คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 173 คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ
การต่อสู้ในศึกประชันยุทธ์ประเภทบุคคลรอบแรกจบลงก่อนอาทิตย์จะตกดิน ในที่สุดทางโรงเรียนก็สามารถเฟ้นหานักเรียนที่จะเข้าสู่รอบสามสิบสองคนสุดท้ายได้
แน่นอนว่าในบรรดาผู้ผ่านเข้ารอบทั้งสามสิบสองคนมีฉินอวี้โม่รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้หลายคนในนั้นก็เป็นคนที่ฉินอวี้โม่รู้จัก ซึ่งบางคนก็เป็นคนที่คุณหนูสี่สนิทสนมเป็นอย่างดี
หลินซิวหยา เนี่ยหรูเฟิง หลี่จิ้ง เพ่ยหลง เจียงหลิวเยว่และหลิวฉานล้วนผ่านเข้ารอบไปได้โดยไร้อุปสรรค ลั่วอวิ๋น โอวหยางชิงเฟิง หลิงซวง หลิงเฟิงและฉีอวี้ เหล่าสหายอวี้โม่เอาชนะคู่ต่อสู้มาได้และผ่านเข้ารอบอย่างสง่าผ่าเผย
เหย่าเซียนเอ๋อร์โชคร้ายจับสลากได้คู่ประลองเป็นหลินซิวหยา
แม้ว่ารุ่นพี่ร่างใหญ่จะมิเคยทำร้ายสตรี แต่ในเมื่อเป็นการแข่งขันของโรงเรียน เขาก็ไร้ทางเลือก
เทพธิดาโอสถมิใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้เลยแม้แต่น้อย เพราะผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือ หลังจากประมือกันได้ไม่นาน โฉมงามแห่งแผ่นดินก็ขอยอมแพ้อย่างไร้หนทาง
ส่วนฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยนั้น คนหนึ่งมีความสุขขณะที่อีกคนเป็นกังวล นั่นเป็นเพราะฉินอี้เพ่ยโชคร้ายจับสลากได้เจอกับเพ่ยหลงในรอบนี้ ทว่าถึงแม้จะแพ้แต่ก็ถือว่าสู้ต่อได้อย่างสมศักดิ์ศรี อย่างไรก็ตามคุณหนูสามตระกูลฉินก็ยังรู้สึกไม่ใคร่ชอบใจและติดจะเสียดายมากอยู่ดี
ทางด้านฉินอี้เฉียงยังโชคดีอย่างต่อเนื่อง เขาถูกจับให้ไปเจอกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราในการแข่งขันของวันนี้ จริงอยู่ว่าระดับของอีกฝ่ายสูงกว่าเขาสองดารา แต่ถ้าหากวัดกันที่ด้านทักษะและประสบการณ์แล้ว คุณชายรองตระกูลฉินยังเหนือกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่งจึงเอาชนะจนผ่านเข้ามาสู้รอบสามสิบสองคนได้
ขณะที่ศัตรูคู่อาฆาตของฉินอวี้โม่อย่างปู้เฟยเทียนและจีหย่งล้วนผ่านเข้าสู่รอบสามสิบสองคนได้โดยง่าย ทว่าคนคุ้นหน้าคนหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบไปได้โดยที่ฉินอวี้โม่เองก็คาดไม่ถึงก็คือหลิวหว่านเยียน สตรีคู่แค้นที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับนางก่อนหน้านี้
ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของหลิวหว่านเยียนอยู่ที่ขอบเขตมายาบรรพชนสองดารา ดูเหมือนว่านางจะทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักหน่วงไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมา
หลังจากที่ได้ผู้เข้ารอบสามสิบสองคนสุดท้ายจนครบทุกคนแล้ว อาจารย์ลิ้วหยวยก็ประกาศจบการแข่งขันของวันนี้ ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายรีบกลับไปยังหอพักเพื่อพักผ่อนในทันที
วันรุ่งขึ้น ทั้งนักเรียนผู้เข้าแข่งขันและนักเรียนที่มาชมการแข่งขันต่างก็เดินทางมายังจัตุรัสกลางซึ่งเป็นสถานที่นัดพบตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนกำลังรอคอยการแข่งขันที่จะจัดขึ้นในวันนี้
