คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 154 เจ้ารอก่อนเถอะ
“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ อย่าทำเป็นเก่งนักเลย นอกจากพึ่งพาบารมีของหานโม่ฉือแล้วเจ้าก็ไม่ต่างจากคนไร้ความสามารถนักหรอก”
ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด จู่ ๆ จีหย่งก็หัวเราะลั่นพร้อมกล่าววาจาเย้ยหยันฉินอวี้โม่
“รุ่นพี่จีหย่ง ท่านพูดผิดไปแล้วล่ะ เพราะนอกจากบารมีของหานโม่ฉือแล้ว ข้ายังพึ่งบารมีของไป๋ฉี่ด้วย รุ่นพี่อยากจะลองทดสอบดูไหมล่ะ ? รุ่นพี่ปู้เฟยเทียนได้บอกหรือยังว่าเขาต้องลงไปจากหอคอยวิญญาณชั้นหกเพราะอะไร หรือจะรอให้การแข่งขันนี่จบก่อน ข้าจะได้ไปบอกไป๋ฉี่ บางทีสหายของข้าอาจมีเรื่องอยากจะ ‘สนทนา’ กับรุ่นพี่ก็ได้นะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ในเมื่ออีกฝ่ายถากถางนางเรื่องนั้น นางก็อยากให้เขาได้รับรู้ความจริงให้ครบถ้วนไปเลย
ต่อให้อีกฝ่ายคิดว่านางเป็นจิ้งจอกที่พึ่งบารมีเสือก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย ขอเพียงมีความสามารถมากพอก็ดึงเอาบารมีผู้อื่นมาใช้ได้และนั่นก็ถือเป็นความแข็งแกร่งอย่างหนึ่งเช่นกัน
อดีตสาวนักฆ่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับการอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของหานโม่ฉือ ตรงกันข้ามนางยังรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเสียด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินคำตอบโต้ของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของปู้เฟยเทียนผู้ที่ยังไม่เคยกล่าวสิ่งใดออกมาแม้ครึ่งคำก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวในทันที
เรื่องวันนั้นทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง แต่หากเพียงแค่เสียหน้าคงไม่นับเป็นปัญหา ทว่าเขายังต้องเสียโอกาสในการก้าวหน้าด้วย มาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังกลุ้มใจไม่หาย หากเขาขึ้นไปยังชั้นที่หกไม่ได้ ในไม่ช้าเขาก็คงจะถูกนักเรียนหัวกะทิคนอื่น ๆ แซงหน้าไปหมดแน่ ปัญหานี้เขายังมืดแปดด้านเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็หาทางขึ้นไปฝึกฝนไม่ได้ ครั้นจะดื้อรั้นฝืนขึ้นไปก็คงไม่พ้นถูกไป๋ฉี่เล่นงาน
ความผิดทั้งหมดนี้เขายกให้ฉินอวี้โม่แต่เพียงผู้เดียว ถ้าไม่ใช่เพราะสตรีน่ารังเกียจผู้นี้ เขาก็ไม่ต้องมาถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ฉินอวี้โม่ เรื่องในวันนี้มันไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย แต่เจ้ากลับกล้าเสนอหน้ามา อีกทั้งยังถากถางข้า เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ถือโอกาสคิดบัญชีเรื่องที่เจ้าทำไว้กับข้า”
ปู้เฟยเทียนค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาฉินอวี้โม่ เขาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นพลางสาดวาจาด้วยความเดือดดาล
“ปู้เฟยเทียน ดูเหมือนว่าวันนั้นเจ้าจะทำตัวเองนะ ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของข้า บางครั้งเจ้าควรจะหัดย้อนกลับมาดูตัวเองเสียบ้าง มิใช่เป็นแต่โทษผู้อื่น”
ฉินอวี้โม่เอ่ยคำค่อนแคะ นางขำที่ปู้เฟยเทียนผู้ยังไม่ก้าวถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดารากลับขวัญกล้าจะคิดบัญชีกับนาง ไม่ต้องกล่าวถึงเขาเพราะต่อให้เป็นจอมยุทธ์ระดับมายาบรรพชนเก้าดารานางก็ยังไม่เกรงกลัว ตัวนางในตอนนี้ไม่ใช่ฉินอวี้โม่เมื่อครึ่งปีก่อนอีกแล้ว เวลานี้บุรุษผู้อยู่ตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสายตานางสักนิด
“หาที่ตายแล้ว !”
