คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 152 ราชินีน้ำแข็ง
“เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากอสูรสาวแสนงามยอมจำนนอย่างแน่ชัดแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ทำการผูกพันธสัญญากับมันในทันทีซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ระดับพลังของนางอสูรในแดนเหมันต์เพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเมื่อมารยาทำพันธสัญญากับมนุษย์แล้ว ตัวมันเองก็ได้ค้นพบว่าบัดนี้ไฟที่เคยหวาดกลัวหนักหนาไม่ได้เป็นจุดอ่อนอันร้ายแรงอีกต่อไป
หลังสิ้นคำสั่งจากผู้เป็นนาย มารยาก็ช่วยหลินซิวหยาและสหายร่วมกลุ่มคนอื่น ๆ ออกจากมนต์สะกด
ในทันทีที่หลุดจากอาคมของอสูรสาวสวยได้ หลินซิวหยาก็หันมองรอบกายก่อนจะหยุดสายตาลงที่ฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
บุรุษตัวโตยังคงอยู่ในอาการมึนงง บนใบหน้ามีแต่ร่องรอยแห่งความไม่เข้าใจ เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงได้ไปอยู่ในสถานที่มืด ๆ จนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดนั้นได้ แล้วตอนนี้เขาก็กลับออกมาที่เดิม และที่สำคัญเขายังเห็นมารยากำลังยืนอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่ราวกับการเป็นพวกเดียวกันแล้วอีก ?
“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นพี่เพิ่งจะถูกมนต์สะกดของข่ายอาคม”
ฉินอวี้โม่อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ช่างน่ากลัวจริง ๆ ว่ากันว่าข่ายอาคมมายาของอสูรน่ากลัวกว่าของมนุษย์และมนุษย์แทบไม่มีโอกาสป้องกันมันได้ วันนี้พอได้มาเจอด้วยตัวเองข้าถึงได้เข้าใจ”
เนี่ยหรูเฟิงกล่าวด้วยความหวาดหวั่น ความมืดเมื่อครู่ยังคงหลอกหลอนจิตใจอยู่ ทว่าเขาก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่รอดมาได้
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจึงมีคำร่ำลือกันว่าป่าเหมันต์เต็มไปด้วยอันตราย แม้แต่นักผจญภัยประสบการณ์สูงก็ยังไม่กล้าเสี่ยงเข้ามา”
หลี่จิ้งแสดงความเห็น เพียงแค่อสูรตัวแรกที่พวกเขาเจอก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว ป่าเหมันต์แห่งนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน
“ข้าว่าที่น่าประหลาดใจคืออวี้โม่มากกว่า ไม่ตกอยู่ในมนต์สะกดนั้นยังไม่พอ แต่ยังถึงกับสยบมารยาได้เร็วขนาดนี้ เป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่เขาร่ำลือกันจริง ๆ”
เจียงหลิวเยว่กล่าวชื่นชมฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแค่โชคดีเท่านั้น เมื่อแรกเข้าเรียนข้าบังเอิญได้ลงเรียนชั้นเรียนวิชาข่ายอาคมจึงได้รู้จักมันมาบ้าง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้นำมาใช้ประโยชน์ที่นี่”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม หากไม่ใช่เพราะตำราที่ผู้เฒ่าลึกลับเจ้าของชั้นเรียนข่ายอาคมให้ไว้ นางก็คงจะไม่รู้จักข่ายอาคมที่มารยาใช้และไม่รู้วิธีทำลายมัน หากเป็นเช่นนี้แม้แต่นางก็คงถูกมันเล่นงานได้อย่างง่ายดาย
ทุกคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ‘โชควาสนา’ เองถือก็เป็นหนึ่งในความแข็งแกร่งเช่นกัน