หลังจากรอบสามสิบสองคนจะมีการแข่งขันกันวันละหนึ่งรอบการแข่งขัน ผู้ผ่านเข้ารอบทุกคนจะต้องต่อสู้วันละหนึ่งรอบ ผู้ที่ทำสถิติชนะรวดได้ห้าวันติดต่อกันก็จะได้เป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขัน
ถึงแม้วันนี้จะเป็นการแข่งขันรอบสามสิบสองคนสุดท้าย ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดเห็นบุรุษผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียนอย่างท่านอธิการมู่อวิ๋นปรากฏตัว เช่นเคยว่าผู้รับหน้าที่ควบคุมและดำเนินการแข่งขันทั้งหมดก็ยังคงเป็นอาจารย์ลิ้วหยวย
“ฮ่า ๆ ๆ กฎของวันนี้ก็ยังเหมือนกับเมื่อวาน ทุกคนโปรดขึ้นมาบนเวทีแล้วจับสลากเพื่อหาผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของตนเอง”
ลิ้วหยวยหัวเราะก่อนจะบอกให้นักเรียนที่ผ่านเข้ารอบขึ้นมาจับสลาก
ในบรรดานักเรียนที่ผ่านเข้ารอบทั้งสามสิบสองคน มีคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักมักคุ้นอยู่เกือบครึ่งหนึ่ง ฉะนั้นการจับสลากพบเจอกันเองและต้องประลองกับสหายหรือรุ่นพี่ที่ตนเองสนิทสนมจึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย หลังจากการจับสลากเสร็จสิ้น บางคนจึงมีใบหน้าปั้นยากอย่างเห็นได้ชัด
คู่ต่อสู้ของฉินอวี้โม่ในรอบนี้นั้นมิใช่ใครอื่น แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างฉินอี้เฉียง
โอวหยางชิงเฟิงเองก็ต้องโคจรมาพบกับสหายองค์ชาย–ฉีอวี้
ส่วนผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของลั่วอวิ๋นก็คือคนใกล้ตัวอย่างหลิงเฟิง
ทว่าบุคคลน่าสงสารที่โชคร้ายกว่าใครอื่นทั้งหมดก็คือหลิงซวงเพราะในวันนี้นางต้องสู้กับจีหย่ง เมื่อรู้เรื่องดังกล่าว หลานสาวท่านอ๋องก็นิ่งเงียบไป ใบหน้างดงามเคร่งเครียดและหม่นหมองลงถนัดตา
หลินซิวหยาและคนอื่น ๆ ที่เหลือจับสลากได้เจอกับคนที่ฉินอวี้โม่ไม่ค่อยคุ้นเคย และดูเหมือนสวรรค์จะเป็นใจเพราะคู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก
อย่างไรก็ตาม หากจะวัดกันด้วยวาสนา หลิวหว่านเยียนถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด นางได้เจอกับรุ่นพี่ผู้หนึ่งที่ไม่แข็งแกร่งแม้แต่น้อย บุรุษผู้นี้โชคดีที่เจอกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนด้อยกว่าในรอบก่อนหน้านี้จึงทำให้เขาผ่านเข้ารอบสามสิบสองคนสุดท้ายมาได้ แต่กระนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าหืดขึ้นคอ
แต่การแข่งขันที่น่าจับตามองที่สุดในรอบสามสิบสองคนสุดท้ายนี้ก็คือการต่อสู้ระหว่างเนี่ยหรูเฟิงและปู้เฟยเทียน ผู้ครองอันดับที่เจ็ดและหกแห่งทำเนียบนภา
