คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 147 ความน่าเกรงขามของไป๋ฉี่
“เนี่ยหรูเฟิง เจ้าหาที่ตายแล้ว !”
ปู้เฟยเทียนตวาดออกมาอย่างเย็นชา ฉับพลันร่างของเขาก็หายวับไปจากจุดเดิม บุรุษผู้ครองตำแหน่งอันดับหกของทำเนียบนภาพุ่งเข้าจู่โจมเนี่ยหรูเฟิงโดยไม่รั้งรอ
เนี่ยหรูเฟิงเองไม่เคยเกรงกลัวแม้แต่น้อย พุ่งเข้าปะทะฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลังเลเช่นกัน
— ปัง ! —
ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายปะทะกันจนก่อเกิดเสียงดังลั่น ก่อนจะที่ทั้งคู่จะกระเด็นห่างออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เนี่ยหรูเฟิง ดูเหมือนเจ้าจะแข็งแกร่งไม่น้อยเลยนี่ !”
ปู้เฟยเทียนกัดฟันกล่าวพลางจ้องมองเนี่ยหรูเฟิง ในดวงตาของเขามีแววแห่งความตื่นตระหนกเจืออยู่เล็กน้อย
เนี่ยหรูเฟิงในตอนนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนนี้เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกครั้งเมื่อเกิดการปะทะกัน ทว่าด้วยฝ่ามือเมื่อครู่นี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเนี่ยหรูเฟิงไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
“อย่าคิดว่าทุกคนจะหยุดอยู่กับที่เหมือนกับเจ้า”
เนี่ยหรูเฟิงกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันเสียดสี
ใบหน้าของปู้เฟยเทียนบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะข่มฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อีกแล้ว ในใจของเขาเริ่มเกิดความวิตกกังวลปนหวาดหวั่นขึ้นทีละน้อย หากสู้กับเนี่ยหรูเฟิงตอนนี้ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่าเขาจะชนะ ยิ่งกว่านั้นประตูในห้องที่เจ็ดก็อาจจะเปิดได้ทุกเวลา ถ้าเขาสู้กับเนี่ยหรูเฟิงตอนนี้ก็อาจจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชิงเข้าไปในห้องนั้นได้ก่อน
อย่างไรก็ตามยอดฝีมืออันดับหกแห่งทำเนียบนภาก็ยังหันศีรษะไปจ้องมองฉินอวี้โม่
“ว่ากันว่ารุ่นน้องฉินอวี้โม่แข็งแกร่งยิ่งนัก วันนี้ข้าอยากจะขอเปิดหูเปิดตาดู”
ปู้เฟยเทียนไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเก่งกาจไปกว่าตัวเขาเอง นักเรียนใหม่อีกทั้งยังเป็นสตรีต่อให้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ก็เถอะ มีหรือจะสู้กับรุ่นพี่ที่รั้งอันดับหกของโรงเรียนอย่างเขาได้ ในเมื่อไม่สามารถระบายอารมณ์ขุ่นเคืองนี้กับเนี่ยหรูเฟิง งั้นก็เปลี่ยนไปลงกับฉินอวี้โม่ผู้นั้นแทนแล้วกัน !
