง กล่าวกันว่ามิใช่เพียงเป็นเลิศในด้านสรรพคุณแต่มันยังมีคุณสมบัติที่แสนพิเศษนานัปการ อย่างไรก็ตามมีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่จะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วสรรพคุณของโอสถชนิดนี้คือการช่วยดูดซับพลังมายาเข้าสู่ร่างกายของจอมยุทธ์ ส่วนการช่วยให้สามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เป็นเพียงผลพลอยได้ ทว่าเป็นเพราะนี่เป็นผลลัพธ์ที่มองเห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนกว่า ดังนั้นมันจึงถูกตั้งชื่อตามผลลัพธ์อันสวยหรูไปเสีย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่คิดเลยว่าโอสถผสานสวรรค์จะมีสรรพคุณน่าตกใจเช่นนี้อยู่ด้วย ทว่าในเมื่อนี่เป็นข้อมูลจากปากของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่จึงไม่คิดติดใจสงสัย สตรีโฉมงามเทเม็ดโอสถออกมาจากขวดหยกใบเล็กแล้วกลืนมันเข้าไปทันที
และก็เป็นดั่งที่บุรุษน้ำแข็งกล่าวเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน หลังจากถูกกลืนเข้าไปแล้ว โอสถวิเศษก็แฝงเร้นเข้าไปอยู่ในส่วนที่ใกล้เคียงกับจุดตันเถียนของนาง โอสถประหลาดไม่ได้สลายตัวไปเหมือนเช่นโอสถปกติ ในทันทีที่ฝังตัวลงในจุดที่ต้องการ พลังมายาอันเข้มข้นภายในร่างกายของฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ หลั่งไหลเข้าไปหาก่อนจะห่อหุ้มและรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ เม็ดโอสถราวกับว่ามันกำลังดูดซับพลังมายาเหล่านั้นเข้าไป
“โม่เอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าในงานประมูลเจ้าเล่นงานหานโม่หยวนไว้อย่างเจ็บแสบเลยมิใช่หรือ ?”
หานโม่ฉือกุมมือเจ้าของหัวใจคนงามเอาไว้พลางโอบประคองให้นั่งลง ก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขาอยากรู้
“ฮิ ๆ ๆ ใช่แล้ว ก็ใครใช้ให้เขาเป็นศัตรูกับเจ้าล่ะ ไม่ใช่แค่นั้นที่ผ่านมาเขายังยั่วยุข้าหลายครั้งหลายหน หากว่าไม่เอาคืนไปบ้าง ข้าก็คงไม่ต่างจากเสือร้ายที่ไร้เขี้ยวเล็บ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มร้ายเมื่อนึกถึงบุรุษที่นางเพิ่งเล่นงานไป ในเวลานี้เป็นเพราะการจากลาของเสี่ยวโร่วทำให้อารมณ์ความรู้สึกของนางอ่อนไหวมากกว่าปกติ ทว่ามันก็เผยให้เห็นมุมร้าย ๆ และความซุกซนของสตรีผู้เคยเข้มแข็งมาตลอดได้ง่ายกว่าปกติด้วย
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็เป็นธรรมดา เมื่อได้อยู่ต่อหน้าบุคคลที่ไว้วางใจในเวลาที่จิตใจหวั่นไหวและบอบบางพวกเขาจะแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ชัดเจนมากกว่าช่วงเวลาปกติ เพราะความวางใจในบุคคลที่อยู่ต่อหน้า และเชื่อใจว่าเขาจะคอยอยู่แค่เคียงข้างแม้แต่ในยามที่เราแสดงมุมอ่อนแอออกมาให้เห็น
“หืม ไม่คิดเลยว่าโม่เอ๋อร์ของข้าจะเป็นสตรีเจ้าคิดเจ้าแค้น ดูท่าว่าต่อไปนี้ข้าคงต้องระวังตัวไว้บ้างแล้วสิ”
เมื่อเห็นท่าทีขี้เล่นที่ยากจะได้เห็นของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็เอ่ยคำหยอกเย้านางด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้องแล้ว ถ้าเจ้ากล้ารังแกข้า กล้ายั่วโมโหข้า ข้าก็จะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนจะแสร้งปั้นหน้าร้ายกาจใส่บุรุษที่อยู่เคียงข้าง
เมื่อได้เห็นกิริยาราวแม่เสือสาว หานโม่ฉือก็หัวเราะเสียงดังอย่างอดไม่ได้ ดวงตาคมเต็มไปด้วยความหลงใหล บุรุษน้ำแข็งจับยกมือบางขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาแล้วเอ่ยคำ
“ข้าไม่มีวันทำให้เจ้าเจ็บปวด แล้วข้าจะรังแกเจ้าได้อย่างไร ข้าอยากให้เจ้าอยู่เคียงข้างตลอดไป พวกเราจะไม่มีวันแยกจากกัน”
“ข้าเองก็จะไม่มีวันแยกจากเจ้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะโผเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของบุคคลผู้เป็นที่รัก และซึบซับความอบอุ่นจากอกกว้างนั้นอีกครั้ง
“โม่เอ๋อร์ ข้าจะให้เจ้าดูของสิ่งหนึ่ง”
หานโม่ฉือยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็หยิบเอาสิ่งของบางอย่างออกมาจากแหวนมิติและส่งให้ฉินอวี้โม่
สิ่งของที่หานโม่ฉือนำออกมามีรูปร่างคล้ายกำไลข้อมือ ฉินอวี้โม่พินิจมองมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่าแม้จะพลิกไปพลิกมาซ้ำ ๆ นางก็ยังไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีความพิเศษอย่างไร