สีหน้าของปู้เฟยเทียนเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ร่างของเขาพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่และเตรียมใช้กระบวนท่าโจมตี
“ช้าก่อน ปู้เฟยเทียน เจ้ามาเล่นกับข้าดีกว่า !”
เนี่ยหรูเฟิงพุ่งเข้าไปหยุดปู้เฟยเทียนโดยไม่รอช้า เขาไม่ปล่อยให้รุ่นน้องในกลุ่มต้องเคลื่อนไหว
เนี่ยหรูเฟิงมีเรื่องบาดหมางกับปู้เฟยเทียนมานานแล้ว ที่ผ่าน ๆ ก็เป็นเขาที่ถูกอีกฝ่ายข่มไว้ทุกครั้ง แต่หลังจากการเก็บตัวฝึกฝนอันยาวนานกว่าครึ่งปี เนี่ยฟรูเฟิงก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าบัดนี้ตัวเขาเองเหนือกว่าปู้เฟยเทียน ในเมื่อบุรุษผู้เป็นอริเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉาก เขาก็ไม่ลังเลที่จะแสดงให้ศัตรูได้เห็นว่าเขาไม่ใช่เนี่ยฟรูเฟิงคนเดิมอีกแล้ว
“เนี่ยหรูเฟิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังคอยเลียแข้งเลียขาฉินอวี้โม่ไม่เปลี่ยนเลยนะ เป็นไงล่ะ หานโม่ฉือได้ให้การชี้แนะเจ้าบ้างรึยัง ?”
เมื่อเห็นเนี่ยหรูเฟิงเข้ามาขวาง ปู้เฟยเทียนก็เข้าประมือกับอีกฝ่ายในฉับพลันโดยไม่รอช้า ขณะเดียวกันปากของเขาก็ไม่หยุดพ่นคำเย้ยหยัน
“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นพี่หานโม่ฉือบอกข้าว่า การเอาชนะคนอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องทุ่มพลังทั้งหมดก็ชนะได้สบาย ๆ”
ในครั้งนี้เป็นเนี่ยหรูเฟิงที่แย้มยิ้มเยาะแล้วกล่าวคำหยามเหยียดกลับไป เขาไม่ได้ใส่ใจวาจาของปู้เฟยเทียน การไม่ไปโต้เถียงกับคนประเภทนี้คือทางออกที่ดีที่สุด
“จีหย่ง ทำไมเราไม่มาลองวัดฝีมือกันสักหน่อยเล่า ข้ากับเจ้าไม่ได้ประลองกันมาเป็นปีแล้วนะ ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพัฒนาพลังไปถึงไหนแล้ว”
หลินซิวหยายิ้ม ความปรารถนาในการต่อสู้ของเขาพุ่งขึ้นสูงอีกครั้ง โดยไม่รั้งรอการตอบรับของจีหย่ง บุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ก็พุ่งเข้าไปเปิดฉากโจมตีก่อนทันที
“เหอะ ก่อนหน้านี้ฝีมือเจ้าถือว่าพอสูสีกับข้าก็จริง แต่วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพัฒนาการในช่วงที่ผ่านมาของข้า !”
จีหย่งแค่นเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับพุ่งเข้าปะทะหลินซิวหยาโดยไม่รอช้าเช่นกัน
“จีชาง พวกเรามาประลองกันหน่อยเป็นไง ?”