“เรามาพูดถึงป่าเหมันต์นี่กันก่อนเถิด”
เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างดูสงบลง ฉินอวี้โม่ก็เริ่มถามข้อมูลเกี่ยวกับป่าเหมันต์จากมารยา และคำตอบของอสูรสาวก็ช่วยทำให้กลุ่มของฉินอวี้โม่เข้าใจสภาพการณ์โดยรวมของป่าแห่งนี้ขึ้นมาบ้าง
แท้จริงแล้ว เมื่อครั้งอดีต สถานที่ที่ถูกเรียกว่าป่าเหมันต์แห่งนี้เคยเป็นธารน้ำแข็งมาก่อน และสภาพของมันก็ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นทุกวันนี้
หลายพันปีก่อนหน้า มีสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินทางมาถึงยังธารน้ำแข็งแห่งนี้ เมื่อนางได้เห็นธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนสมุนไพรเฉพาะถิ่นที่หาได้ยาก ความรู้สึกของนางจึงถูกกระตุ้น
ด้วยพลังอันสูงส่งและเหนือชั้นสุดจะบรรยาย สตรีเลอโฉมผู้นั้นจึงเปลี่ยนธารน้ำแข็งแห่งนี้ให้กลายเป็นผืนป่ากว้าง นางใช้วิธีพิเศษทำให้ป่าเหมันต์แห่งนี้คล้ายกับโลกภายนอกที่มีสี่ฤดู ดอกไม้หลากหลายและพืชพันธุ์นานาชนิดจะสามารถขึ้นได้ในฤดูกาลที่เหมาะสมเสมือนภายนอกจนทำให้ฝูงสัตว์อสูรทั้งหลายได้เข้ามาอยู่อาศัยและขยายเผ่าพันธุ์ นั่นควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี อย่างไรก็ตามความหนาวเย็นของธารน้ำแข็งถือว่าหนักหนาสาหัสเกินไป แม้ว่ามันจะกลายเป็นป่าไปแล้วแต่หิมะของที่นี่กลับไม่มีวันละลาย ในที่สุดก็มีเพียงสัตว์อสูรที่ปรับตัวอยู่ในป่าหิมะนี้ได้เท่านั้นที่ยังอยู่รอด
ทว่ายอดฝีมือสาวงามผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจ หลังจากทำให้ที่นี่กลายเป็นป่า นางก็สร้างปราสาทไว้ ณ ใจกลางผืนป่าก่อนจะกลายเป็นผู้ปกครองของป่าเหมันต์แห่งนี้ และยังเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อสองพันปีก่อน สงครามครั้งใหญ่ได้อุบัติขึ้น ยอดฝีมือผู้นั้นโชคร้ายถูกสังหารไปในสงคราม ส่วนปราสาทของนาง หลังจากผู้เป็นนายจากไปแล้วมันก็สูญหายไปจากป่าเหมันต์
และผลลัพธ์ของการที่ป่าเหมันต์ขาดผู้ปกครองไปก็ทำให้มันตกอยู่ในความโกลาหล อสูรที่ทรงพลังแต่ละตัวต่างก็พยายามจะตั้งตนเป็นใหญ่ เมื่อขัดแย้งกันแต่ละตัวจึงหันมาจับจองอาณาเขตของตัวเอง ทำให้ในเวลาต่อมา อาณาเขตแต่และส่วนของป่าเหมันต์มีสัตว์อสูรอันแข็งแกร่งปกครองอยู่ ทว่ามารยานั้นกลับไม่เรียกการกระทำของพวกมันเหล่านั้นว่าปกครอง อสูรสาวเรียกมันว่าเป็น ‘ขาใหญ่ประจำถิ่น’ ตัวอย่างเช่น ณ พื้นที่ส่วนกึ่งกลางของป่าถูกครอบครองโดยมังกรเหมันต์ สัตว์อสูรน้อยใหญ่ทั้งหมดในบริเวณนั้นต่างก็ต้องยำเกรงเจ้ามังกรตัวยักษ์
ความแข็งแกร่งของมังกรเหมันต์นั้นน่ากลัวเกินจะบรรยาย ดูเหมือนว่าพลังของมันจะไปถึงระดับเทพอสูรแล้ว ยิ่งกว่านั้นมันยังไม่เคยออกไปจากป่าแห่งนี้เลยราวกับกำลังค้นหาปราสาทที่หายไปหลังจากที่ยอดฝีมือผู้นั้นตายจากไป
เรื่องราวความเป็นมาของป่าเหมันต์ที่ได้ฟังจากปากของมารยาทำให้สมาชิกทั้งห้าคนของกลุ่มฉินอวี้โม่ตกอยู่ในอาการตะลึง
‘ต้องแข็งแกร่งมากเพียงใด ถึงได้เปลี่ยนธารน้ำแข็งทั้งหมดให้เป็นผืนป่าได้ แล้วบุคคลที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นกลับล้มตายลงในสงครามอย่างนั้นหรือ ? เช่นนั้นสงครามเมื่อสองพันปีก่อนที่ว่ามันจะยิ่งใหญ่และน่ากลัวเพียงใดกัน ?’