ไม่ใช่แต่เพียงอันดับในทำเนียบที่อยู่ติดกัน แต่บุรุษทั้งสองยังมีความสามารถที่ใกล้เคียงกันมาก ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยประลองยุทธ์กันมาแล้วหลายครั้ง และที่ผ่านมาเนี่ยหรูเฟิงก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้มาโดยตลอด จนกระทั่งในครั้งล่าสุดที่ป่าเหมันต์บุรุษผู้ครองอันดับที่เจ็ดในทำเนียบนภากลับพลิกกลับมาเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าอันดับหกอย่างปู้เฟยเทียน ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้จึงยังมิอาจคาดเดาผู้ที่จะคว้าชัยชนะได้
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอกับเจ้าเร็วขนาดนี้”
ปู้เฟยเทียนยิ้มเย้ยเนี่ยหรูเฟิงพลางเอ่ยปาก
“ข้าก็ไม่คิดเลยว่า ‘เจ้า’ จะต้องมาหยุดอยู่แค่รอบสามสิบสองคนสุดท้ายนี่”
เนี่ยหรูเฟิงแสยะยิ้มก่อนจะสวนกลับไปด้วยวาจาที่เย้ยหยันยิ่งกว่า
“เหอะ ! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
ปู้เฟยเทียนแค่นเสียงเย็นชา พลันหันหลังเดินกลับ ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ความทรงจำของการต่อสู้ในป่าเหมันต์ยังคงสดใหม่อยู่ในหัว
เนี่ยหรูเฟิงยิ้มอ่อนมองแผ่นหลังของคู่อริ ‘วันนี้แหละ จะเป็นวันที่เขาได้โอกาสสั่งสอนคนจองหองโฉดชั่วอย่างปู้เฟยเทียน’
การประลองยุทธ์ในรอบนี้เปิดสนามด้วยคู่ของโอวหยางชิงเฟิงกับฉีอวี้
พวกเขาทั้งสองไม่มีผู้ใดคิดจะยอมแพ้โดยง่าย สองบุรุษหนุ่มต่างใช้ฝีมือทั้งหมดผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี
โอวหยางชิงเฟิงกับฉีอวี้นั้นมีฝีมือที่ใกล้เคียงกันมากจนทำให้การต่อสู้ของคนคู่นี้ดุเดือดเร้าใจและชวนลุ้นระทึกยิ่งกว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้ และสุดท้ายผู้ที่เอาชนะได้อย่างเฉียดฉิวก็คือโอวหยางชิงเฟิง คุณชายตระกูลโอวหยางไม่เพียงมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าแต่เขายังมีอสูรมายาที่แข็งแกร่งกว่าจึงทำให้กำชัยชนะได้ในที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่าข้าคงต้องกลับไปฝึกให้หนักกว่านี้เสียแล้ว”
ฉีอวี้แม้จะแพ้แต่ก็ไม่เสียกำลังใจ เขาเดินเข้าไปหาโอวหยางชิงเฟิงเพื่อจับมือแสดงไมตรี
“ขอบคุณที่ชี้แนะ”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแล้วเอ่ยคำขอบคุณจากใจ เขาบีบมือสหายองค์ชายตอบกลับไป ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินลงไปจากลานประลอง
การประลองของคนคู่นี้พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การต่อสู้ของจอมยุทธ์ในโลกมายาแห่งนี้สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะเฉพาะตัวก็คืออสูรมายา ฝ่ายใดครอบครองและเลือกใช้อสูรมายาที่ทรงพลังกว่าก็ย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
คู่ถัดไปเป็นคู่ของหลิวหว่านเยียน
การต่อสู้ในคู่ที่สองไม่ได้ดุเดือดหรือน่าตื่นตาตื่นใจมากนัก มันออกจะน่าเบื่อจนขัดใจหลายต่อหลายคนเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่เริ่มการประลองคู่ต่อสู้ของหลิวหว่านเยียนก็ถูกความงามของนางทำให้เสียสมาธิ นั่นเป็นผลให้ในจังหวะที่ปลดปล่อยนภายุทธ์เขาทำผิดพลาด ท้ายที่สุดก็ตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบจนไม่อาจแก้ไขและต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ
หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว หลิวหว่านเยียนก็หันมาจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาท้าทายก่อนจะเดินลงไปจากลานประลองด้วยใบหน้าเชิดสูง ความภาคภูมิใจจนดูคล้ายโอ้อวดแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของนางชัดเจน
“เหอะ แค่โชคดีผ่านเข้ารอบหน่อยกลับเชิดหน้าชูคอซะขนาดนั้น เป็นสตรีที่น่ารังเกียจจริง ๆ”
เยว่ชิงเฉิงเบ้ปากแล้วกล่าววาจาด่าทอสตรีผู้ทะนงในความงดงามของตนจนน่าชัง
“นางอุตส่าห์โชคดีชนะมาได้แล้ว ปล่อยให้นางได้ภาคภูมิใจสักหน่อยคงไม่เป็นไร เจ้าก็อย่าไปสนใจเลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูไม่เคยเห็นหลิวหว่านเยียนผู้นี้อยู่ในสายตา
อย่างไรก็ตามหากได้มีโอกาสเจอกับหลิวหว่านเยียน ฉินอวี้โม่ก็คิดแล้วว่าตนจะลงมือสั่งสอนโฉมงามผู้หยิ่งผยองให้หลาบจำโดยไม่ลังเล บางทีสตรีผู้นั้นอาจจะต้องมีคนช่วยเตือนสติเสียบ้าง
การประชันยุทธ์ผ่านพ้นไปอีกหลายคู่ต่อหลายคู่ ในที่สุดก็มาถึงการต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และฉินอี้เฉียง
ในช่วงเวลาอันน้อยนิดก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น คุณชายรองตระกูลฉินก็ประกาศขอยอมแพ้ต่อหน้าคณะกรรมการและผู้เข้าชมในลานประลองโดยไม่แม้แต่จะก้าวเข้าไปในสังเวียน ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่หรือด้อยกว่าก็ตาม แต่ในฐานะพี่ชายเขาก็ไม่สามารถลงมือกับนางได้ ยิ่งกว่านั้นเขารู้ตัวดีว่ายังเทียบกับน้องสาวผู้นี้ไม่ได้ จึงรีบประกาศขอพ่ายแพ้เพื่อให้ฉินอวี้โม่ไม่ต้องเปลืองแรงและจะได้เตรียมตัวต่อสู้ในรอบต่อไปด้วยสภาพที่พร้อมที่สุด
ฉินอวี้โม่เพียงแค่ยิ้มอ่อน ๆ และโค้งตัวต่ำเป็นการขอบคุณฉินอี้เฉียงอย่างเงียบเชียบ คุณหนูสี่ไม่คิดจะปฏิเสธความหวังดีของผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
หลิงซวงเองก็คร้านที่จะขึ้นไปต่อสู้กับจีหย่งเช่นกัน แม้ว่านางจะเป็นสตรีที่ชื่นชอบการต่อสู้มากก็ตาม แต่นางก็รู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผู้เป็นระดับหัวกะทิของโรงเรียนเช่นจีหย่ง หากนางขึ้นไปสู้กับเขาก็เท่ากับเป็นการทำให้ตัวเองขายหน้า แน่นอนว่านางจะไม่ทำเช่นนั้น อีกอย่างนางก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มสหายอวี้โม่ ไม่ต้องเดาก็ทราบว่าจีหย่งคงจะไม่ยั้งมือกับนางอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลิงซวงจึงขอยอมแพ้โดยไม่ก้าวขึ้นไปบนลานประลอง
จีหย่งใช้หางตามองหลิงซวงด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะหันไปจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น
ฉินอวี้โม่ไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่าย นางจ้องตอบพร้อมกับยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา บุรุษนามจีหย่งผู้นี้ โฉมงามอดีตมือสังหารไม่เห็นค่าว่าจะคู่ควรอยู่ในสายตาของนางด้วยซ้ำ ทว่าที่อีกฝ่ายกล้าเย้ยหยันสหายของนางเมื่อครู่ต้องได้รับบทเรียน !