เมื่อเห็นว่าคนที่เหลือของฝ่ายตรงข้ามยังไม่มีความเคลื่อนไหว ฉินอวี้โม่จึงเป็นผู้เปิดฉาก คุณหนูคนงามกล่าววาจาท้าทายจีชางด้วยรอยยิ้มร้าย
ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าความแข็งแกร่งของจีชางคงจะพัฒนาไปมากในช่วงที่ผ่านมา เมื่อหลายเดือนก่อนฉินอวี้โม่ต้องพึ่งพาพลังจากเกราะอสูรเสริมร่างเพื่อเอาชนะบุรุษผู้นี้ แต่ตอนนี้นางมั่นใจมากว่าต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาเกราะอสูรนางก็เอาชนะอีกฝ่ายได้ภายในกระบวนท่าเดียว
สีหน้าของจีชางเปลี่ยนไปทันที เขามองฉินอวี้โม่พลางกัดฟันแน่น ทว่าบุรุษตระกูลจีผู้น้องก็ไม่ได้ตอบโต้หรือตอบรับคำท้า เขายังจดจำภาพการประลองเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ได้ดี ในตอนนั้นฉินอวี้โม่ที่อยู่เพียงขอบเขตนภามายาสามารถเอาชนะเขาที่อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หลังจากผ่านการฝึกฝนมานานเขาคาดว่าเวลานี้สตรีรุ่นน้องที่น่าหวาดหวั่นคงก้าวหน้านำเขาไปไกลแล้ว และเขาเองก็ไม่ได้โง่พอจะเอาตัวเองไปให้อีกฝ่ายทุบตีเล่น ๆ
เมื่อเห็นจีชางไม่ตอบ ฉินอวี้โม่ก็หัวเราะน้อย ๆ ‘เฮ้อ ! ช่างน่าเบื่อเสียจริง’
เดิมทีอดีตนักฆ่าคิดว่าตนจะสามารถเล่นงานอีกฝ่ายให้เจ็บแสบหรืออาจจะถึงกับสาหัสไปเลยได้ แต่ในเมื่อจีชางไม่ยอมรับคำท้าก็แสดงว่าเขาเกรงกลัว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ลงมือกับคนที่ไม่มีใจจะสู้ไม่เรียกว่าการประลองยุทธ์ แต่เป็นการทำร้ายร่างกาย ซึ่งนั่นจะก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อตัวคุณหนูสี่ตระกูลฉิน
การต่อสู้ระหว่างเนี่ยหรูเฟิงและปู้เฟยเทียนไม่ได้หวือหวานัก พวกเขามีความแข็งแกร่งที่ค่อนข้างทัดเทียมกัน แม้ทางเนี่ยหรูเฟิงจะดูเหนือกว่าเล็กน้อย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดที่เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างชัดเจน
ส่วนการต่อสู้ระหว่างจีหย่งกับหลินซิวหยานั้นอลังการกว่ามาก
ถึงแม้หลินซิวหยาจะมีอันดับในทำเนียบนภาที่ต่ำกว่าจีหย่ง ทว่าในการต่อสู้ครั้งนี้บุรุษร่างใหญ่ก็ไม่ได้เป็นรองมาก เขาเปิดฉากจู่โจมอย่างบ้าคลั่งด้วยพลังทั้งหมด ที่สำคัญ ผ่านมาสักพักก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าพลังอันแข็งแกร่งของเขาจะถดถอยลงไปแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จีหย่งจึงไม่สามารถประมาทคู่ต่อสู้ได้ จริงอยู่ว่าตัวเขาอยู่ในอันดับที่สามของทำเนียบนภา แต่หากวัดกันในด้านพละกำลัง หลินซิวหยากลับไม่เป็นรองเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นในด้านของประสบการณ์การต่อสู้อีกฝ่ายกลับเหนือกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด
— ปัง ! —
บัดนี้บนที่ว่างกลางอากาศสูงขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เนี่ยหรูเฟิงและปู้เฟยเทียนพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น แรงสะท้อนของพลังส่งให้ร่างของคนทั้งสองกระเด็นไปด้านหลังคนละทิศทางก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงบนพื้นหิมะหนา ณ จุดที่มีระยะห่างจากกันและกันมากถึงสามร้อยจั้ง
“ฮ่า ๆ ๆ ปู้เฟยเทียน ในครึ่งปีที่ผ่านมาฝีมือเจ้าพัฒนาไปเพียงเท่านี้เองหรือ ?”