“เอ่อ ว่าแต่ยอดฝีมือผู้นั้นมีนามว่าอะไร ?”
หลังจากฟังมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบชื่อของสตรีที่แข็งแกร่งมากผู้นั้น ฉินอวี้โม่จึงถามออกไปด้วยความใคร่รู้
“พวกเราไม่รู้ชื่อของนาง พวกเราได้แต่เรียกขานนางว่า ‘ราชินีเหมันต์’ เท่านั้น นางฝึกฝนธาตุน้ำแข็งจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ปราสาทของนางก็สร้างมาจากพลังธาตุน้ำแข็ง มันเป็นปราสาทใหญ่โตที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง เสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครได้เห็นมันอีกแล้ว”
มารยาถอนหายใจ เมื่อได้เอ่ยสมญานามนั้นแล้ว ความหวาดกลัวปนยำเกรงก็บังเกิดขึ้นในใจอสูรผู้มีรูปลักษณ์สตรีมนุษย์งดงาม ว่ากันว่าราชินีเหมันต์แข็งแกร่งเพียงพอจะสั่นคลอนทั้งโลกหล้าได้ ในเวลานั้นป่าเหมันต์เองก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจำนวนมาก เมื่อราชินีเหมันต์ที่เป็นดั่งผู้ปกครองตกตายลง ความโกลาหลวุ่นวายจากการช่วงชิงอำนาจจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
“คุยกันมาตั้งนานแล้ว ข้ามีเรื่องข้องใจมากข้อหนึ่ง แม่นาง…ไม่สิ…มารยา เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่า ตกลงเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ ?”
หลินซิวหยามองอสูรสาวในชุดขาวบริสุทธิ์ด้วยสีหน้าฉงน แววตาเต็มไปด้วยความกังขาในบางอย่าง คิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดมุ่นจนน่าหัวเราะ บอกตามตรงเลยว่าอสูรที่มีรูปลักษณ์งดงามเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เขาจึงสงสัยเกี่ยวตัวตนของอสูรตนนี้เป็นอย่างมาก
“ฮ่า ๆ ๆ ตัวตนของข้าก็แค่น้ำแข็งก้อนน้อย ๆ เท่านั้น…”
มารยาไม่ได้คิดปิดบังใด ๆ นางอสูรอธิบายตัวตนของตัวเองอย่างง่าย ๆ
แท้จริงแล้วมารยาถือกำเนิดขึ้นมาจากเศษน้ำแข็งของปราสาทกลางป่าที่ดูดซับพลังจากภายนอกมาเป็นเวลาหลายพันปี อีกทั้งยังได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังธาตุน้ำแข็งของราชินีเหมันต์โดยตรงทำให้มันก่อกำเนิดวิญญาณของตัวเองขึ้นมาได้
หลังจากผ่านไปอีกนับพันปี มันก็ค่อย ๆ พัฒนาจนจำแลงร่างมนุษย์ได้ อาจจะเป็นเพราะมนุษย์ที่มันเห็นเป็นคนแรกก็คือราชินีเหมันต์ ภาพของนางจึงฝังลึกอยู่ในจิต เมื่อเวลาผ่านพ้นไปร่างกายที่มันจำแลงออกมาจึงคล้ายกับรูปลักษณ์ของราชินีผู้แข็งแกร่งไปโดยปริยาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มันจงใจให้เป็นแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในที่สุดนางก็เข้าในแล้วว่าเหตุใดมารยาถึงได้กลัวไฟ ที่แท้ก็เป็นเพราะตัวมันก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาจากเศษน้ำแข็งนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เศษน้ำแข็งชิ้นนี้ยังสามารถวิวัฒนาการจนจำแลงร่างมนุษย์ได้จนถึงระดับที่มีสติปัญญารู้แจ้งเข้าใจทุกอย่างด้วยตัวมันเอง ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่มันจำแลงร่างมนุษย์ได้แล้วมันก็สามารถทำพันธสัญญากับผู้อื่นได้ มารยาเป็นอสูรที่เกิดจากสิ่งของที่บ่มเพาะพลังจนมีวิญญาณ สติปัญญาอันสูงส่ง อีกทั้งยังทรงพลังจนน่าเกรงขาม อสูรเช่นนี้ ไม่ทราบจะกล่าวได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวได้หรือไม่ แต่บอกได้เต็มปากเลยว่ามันหายากเสียยิ่งกว่ายาก