“รุ่นพี่ปู้เฟยเทียนอยากจะประลองกับข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของปู้เฟยเทียน ฉินอวี้โม่ก็ทราบว่าเขาคงโกรธมาก ทว่าคนผู้นี้ก็ถือว่าทำตัวน่าละอายไม่น้อยที่เปลี่ยนเป้าหมายมาที่นางเช่นนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรรุ่นน้องเข้าใหม่ก็ดูแล้วน่าจะอ่อนแอกว่ามากหากเป็นผู้ยึดถือคุณธรรมไม่ชอบเอาเปรียบผู้คนก็คงไม่คิดลงมือกับคนอ่อนแอกว่าเป็นแน่
อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เริ่ม ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังกำลังเข้ามาใกล้ จากนั้นร่างอ้วนกลมของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฎขึ้นที่หน้าประตูของห้องที่หนึ่ง
เมื่อไป๋ฉี่มองเห็นฉินอวี้โม่ เขาก็ฉีกยิ้มกว้าง จิตวิญญาณแห่งหอคอยในร่างหนุ่มน้อยกำลังจะกล่าวทักทายสหายสาว ทว่าในตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญใจดังขึ้นเสียก่อน
ในตอนที่ปู้เฟยเทียนกำลังจะเปิดฉากจู่โจมฉินอวี้โม่ จู่ ๆ เขาก็เห็นร่างของบุรุษลึกลับผู้เป็นเจ้าของห้องที่หนึ่งปรากฏขึ้น และในทันทีที่รับรู้การมาถึงของไป๋ฉี่ มุมปากของปู้เฟยเทียนก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้าย
“ไป๋ฉี่นางต้องการจะแย่งห้องของเจ้าและยังบอกอีกด้วยว่าถึงจะใช้ห้องของเจ้าไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
แม้ว่าทุกคนจะรู้จักนามของไป๋ฉี่ดี ทว่าก็ไม่มีผู้ใดทราบถึงเบื้องหลังและตัวตนของคนลึกลับผู้นี้เลย สิ่งที่พวกเขาทราบมีเพียงแค่ว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าปิงเสวียนผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบนภา ยิ่งไปกว่านั้นไป๋ฉี่ผู้นี้ยังเป็นคนเถรตรงอย่างน่าตกใจและเกรี้ยวกราดจนน่ากลัว สิ่งใดที่เขาไม่ชอบเขาก็พร้อมจะตอบโต้โดยไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้เคยมีคนมาแย่งใช้ห้องของไป๋ฉี่เพื่อเก็บตัวฝึกฝน คนผู้นั้นกล่าวว่าเขาไม่เกรงกลัวเจ้าของห้อง เขายังบอกอีกด้วยว่าต่อให้ไป๋ฉี่ปรากฏตัวออกมาเขาก็จะจัดการอีกฝ่ายให้หมอบเอง
ผลลัพธ์คือหลังจากที่ไป๋ฉี่ปรากฏตัว ไม่เพียงแค่จัดการสั่งสอนคนผู้นั้นอย่างสาสมเท่านั้น แต่ยังโยนเขาลงไปจากชั้นที่หกและกล่าววาจาข่มขู่ว่าอย่าให้เห็นหน้าบนชั้นที่หกอีก เพราะหากว่ายังกล้าขึ้นมาบนชั้นนี้ บุรุษผู้เกรี้ยวกราดจะไม่ยอมรามือเพียงเท่านั้นอีกแล้ว
แม้ว่าในวันนั้นจะมีผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ไม่มาก แต่เรื่องน่าตกใจเช่นนี้ก็กลายเป็นข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนราชสำนักอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นเมื่อสอบถามอาจารย์ทั้งหลาย อาจารย์หลายท่านก็เอ่ยปากเตือนว่าอย่าได้ยุ่งกับไป๋ฉี่ ช่วงเวลานั้นไม่มีนักเรียนคนใดไม่รู้จักสมญานาม ‘บุรุษเกรี้ยวกราดแห่งชั้นที่หก’ ทว่าก็ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าเขาเป็นใคร อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นก็ที่ทราบกันดีในหมู่นักเรียนรุ่นก่อน ๆ ที่เข้ามาฝึกฝนในหอคอยวิญญาณ ทุกคนรู้ว่าห้องแรกบนชั้นที่หกถือเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ห้ามย่างกรายเข้าไปใกล้หรือข้องเกี่ยวโดยเด็ดขาด
ในตอนที่เห็นฉินอวี้โม่ขึ้นมายังชั้นนี้ ทุกคนก็คิดว่านางที่เป็นนักเรียนเข้าใหม่คงยังไม่ทราบเรื่องเล่าขานในโรงเรียนเรื่องนี้และคงไม่รู้จักไป๋ฉี่อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือ ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เคยเข้าไปฝึกในห้องนั้นมาพักใหญ่และความสัมพันธ์ของนางกับไป๋ฉี่ก็ดีงามมากด้วย เพราะหากว่ารู้อยู่ก่อนหน้าปู้เฟยเทียนก็คงไม่มีวันกล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา
“หือ นางก็พูดถูกแล้วนี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ นั่นแหละ”
ไป๋ฉี่เผยรอยยิ้มเย็นชาและกล่าวกับปู้เฟยเทียน
คำตอบของไป๋ฉี่ทำให้ปู้เฟยเทียนตกใจอย่างมาก แต่ที่มากกว่านั้นคือท่าทางของบุรุษปริศนาเพราะมันทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม จู่ ๆ เขาก็รู้สึกใจคอไม่ดีแปลก ๆ
“เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเจ้าจะประลองกับอวี้โม่ นั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ ?”