เนี่ยหรูเฟิงยิ้มบางพลางยันกายลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเวลานี้เขาพลิกกลายเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
สีหน้าของปู้เฟยเทียนบูดบึ้งจนน่าเกลียดเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดว่าคู่อริอย่างเนี่ยหรูเฟิงจะไล่ตามเขาได้ทันในเวลาเพียงแค่ครึ่งปี แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ความจริงก็ยังคงเดิม นั่นคือในตอนนี้เขาเป็นรองอีกฝ่ายแล้วโดยแท้
— ฟุบ ! —
เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อนที่ร่างของจีหย่งจะปรากฏอยู่ข้างกายจีชาง ขณะเดียวกันหลินซิวหยาเองก็ปรากฏตัวอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่
“จีหย่ง เหตุใดวันนี้ถึงต้องออมมือด้วยเล่า ?”
หลินซิวหยาถามขึ้น แม้เหงื่อจะไหลโทรมกายและใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม การได้ออกแรงเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง
ในวันนี้ เรื่องที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่หลินซิวหยารับรู้อย่างชัดแจ้ง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมั่นใจว่าต่อให้จีหย่งจะใช้พลังเต็มที่เขาก็ยังคงได้ชัยชนะครั้งนี้มาอยู่ดี และเหตุผลที่จีหย่งไม่ใช้ฝีมือให้เต็มที่มีข้อเดียวก็คือกลัวว่าหากคนอื่นเห็นตนพ่ายแพ้ก็จะต้องเสียหน้า ดังนั้นแล้วผู้ครองอันดับสามแห่งทำเนียบนภาจึงจงใจไม่ใช้พลังทั้งหมด คนผู้นี้ทำเสมือนประลองเล่น ๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนตัวออกมา
“เหอะ ไร้ประโยชน์หากข้าต้องเปลืองพลังไปกับเจ้าในตอนนี้ ถ้าอยากจะให้ข้าเอาจริงก็รอให้ถึงศึกในการต่อสู้ประเภทเดี่ยว ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ยอมออมมือให้แน่ !”
จีหย่งกล่าวอย่างเย็นชา ในความคิดของเขาถึงจะเอาจริงตอนนี้ไปก็ไม่มีความหมาย เขาจะสูญเสียพลังและเหนื่อยเปล่า อีกทั้งยังคล้ายเป็นการเผยไพ่ตายของตัวเองให้คนจำนวนมากได้เห็น
“ไปกันได้แล้ว !”
จีหย่งตะโกนคำสั่งเสียงเย็นชาพร้อมกับหันไปส่งสายตาบอกพวกพ้องทางด้านหลัง พลันร่างของเขาและลูกน้องอีกนับสิบก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหายลับไปจากสายตา
ก่อนตามผู้เป็นพี่ชายไป จีชางจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ชั่วครู่
“ฉินอวี้โม่ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ !”
อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ตวัดสายตาอันเหน็บหนาวตอบกลับไปทันควัน
แววตาเนื้อทรายนั้นดูราวกับมารร้ายจ้องมองเหยื่อ มันชวนสั่นสะท้านจนทำให้บุรุษตระกูลจีต้องรีบหันหน้าหนีก่อนจะเร่งรุดติดตามพี่ชายและเหล่าสมุนไปอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ได้คิดจะไล่ตามนักเรียนอันธพาลเหล่านั้น เพราะพวกนางไม่เห็นผลดีที่จะทำเช่นนั้นเลยสักนิด
สิ่งที่จีหย่งกล่าวนั้นถูกต้อง สู้กันไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กติกาก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้ที่ชิงผลเยือกมณีมาได้คือผู้ชนะ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายก็คงไม่มีผู้ใดได้ครอบครองสิ่งวิเศษดังกล่าว ดังนั้นนี่จึงนับว่ายังไม่ถึงเวลา
การประมือกันในตอนนี้รังแต่จะทำให้ฝ่ายตนเองบาดเจ็บเสียหายและเป็นอุปสรรคในการตามหาผลเยือกมณี แต่ถ้าหากว่าเป็นการต่อสู้ในศึกประชันยุทธ์ประเภทเดี่ยวทุกคนคงทุ่มสุดตัวอย่างไม่ลังเลเป็นแน่ ถึงเวลานั้นจะทุ่มพลังอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องสมควร
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลังจากจีหย่งและพวกพ้องจากไปได้สักครู่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มแล้วกล่าวกับเหล่าสหายรุ่นพี่ผู้เป็นสมาชิกในกลุ่มเดียวกัน พวกเขาเองก็ควรจะเดินทางกันต่อได้แล้ว
สมาชิกกลุ่มฉินอวี้โม่ทั้งหมดพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันหลังเตรียมออกเดินทาง
“ฉินอวี้โม่ ช้าก่อน”
ทันใดนั้น บุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ที่ถูกพวกของจีหย่งและจีชางรุมรังแกไปเมื่อครู่ก็ส่งเสียงเรียก พวกเขาทั้งห้ามองหน้ากันแล้วพยักหน้าทำราวกับว่าตัดสินใจบางอย่างได้
เมื่อได้ยินเสียงเรียก คุณหนูตระกูลฉินก็หันหน้าไปมองพวกเขา
“บัวหิมะพันปีนี้ข้าขอมอบให้เจ้า เจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้ และยังให้คำแนะนำที่ดีมากกับพวกเรา บัวหิมะดอกนี้สมควรเป็นของเจ้า”
บุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มส่งบัวหิมะให้ฉินอวี้โม่ แม้ว่ามันจะเป็นของล้ำค่าที่พวกเขาทั้งห้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกมา แต่เขาก็ส่งมอบมันให้นางโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
และเมื่อมองเห็นสีหน้าของอีกสี่คนที่ดูไม่ได้เต็มใจมอบบัวหิมะให้ผู้อื่นเหมือนเช่นพี่ใหญ่ของตนแต่กลับไม่ได้มีท่าทีคิดขัดขวาง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาหาบัวหิมะพันปีเองอย่างนั้นหรือ ?”
พวกนักเรียนปีหนึ่งส่ายศีรษะ แน่นอนว่าพวกเขาไม่คิดเช่นนั้น
“แล้วพวกเจ้าคิดว่าที่พวกเราช่วยพวกเจ้าไว้เพราะหวังบัวหิมะในมือของพวกเจ้าเช่นนั้นรึเปล่า ?”