“นี่เรียกว่ากำไลมิติ คุณสมบัติของมันคล้ายกับแหวนมิติ เพียงแต่พิเศษกว่าตรงที่กำไลมิตินี้สามารถใช้เก็บสิ่งมีชีวิตลงไปได้ ฉะนั้นแม้จะใส่อสูรมายาเข้าไปตรง ๆ เจ้าก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพากรงขังอสูรของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะสร้างกองทัพอสูรมายา ฉะนั้นข้าจึงตามหาของสิ่งนี้มาเพื่อเจ้า”
หานโม่ฉือเอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มพลางมองดูโฉมงามของเขาด้วยสายตารักใคร่ กำไลมิติวงนี้กว่าจะได้มันมาเขาต้องลงทุนลงแรงไปมากมายมหาศาล แต่ให้ตายอย่างไรชาตินี้เขาก็จะไม่มีวันบอกเล่าเรื่องนั้นให้ฉินอวี้โม่รับรู้
เมื่อได้ยินว่ามันสามารถใช้เก็บสิ่งมีชีวิตได้ แววตาของฉินอวี้โม่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข ใบหน้านวลประดับรอยยิ้มกว้าง ตอนนี้นางมีอสูรในครอบครองเป็นจำนวนมาก เกรงว่าอีกไม่นานพื้นที่ในมิติเชื่อมอสูรของนางก็คงจะไม่เพียงพอที่จะใส่พวกมันทั้งหมดได้ แต่ตอนนี้เมื่อได้กำไลมิติวงนี้มาปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ผู้ใดจะทราบได้ว่าพื้นที่ภายในกำไลมิติแห่งนี้นั้นกว้างขวางมากเพียงใด ?
“ขอเพียงเจ้าถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปภายในกำไลวงนี้ มันก็จะจดจำเจ้าในฐานะเจ้าของ หากไม่ใช่ผู้ที่มีพลังวิญญาณเหนือกว่าเจ้าอย่างมหาศาลจนสามารถทำลายพันธะที่เจ้าได้สลักไว้ภายในกำไลนี้ไปอย่างสมบูรณ์แล้วก็ไม่มีทางที่ผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าจะเปิดใช้งานมันได้”
หานโม่ฉือบอกวิธีการใช้งานกำไลมิติ เขาเองก็อดยิ้มกว้างไม่ได้เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่แทบจะอดใจรอเปิดใช้งานกำไลเก็บอสูรวงนี้ไม่ไหว โฉมงามตั้งท่าจะถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปตั้งแต่ได้ฟังประโยคแรกของเขาแล้ว
แน่นอนว่าหลังจากถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงการเชื่อมต่อกับกำไลมิติวงนี้ นางจึงรีบรวบรวมสมาธิแล้วถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปมากขึ้น
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการสลักพันธะแสดงความเป็นเจ้าของ ฉินอวี้โม่ก็เข้ามาสำรวจพื้นที่ภายในของกำไลทันทีก่อนที่ใบหน้างามจะแสดงความตกตะลึงและตื่นเต้นเมื่อพบว่าพื้นที่ภายในนี้กว้างใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ มันใหญ่กว่ามิติเชื่อมอสูรของนางมากมายหลายเท่า ฉินอวี้โม่เชื่อว่าหากเป็นกำไลวงนี้ นางจะสามารถเก็บอสูรมายาไว้พร้อม ๆ กันได้อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยตัวโดยไม่แออัดเลย
“โม่ฉือ ขอบคุณเจ้ามาก”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉืออย่างซาบซึ้งพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณเสียงใส
สิ่งของที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้กว่าจะได้มาคงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องบอกนางก็พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าคงต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างไปไม่น้อยเพื่อแลกกับการที่จะได้มันมา ที่สำคัญคือเขาทำเพราะต้องการให้นางประหลาดใจครั้งใหญ่ เขายอมแลกเพราะอยากเห็นนางดีใจ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจมากมาย …และมันก็ยิ่งทำให้นางหลงรักผู้ชายคนนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“เด็กโง่ ข้าต้องบอกเจ้ากี่ครั้งกันว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”
หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่พลางยิ้มอย่างอบอุ่น พลันใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงต่ำ ดวงตาคมประสานดวงตาหวาน ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปประกบลงบนริมฝีปากอิ่มสีหวานของสตรีผู้เป็นเจ้าดวงใจ
บุรุษน้ำแข็งละเลียดชิมความหวานล้ำไม่ผละจาก บดคลึง หยอกเย้า ไปจนถ้วนทั่ว จากเนิบช้าเป็นเร่งเร้า จากอ่อนหวานเป็นร้อนแรง
และ…ฉินอวี้โม่เองก็ไม่ลังเลที่จะโต้ตอบกลับไป…อย่างไม่ยอมน้อยหน้า