หลินซิวหยาและคนอื่น ๆ พยักหน้ารับรู้ ทว่าสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมารยากลับยังไม่คลายสงสัย
“เจ้าหน้าตาเหมือนกับราชินีเหมันต์นั่นเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงได้งดงามนัก”
เจียงหลิวเยว่ยิ้ม ทว่านางไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่านางเคยเห็นใบหน้าแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
มารยายิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ได้ตอบวาจากลับไป แม้ว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ของมันจะดูเหมือนกับราชินีเหมันต์ แต่ความแข็งแกร่งก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน ตัวมารยายังไม่แข็งแกร่งพอจะครองป่าเหมันต์ด้วยซ้ำ ขณะที่ราชินีเหมันต์แข็งแกร่งมากเสียจนสามารถสั่นสะเทือนทั้งโลกหล้าได้
“มารยา เจ้าบอกได้ไหมว่าตอนนี้พวกเราอยู่ส่วนไหนของป่า ? แล้วพวกเราต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะเดินทางไปจนถึงใจกลางของป่าได้ และเจ้าเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่าผลเยือกมณีบ้างไหม ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเริ่มหันกลับมาสนใจกับเป้าหมายและภารกิจที่ทำให้ต้องมาเยือนป่าเหมันต์แห่งนี้
“พวกเราอยู่ในเนินเขาเล็ก ๆ ทางใต้ของป่าเหมันต์ ที่นี่เกือบจะถึงแดนของชายป่าทางใต้แล้ว คราแรกข้าคิดว่าพวกท่านกำลังจะเดินทางออกจากป่าจึงคิดจะรั้งไว้เล่นสนุกด้วย แต่ถ้าหากพวกท่านต้องการไปยังจุดกึ่งกลางของป่าจะต้องเดินขึ้นไปทางเหนือ และจากที่ตรงนี้ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างเร็วที่สุดก็ประมาณครึ่งเดือน ส่วนผลเยือกมณีที่นายหญิงพูดถึง ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อนเลย”
มารยาตอบคำถามของฉินอวี้โม่ออกมาตรง ๆ ด้วยความสัตย์จริง ไม่คิดปิดบังซ่อนเร้น
อสูรสาวอยู่ในป่าเหมันต์มาหลายพันปีแล้ว แน่นอนว่ามันย่อมรู้จักทุกซอกทุกมุมของป่า ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้าหรือสิ่งใดก็แล้วแต่ มันล้วนรู้จักทั้งสิ้น ทว่ามันกลับไม่เคยรู้จักผลเยือกมณี หรือแม้แต่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อนอีกด้วย
แต่สำหรับเรื่องที่ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ ณ จุดใดของป่า มารยารู้อย่างแน่ชัดและยังสามารถคำนวณระหว่างห่างระหว่างจุดที่ยืนอยู่นี้กับทุกพื้นที่ของป่าได้อย่างแม่นยำ
“ไม่เคยได้ยินเลยอย่างนั้นหรือ ?”
หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของมารยา ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจมาก มารยาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายพันปี แต่มันกลับไม่เคยได้ยินเรื่องของผลเยือกมณีมาก่อน แล้วพวกนางจะใช้วิธีใดในการตามหาผลไม้วิเศษที่เป็นเป้าหมายของการแข่งขันครั้งนี้ ?
“นายหญิง ข้ารู้จักป่านี้แทบจะทุกซอกทุกมุม แม้แต่อาณาเขตของมังกรเหมันต์ที่ผู้ใดก็ยำเกรงนั่น ข้าก็เคยไปมาแล้ว พืชพันธุ์ต่าง ๆ ของป่าแห่งนี้มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ถ้าท่านอยากจะได้พืชหายากอย่างบุปผาน้ำแข็งหรือบัวหิมะพันปี ข้าก็หาให้ได้ แต่ผลเยือกมณีที่ท่านว่าข้าไม่เคยได้ยินชื่อมันเลยนะเจ้าคะ”
มารยากล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมุนไพรภายในป่าแห่งนี้ ต้องทราบก่อนว่าทั้งบุปผาน้ำแข็งและบัวหิมะพันปีล้วนเป็นวัตถุดิบล้ำค่าที่หาได้ยากมากสำหรับผู้หลอมโอสถ พืชทุกชนิดที่อยู่ที่นี่มารยารู้จักทั้งหมด แต่ในบรรดาสมุนไพรทั้งหลายไม่มีชนิดใดชื่อคล้ายผลไม้ดังกล่าว
ฉินอวี้โม่พยักหน้า อดีตนักฆ่าสาวไม่ได้นึกสงสัยว่าอสูรตนใหม่ในสังกัดของนางจะบิดบังความจริง แต่สิ่งที่นางกำลังสงสัยคือผลเยือกมณี มันคือสมบัติใดกันที่แม้แต่ผู้ดำรงอยู่ในป่าเหมันต์แห่งนี้มานานก็ยังไม่รู้จัก และล้ำค่าเพียงใดถึงได้ทำให้ทางโรงเรียนยอมมอบรางวัลให้แก่กลุ่มผู้ที่พบมันด้วยโอสถผสานสวรรค์ห้าเม็ด
“เอาเถอะ ในเมื่อมารยาไม่รู้ งั้นเราก็ค่อย ๆ หาไปเถอะ ผลเยือกมณีว่ากันว่าเป็นสิ่งผลไม้ที่หายากดั่งของที่สวรรค์ประทาน ดังนั้นมันต้องหายากยิ่งกว่าบุปผาน้ำแข็งและบัวหิมะพันปี ในเมื่อขึ้นชื่อว่าหายาก การเจอมันได้ง่าย ๆ ก็คงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องแล้วล่ะ”
เจียงหลิวงเยว่ยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้ข้อมูลของผลเยือกมณีจากการสอบถามอสูรสาว แต่นางก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ตรงกันข้าม การได้พบมารยาทำให้นางโล่งใจเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากไม่ได้ข้อมูลจากอสูรตนนี้ พวกนางทั้งหมดคงจะได้เดินหลุดออกจากป่าเหมันต์ไปในไม่ช้านี้เป็นแน่ และถึงอย่างไรเวลาก็เหลืออีกมากกว่ายี่สิบวัน ในเมื่อทางโรงเรียนออกกฎการแข่งขันเช่นนี้ แสดงว่าผลเยือกมณีจะต้องอยู่ในป่าอันหนาวเหน็บแห่งนี้ไม่ผิดแน่ ซึ่งถ้าหากพวกเขาค้นหาไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็น่าจะพบเบาะแสบางอย่าง
สมาชิกสี่คนที่เหลือพยักหน้า พวกเขาเห็นด้วยกับวาจาของเจียงหลิวเยว่
แม้แต่พวกเขาที่ได้ตัวมารยามาเป็นพวกก็ยังคงมืดแปดด้าน ฉะนั้นกลุ่มอื่นเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบผลไม้นั่นได้ง่ายดายเช่นกัน
“นายหญิง บนเนินเขาลูกนี้มีบุปผาน้ำแข็งอยู่ ข้าไม่แน่ใจว่านายหญิงจะต้องการมันหรือไม่ ?”