วีรกรรมที่ผ่าน ๆ มาของคนต่ำช้าผู้นี้ก็มีไม่น้อย ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือคิดจะฆ่านางและสหายร่วมโรงเรียนคนอื่น ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่มีโอกาสได้เจอกับจีหย่งวันใด นางสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะสะสางความแค้นทั้งหมดให้มันจบลงในวันนั้น
การต่อสู้ของเจียงหลิวเยว่ หลี่จิ้ง หลินซิวหยา เพ่ยหลงและคนอื่น ๆ ทยอยจบลงไปทีละคู่ และด้วยความแข็งแกร่งที่มี ทุกคนก็สามารถผ่านเข้าไปสู้ในรอบสิบหกคนสุดท้ายได้อย่างไม่มีปัญหา
บัดนี้การต่อสู้ที่น่าจับตามองที่สุดในรอบสามสิบสองคนสุดท้ายก็มาถึง ซึ่งนั่นก็คือศึกระหว่างเนี่ยหรูเฟิงยอดฝีมืออันดับเจ็ดแห่งทำเนียบนภากับปู้เฟยเทียนยอดฝีมืออันดับที่หก
ทันทีที่คนทั้งคู่ขึ้นไปยืนบนลานประลอง ต่างฝ่ายต่างก็จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาดุดัน เวลานี้บรรยากาศรอบบริเวณสนามประลองเริ่มร้อนระอุและคุกรุ่นขึ้นมาแล้ว
ศึกนี้จะต้องเป็นศึกที่ดุเดือดอย่างแน่นอน พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดารา ทั้งคู่ล้วนมีประสบการณ์ที่โชกโชน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ยังมีอสูรมายาที่มีระดับใกล้เคียงกันมาก แน่นอนว่าคงสูสีจนชนิดที่เรียกว่า ‘กินกันไม่ลง’ และคงต้องใช้เวลาในการต่อสู้นานกว่าจะรู้ผล
ปู้เฟยเทียนถือทวนใหญ่เป็นอาวุธ การเคลื่อนไหวของเขาดุดันและทรงพลังน่าเกรงขาม
ขณะที่เนี่ยหรูเฟิงใช้พัดขนาดเหมาะมือเป็นอาวุธ แม้ว่าจะดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่พัดในมือเขานั้นก็จัดเป็นอาวุธระดับสูง เพราะแม้แต่ทวนทรงพลังของปู้เฟยเทียน มันก็ยังปัดป้องได้อย่างไม่เป็นรอง
ด้วยการที่เนี่ยหรูเฟิงสวมใส่ชุดสีขาวบวกรวมกับพัดที่ใช้ อีกทั้งยังออกท่วงท่าที่พลิ้วไหวน่ามองทำให้การเคลื่อนไหวของเขาดูงดงามเพลินตาราวกับได้ดูชมการเริงระบำอันสง่างาม และถึงแม้ว่าด้านพละกำลังแล้วบุรุษผู้ครองอันดับเจ็ดของทำเนียบนภาจะด้อยกว่าปู้เฟยเทียนส่วนหนึ่ง แต่ในด้านความว่องไวนั้นเขาเหนือกว่าอย่างเด่นชัด เนี่ยหรูเฟิงใช้พัดปัดป้องทวนของคู่ต่อสู้ได้ทุกครั้งและอาศัยความเร็วอันเหนือชั้นเคลื่อนตัวไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบและโจมตีสวนกลับอย่างฉับพลัน และนั่นส่งผลให้ปู้เฟยเทียนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองอยู่หลายครา
“นภายุทธ์: ทวนมายา !”
ในที่สุดปู้เฟยเทียนก็เป็นฝ่ายใช้นภายุทธ์ออกมาก่อน ทวนใหญ่ในมือของเขาแปรเปลี่ยนไป มันถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีดำสนิททั้งยังอัดแน่นไปด้วยพลังที่รุนแรงจนสัมผัสได้ พลันปู้เฟยเทียนก็เสือกแทงทวนพุ่งตรงเข้าหาเนี่ยหรูเฟิงไม่รอช้า
“นภายุทธ์: พัดอัสนี !”
เนี่ยหรูเฟิงรวดเร็วเหนือสายลม แม้จะปลดปล่อยนภายุทธ์ในจังหวะที่ช้ากว่าแต่ก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป
ตอนนั้นเองพัดในมือของเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นลำแสงสายฟ้า พลันพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงปะทะกับทวนดำสนิทของปู้เฟยเทียน
— ฟุบ ! —
พัดที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าปะทะกับหวนสีดำทำให้เกิดเสียงดังฟุบ
— ตูม ! —
ในอึดใจต่อมาเสียงระเบิดดังสนั่นก็เกิดขึ้น ก่อนที่ร่างของทั้งเนี่ยหรูเฟิงและปู้เฟยเทียนจะกระเด็นถอยหลังออกไป เมื่อพลังสะท้อนจากนภายุทธ์ของพวกเขาเลือนหาย อาวุธของทั้งสองก็กลับสู่มือของเจ้าของทันที
“หึ ๆ ปู้เฟยเทียนเจ้าแพ้แล้ว”
เนี่ยหรูเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ
“เหลวไหล เจ้ากล่าวหาว่าใครแพ้ !”