ไป๋ฉี่ย่างเท้าไปใกล้ปู้เฟยเทียนทีละก้าว ๆ อย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คือว่า…”
ปู้เฟยเทียนก้าวถอยหลังออกไปอย่างไม่รู้ตัว หากเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาก็คงจะโพล่งวาจาเหลวไหลออกไปแล้ว ทว่าหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ไป๋ฉี่กล่าวเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ไป๋ฉี่กับฉินอวี้โม่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในตอนนั้นเองปู้เฟยเทียนก็รู้สึกขึ้นมาว่าวันนี้เขาอาจจะต้องเจ็บตัวอย่างแน่นอน
“ช่างเถอะ พูดกับเจ้าไปก็คงเปล่าประโยชน์ ข้าว่าใช้หมัดแก้ปัญหาเลยดีกว่า ข้าไม่ได้ออกหมัดมานานจนแขนฝืนไปหมดแล้วด้วย”
ไป๋ฉี่ยิ้ม ฉับพลันกำปั้นอันรุนแรงหมัดหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าใส่ปู้เฟยเทียน
หมัดนั้นของไป๋ฉี่เสมือนไร้ซึ่งพลังมายา แต่ทว่าผู้คนทั้งหลายกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล
ปู้เฟยเทียนไม่กล้าประมาท เขารีบรีดเค้นพลังทั้งหมดเพื่อรับหมัดหมัดนี้
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าความพยายามของเขาสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง
— ปัง ! —
เกิดเสียงดังสนั่น ปู้เฟยเทียนถูกหมัดของไป๋ฉี่กระแทกเข้าใส่เต็มเปา แม้ว่าจะใช้แขนป้องกันไว้แล้วก็ตาม แต่ร่างของเขาก็ยังกระเด็นออกไปกระแทกกำแพงอย่างแรงก่อนจะร่วงลงมากองอยู่บนพื้น
“เหอะ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็ไม่เท่าไหร่นี่ !”
หลังจากชกปู้เฟยเทียนกระเด็นออกไปแล้ว ไป๋ฉี่ก็ส่ายศีรษะอย่างผิดหวังและหันหลังเดินกลับไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินไปจนถึงหน้าประตูเข้าห้องที่หนึ่ง บุรุษร่างปุ๊กลุกผู้น่าสะพรึงกลัวก็หันหน้ากลับมาอีกครั้งก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไสหัวออกไปจากชั้นหกซะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามเจ้าขึ้นมาที่นี่เด็ดขาด”
กล่าวจบไป๋ฉี่ก็คว้าข้อมือฉินอวี้โม่และพาเข้าไปยังห้องที่หนึ่ง เขาชี้ชวนให้สหายนั่งลงก่อนจะนั่งลงบ้างพลางส่งยิ้มให้
ปู้เฟยเทียนลุกกลับขึ้นมายืนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาจ้องมองไป๋ฉี่ที่กำลังส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่ด้วยความหวาดหวั่นและเจ็บแค้น จากนั้นก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาต แม้ว่าจะรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งแต่เขาก็ยังต้องลงไปจากชั้นที่หก
หากว่าไม่ลงไป เขาก็คงจะถูกทุบตีอีก ยิ่งกว่านั้นเขาคงไม่กล้าขึ้นมาบนชั้นที่หกอีกแล้วเพราะถ้าหากยังดื้อดึงและถูกไป๋ฉี่พบตัวเข้า เขาคงจะไม่พ้นถูกคนลึกลับผู้นั้นเล่นงานจนตายแน่
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ในตอนที่เนี่ยหรูเฟิงและคนอื่น ๆ ได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึงก็เห็นปู้เฟยเทียนเดินลงไปจากชั้นที่หกแล้ว
ภาพที่ได้เห็นทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกฝืดเฝื่อนในลำคอจนต้องรีบกลืนน้ำลาย ดวงตาทุกคู่จ้องมองไป๋ฉี่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ผู้คนบนชั้นที่หกมองดูบุรุษร่างกลมป้อมที่นั่งอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง
มีเนี่ยหรูเฟิงเพียงคนเดียวที่ยังแสดงสีหน้าปกติ เขายิ้มให้ฉินอวี้โม่และไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
“รุ่นพี่เนี่ยหรูเฟิง ขอบคุณมากที่ช่วยเตือนข้า แต่ว่าไป๋ฉี่กับข้าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ฉะนั้นถึงข้าจะใช้ห้องที่หนึ่งก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้เนี่ยหรูเฟิง ก่อนจะนำหินมายาออกมาใส่ในช่องบรรจุหินมายาสำหรับเปิดใช้งานห้อง หลังจากนั้นประตูห้องที่หนึ่งก็ปิดตัวลง
“อวี้โม่ จ้องอยากจะเก็บตัวในนี้ครึ่งปีจริง ๆ หรือ ?”
ไป๋ฉี่มองฉินอวี้โม่พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า
“ข้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การฝึกบนชั้นที่หกนี้จะทำให้ได้ผลเร็วกว่าปกติหลายเท่า ข้าจึงคิดว่าควรจะเก็บตัวอยู่ที่นี่สักครึ่งปี”
“หึ ๆ ถ้าชั้นหกเรียกว่าเร็วแล้ว งั้นชั้นเจ็ดก็คงวิปลาสเลยล่ะ”
ไป๋ฉี่ยิ้ม เขาคือผู้ที่เคยไปยังชั้นที่เจ็ดของหอคอยวิญญาณมาแล้ว ดังนั้นเขาย่อมรู้ถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองชั้นนี้ดี ถ้าหากว่าการฝึกฝนบนชั้นหกถือว่าให้ผลที่เร็วมาก งั้นชั้นที่เจ็ดก็อาจจะต้องใช้คำว่า ‘วิปลาส’ เพื่อบรรยาย
เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าไป๋ฉี่คือวิญญาณของหอคอยแห่งนี้ ฉินอวี้โม่จึงไม่ประหลาดใจนักที่เขาจะขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดได้
“ไป๋ฉี่ หลังจากจำแลงร่างมนุษย์ได้จนถึงตอนนี้ เจ้าฝึกฝนมานานเท่าไหร่แล้วรึ ?”
ฉินอวี้โม่มองไป๋ฉี่แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ารู้ด้วยหรือ ?! ใครบอกเจ้ากัน !”
เมื่อได้ยินคำถามของสหาย ไป๋ฉี่ก็จ้องมองนางอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อนอ่อย
“เจ้าคงเหยียดหยามเพราะข้าเป็นวิญญาณสินะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพลางยิ้มสดใส
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเราเป็นสหายกันนะ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นวิญญาณหรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันตลอดไป ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะดูถูกเจ้า นอกจากจะไม่ถูกดูเจ้าแล้ว ข้ายังรู้สึกชื่นชมเจ้าด้วย เพราะข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องพยายามมากเพียงใดกว่าจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ ข้าคิดว่ากว่าจะจำแลงร่างมนุษย์ได้เจ้าต้องฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมากเลยใช่หรือไม่”
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเมื่อครั้งที่นางมาบอกลาไป๋ฉี่ก่อนวันหยุดเทศกาลปีใหม่ เหตุใดเขาจึงทำสีหน้าอึดอัดและรีบหนีหายไปในตอนที่เขาหลุดปากตอบนางว่าไม่เคยออกจากหอคอย ที่แท้เป็นเพราะเขากลัวว่านางจะรู้ว่าเขาคือวิญญาณไม่ใช่มนุษย์และคงจะกลัวว่าถ้ารู้แล้วนางจะไม่อยากเป็นสหายกับเขาอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ไป๋ฉี่ก็พยักหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“ดีจริง ๆ ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าคงไม่เลิกเป็นเพื่อนกับข้าเพราะแค่ว่าข้าเป็นวิญญาณหรอก !”