มารยายิ้มและเปลี่ยนประเด็น นางบอกข้อมูลที่น่าประหลาดใจกับฉินอวี้โม่
บุปผาน้ำแข็งเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ขึ้นชื่อว่าหายากอย่างยิ่ง แต่มันก็เป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมโอสถเลอค่าหลายชนิด ในเมื่อได้มาจนถึงที่นี่แล้วหากจะพลาดมันไปก็คงน่าเสียดายไม่น้อย
“งั้นพาข้าไปดูหน่อย รุ่นพี่ทั้งสี่ไหน ๆ ก็มีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่ใกล้ ๆ แล้ว ข้าว่าพวกเราไม่ควรจะพลาดโอกาส ตอนที่กลับไปถึงนครไป๋อวิ๋นถ้าเอามันไปขายให้โรงประมูลและนำเงินที่ได้มาแบ่งกันรับรองว่าไม่มีขาดทุนแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มแจ่มใส นัยน์ตาทั้งคู่สุกสกาว สมาชิกกลุ่มผู้มีอายุน้อยที่สุดรีบเร่งเดินตามารยาขึ้นไปบนยอดของเนินเขา
คนอื่น ๆ อีกสี่คนมองตามรุ่นน้องสาวแล้วอดนึกขำไม่ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดก็ยังคงยกโขยงติดตามไปด้วย พวกเขาเองก็ไม่อยากจะพลาดของดี แม้ว่าจะไม่ได้ร้อนเงิน แต่บุปผาน้ำแข็งก็เป็นวัตถุดิบหลอมโอสถที่หายาก ผู้ที่จะผ่านเลยไปโดยไม่ไปเก็บเกี่ยวไว้คงมีแต่คนที่ไม่รู้จักมันหรือไม่ก็สติไม่ดีเท่านั้น
ด้วยการนำทางของมารยา กลุ่มของฉินอวี้โม่ทั้งห้าคนก็ขึ้นไปถึงยอดเขาได้อย่างง่ายดาย บนยอดเนินนั้นมีดอกไม้สีแดงสดที่บานสะพรั่งเต็มที่อยู่ดอกหนึ่ง ซึ่งมันก็คือบุปผาน้ำแข็ง
หลังจากเด็ดมันขึ้นมาได้ ฉินอวี้โม่ก็เก็บมันไว้ภายในแหวนมิติ
ในตอนที่ทุกคนกำลังจะลงไปจากเนินเขาและมุ่งสู่เส้นทางการตามหาผลเยือกมณี ห้าคนกับหนึ่งตนก็ได้พบรอยเท้ามนุษย์คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนในกล่มของตนเสียก่อน ดูเหมือนว่าจะมีบางคนอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองหน้ากัน ก่อนที่จะตามรอยเท้าปริศนาไปอย่างไม่ลังเล