ฉินอวี้โม่ถามอีกครั้ง
“แน่นอนว่าไม่ ทั้งหมดก็แค่เพราะพวกเราชื่นชมเจ้า พวกเรายินดีจะมอบมันให้เจ้า ถ้าไม่ได้เจ้าอย่าว่าแต่บัวหิมะเลย แม้แต่ตัวของพวกเราก็คงเอาชีวิตกลับไปไม่ได้ ไม่พ้นจะต้องตายอยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงสมควรเป็นของเจ้า”
ผู้นำของกลุ่มนักเรียนใหม่ส่ายศีรษะแล้วกล่าวสิ่งที่คิดอยู่ทั้งหมดออกมา
เมื่อได้ยินวาจาอันบริสุทธิ์ใจนั้นแล้ว บนใบหน้านวลของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏรอยยิ้มงดงาม
“อย่าเลย ข้าไม่ต้องการบัวหิมะพันปีนี่หรอก ยิ่งกว่านั้นเราเป็นนักเรียนใหม่เหมือนกันจะช่วยกันก็เป็นเรื่องปกติ ข้ายินดีช่วยเหลือพวกเจ้า ที่สำคัญข้าคิดว่าพวกเจ้าคงต้องการบัวหิมะดอกนี้มากกว่าข้าแน่”
สิ้นคำปฏิเสธ ฉินอวี้โม่ก็หันหลังและเตรียมจะเดินทางต่อทันที
เมื่อได้ฟังวาจาของสตรีตรงหน้า บุรุษผู้เป็นผู้นำกลุ่มก็คิดว่าอย่างไรนางคงไม่ยอมรับน้ำใจนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะล้วงเอาแผ่นป้ายประจำกลุ่มของตัวเองออกมา
“ฉินอวี้โม่ ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการบัวหิมะพันปี งั้นข้าขอมอบแผ่นป้ายนี่ให้กับเจ้า”
บุรุษหัวหน้ากลุ่มรีบไล่ตามสหายสาวร่วมชั้นปีผู้มีพระคุณไปและส่งมอบแผ่นป้ายอันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งชัยชนะในการแข่งขันให้แก่นาง
“ทำไมกัน ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกฉงนเป็นอย่างมาก จู่ ๆ คนผู้นี้ก็เอาแผ่นป้ายแสนสำคัญมาให้ เพื่ออะไรกัน ?
“ตามกฎของการแข่งขันครั้งนี้ ป้ายแผ่นจะถูกนับคะแนนในการจัดอันดับด้วยหากกลุ่มของพวกเจ้าอยู่ได้จนครบหนึ่งเดือน ได้แผ่นป้ายนี้ไปอย่างไรอันดับของพวกเจ้าก็ต้องสูงขึ้นแน่ ที่สำคัญป่าเหมันต์นี้มีแต่อันตราย พวกเรารู้ดีว่าพวกเราไม่แข็งแกร่งพอ แทนที่จะอยู่ที่นี่สู้เราออกไปก่อนแล้วใช้โอกาสกับเวลาในช่วงนี้ฝึกฝนจะดีกว่า บางทีในการแข่งขันประเภทเดี่ยวเราอาจจะทำผลงานได้ดีก็ได้”
บุรุษผู้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
ป่าเหมันต์เต็มไปด้วยอันตรายโดยแท้ อย่างที่เขากล่าว นอกจากอสูรแสนที่น่ากลัวที่แข็งแกร่งกว่าปกติแล้ว พวกเขายังต้องคอยหวาดระแวงเหล่ารุ่นพี่หน้าไม่อายที่ไม่รู้ว่าจะบังเอิญพบเจอเมื่อไหร่อีกด้วย การที่ยอมส่งแผ่นป้ายให้ฉินอวี้โม่และออกไปพร้อมบัวหิมะเสียตั้งแต่ตอนนี้คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ
“เช่นนั้นข้าก็ขอรับมันไว้”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มงดงามเป็นเสมือนแทนคำกล่าวว่าขอบคุณและชื่นชมเขาจากหัวใจ ก่อนมือบางจะรับแผ่นป้ายนั้นมาแล้วเก็บลงในแหวนมิติ
“เจ้าชื่ออะไร ?”
ในตอนนี้เองที่ฉินอวี้โม่เกิดความสนใจในตัวคนผู้นี้ขึ้น
“ชื่อของข้าคือกู่ต้าไห่ คนพวกนี้คือน้องของข้า กู่ต้าซาน, กู่เสี่ยวซาน, กู่เสี่ยวไห่และกู่ต้าหย่ง ”
กู่ต้าไห่ผู้เป็นผู้นำของกลุ่มยิ้มกว้าง เขากล่าวแนะนำสมาชิกภายในกลุ่มอย่างเป็นสุขและสดใส
เมื่อได้ยินชื่อของพวกเขาทั้งหมด ฉินอวี้โม่และสหายรุ่นพี่อีกสี่คนก็ยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้ พวกเขาทั้งห้าอดไม่ได้ที่จะคิดว่านักเรียนใหม่กลุ่มนี้น่าสนใจจริง ๆ