ไป๋ฉี่แย้มยิ้มจนตาหยี และด้วยความกลมมนบวกกับรอยยิ้มกว้างจึงเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มทั้งสองข้าง นี่ทำเอาคนมองอย่างฉินอวี้โม่ได้แต่ยิ้มตามพลางคิดว่า…‘ใบหน้าเจ้าเนื้อนี่มันช่างน่ารักเสียจริง ๆ’
“ไป๋ฉี่ มีคนที่ไม่อยากเป็นสหายกับเจ้าเพราะว่าเจ้าเป็นวิญญาณด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
ตั้งแต่ได้ยินวาจาของสหายปุ๊กลุก ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกสงสัยมาก ในเมื่อก็เป็นสหายกันแล้ว เหตุใดเพียงแค่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นวิญญาณก็ถึงกับเลิกคบหาไปเลยหรือ ? แล้วก็คงเพราะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสินะ ไป๋ฉี่ถึงได้เป็นกังวลมากมายนัก ?
“อือ เมื่อก่อนนี้ข้ากับชายคนหนึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขามาฝึกฝนบนชั้นที่หกอยู่บ่อย ๆ แต่หลังจากที่เขารู้ว่าข้าเป็นวิญญาณ เขาก็ไม่เคยมาอีกเลย ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะข้าเป็นวิญญาณเขาเลยไม่อยากจะเป็นสหายกับข้า ดังนั้นเขาจึงไม่ขึ้นมาที่ชั้นหกนี่อีกแล้ว”
ไป๋ฉี่พยักหน้า เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็อดเศร้าเสียใจไม่ได้
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเหตุผลมันจะเป็นเช่นนั้น คนที่เป็นสหายกับไป๋ฉี่ได้ปกติแล้วไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา คนเช่นนั้นหากยิ่งรู้ว่าไป๋ฉี่เป็นวิญญาณก็ควรจะยิ่งอยากเป็นสหายกับเขาจึงจะถูก ไม่น่าเป็นไปได้เลยที่จะเลิกคบหาสหายด้วยเหตุผลตามที่ไป๋ฉี่เข้าใจ
“บางทีเขาอาจจะเรียนจบและออกจากโรงเรียนไปแล้วก็ได้นะ ลองคิดดูดี ๆ สิ ถ้าเขายังอยู่ในโรงเรียนเขาก็ควรจะเข้ามาฝึกในหอคอยวิญญาณบ้างไม่ใช่หรือ ?”
ฉินอวี้โม่รีบเอ่ยออกไปเพื่อทำลายความเศร้าหมองของไป๋ฉี่
“บางทีอาจจะใช่นะ รอให้ข้าออกไปได้ก่อน แล้วข้าจะไปถามเขา”
ไป๋ฉี่พยักหน้า เรื่องที่ฉินอวี้โม่กล่าวก็มีความเป็นไปได้อยู่
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย หลังจากที่จำแลงร่างมนุษย์ได้ เจ้าฝึกฝนมาได้กี่ปีแล้ว ?”
ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้มก่อนจะทวงถามคำตอบที่ต้องการทราบ นางเห็นแล้วว่าลักษณะท่าทางของไป๋ฉี่เหมือนกับเด็ก ๆ ตามที่ผู้อาวุโสหลิวบอกเล่า ถึงแม้จะอยู่ในรูปลักษณ์บุรุษอายุสิบหกปีหรือเมื่อครู่เขาจะแสดงให้เห็นฝีมืออันสูงส่งเกินกว่ายอดฝีมือในวัยเดียวกันไปมาก แต่อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็ยังเชื่อว่าสหายกลมมนผู้นี้น่าจะยังมีอายุไม่มากนัก
“เอ่อ ดูเหมือนว่าปีนี้จะเป็นปีที่สิบสองแล้ว”
ไป๋ฉี่คิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวตอบฉินอวี้โม่
“งั้นตอนนี้เจ้าก็ถือว่าอายุสิบสองแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เรื่องนี้ไม่ผิดจากที่นางคาด ไป๋ฉี่เป็นเด็กอยู่จริง ๆ ด้วย แม้ว่าจะเป็นวิญญาณที่มีการพัฒนาที่ไม่เหมือนกับมนุษย์จนทำให้อาจจะเปรียบเทียบได้ยากลำบาก แต่อย่างไรเมื่อดูจากสิ่งที่เขาแสดงออกมาแล้ว สติปัญญาและความนึกคิดของไป๋ฉี่ก็ถือว่าเป็นเด็กอยู่มากจริง ๆ
“ใช่ แต่ข้าไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีถึงจะออกไปดูโลกภายนอกได้”
ไป๋ฉี่พยักหน้าหงึกหงักพลางตอบเสียงอ่อย ทว่าเสียงที่น่าจะสื่ออารมณ์หมองหม่นของเขากลับฟังดูอู้อี้เสียมากกว่า นั่นเพราะว่าแก้มย้วย ๆ นุ่มนิ่มกำลังถูกฉินอวี้โม่ที่อยู่ข้าง ๆ จับยืดจับดึงเล่นอยู่ คุณหนูคนงามอดใจไม่ไหวเพราะรู้สึกว่าเขาช่างน่ารักจริง ๆ
“เอาน่า ไว้รอให้เจ้าแข็งแกร่งพอ และรู้สึกว่าเจ้าโตมากพอแล้ว เจ้าค่อยออกไปก็ได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ
“จริง ๆ แล้วโลกภายนอกไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิด มีหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้”
“แม่จ๋า”
ทันใดนั้นเสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งก็ดึงขึ้น ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้เจ้าตัวเล็กหานอวี้กำลังนั่งทำตาแป๋วอยู่ข้าง ๆ ร่างบาง
“เสี่ยวอวี้ เจ้าออกมาได้ยังไง ?”
หลังจากดึงตัวหานอวี้เข้ามาอุ้ม ฉินอวี้โม่ก็หยิกแก้มขาว ๆ ของเขาแล้วเอ่ยถาม
“ข้ารู้สึกว่าพลังมายาในที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ดี ข้าเลยออกมา ถ้าข้าฝึกที่นี่ ข้าคงจะเติบโตได้เร็วและช่วยท่านแม่จัดการพวกคนเลวได้”
หานอวี้ตอบเสียงใสด้วยรอยยิ้ม มังกรน้อยปล่อยให้เจ้านายสาวที่เขาคิดว่าเป็นมารดาฟัดแก้มตัวเองเล่นโดยไม่มีท่าทีว่าจะขุ่นเคือง
“พี่ชายคนนี้คือใครเหรอ ?”
หานอวี้มองไป๋ฉี่ที่นั่งอยู่ข้างกายผู้เป็นมารดาก่อนจะปีนขึ้นไปตัวเขาแล้วส่งยิ้มให้
“ข้าชื่อไป๋ฉี่ เจ้าคือลูกชายของอวี้โม่อย่างนั้นหรือ ?”
ไป๋ฉี่ยกร่างจ้ำม้ำของหานอวี้ขึ้นสำรวจก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ลูกชายคืออะไรเหรอ ?”
หานอวี้ถามอย่างงุนงง เจ้ามังกรน้อยไม่รู้จักคำว่าลูกชาย
เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองหนุ่มในร่างมนุษย์ต่างวัยผู้ไม่ใช่มนุษย์ ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มขำไม่ได้ ดูเหมือนสหายน้อยทั้งสองจะสนใจกันและกันอยู่ไม่น้อย
.