ปู้เฟยเทียนขมวดคิ้วพลางโต้กลับ เมื่อครู่ความรู้สึกชั่ววูบหนึ่งบอกกับเขาว่านภายุทธ์ของเขามีพลังด้อยกว่าอีกฝ่าย ทว่านั่นเพียงเสี้ยวความรู้สึกและมันก็ไม่ได้ทำให้รู้ผลแพ้ชนะ
“จับดูที่คอเจ้าสิ สัมผัสบาดแผลของเจ้า”
เนี่ยหรูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ในตอนนี้บนคอของปู้เฟยเทียนมีบาดแผลขนาดประมาณหนึ่งข้อนิ้วปรากฏให้เห็น
ปู้เฟยเทียนยื่นมือไปสัมผัสมัน และเขาก็พบว่าบาดแผลเล็ก ๆ ที่คอนั้นมีเลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมา
“ตอนนี้รู้แล้วสินะว่าใครชนะ”
เนี่ยหรูเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เมื่อครู่นี้ หลังจากที่พัดของเขาปะทะกับทวนของอีกฝ่ายมันได้ทะยานเข้าไปเฉียดผ่านคอของปู้เฟยเทียนก่อนจะกลับมาสู่มือของเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้า หากว่าไม่ใช่เพราะเขาสามารถควบคุมพัดได้อย่างดี ป่านนี้ปู้เฟยเทียนอาจจะได้รับบาดสาหัสจนถึงตายไปแล้ว
สีหน้าของปู้เฟยเทียนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ทว่าเขาก็ยังยอมรับว่าเนี่ยหรูเฟิงเป็นฝ่ายชนะ เขาเดินลงไปจากลานประลองโดยไม่รั้งรอให้กรรมการขานชื่อผู้ชนะ บัดนี้บาดแผลสดใหม่ที่คอเริ่มจะปวดแสบมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“เป็นการประลองที่สุดยอดจริง ๆ!”
หลังจากการศึกอันดุเดือดนี้สิ้นสุดลง เสียงปรบมือและเสียงชื่นชมก็ดังระงมไปทั่วพื้นที่รอบลานประลอง
ต้องยอมรับว่าการต่อสู้ของเนี่ยหรูเฟิงและปู้เฟยเทียนเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ต้องนับว่าเนี่ยหรูเฟิงอาศัยความเร็วและทักษะยุทธ์อันงดงามเอาชนะมาได้อย่างหมดจด นี่ทำให้หลายคนประหลาดใจมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมียอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ควบคุมพลังธาตุสายฟ้าและควบคุมอาวุธได้แม่นยำขนาดนั้นอยู่ ในอนาคตบุรุษผู้นี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ธาตุสายฟ้าที่โด่งดังอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าปู้เฟยเทียนจะยอมรับผลการแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้ เขาเดินออกไปจากสนามประลองใหญ่ทันที หลังจากจบการต่อสู้ก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นเขาอีก มันคงยากที่เขาจะทำใจยอมรับได้ว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้แก่เนี่ยหรูเฟิงเป็นครั้งที่สองติดต่อกันแล้ว
“ยินดีกับรุ่นพี่ด้วย !”
ฉินอวี้โม่พร้อมด้วยเหล่าสหายเข้ามาแสดงความยินดีกับเนี่ยหรูเฟิง ฉินอวี้โม่เองก็ยังยอมรับว่าชัยชนะของเนี่ยหรูเฟิงในวันนี้ช่างหมดจดและงดงามอย่างแท้จริง
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณทุกคน”
เนี่ยหรูเฟิงอยู่ในอารมณ์ที่เบิกบานเหลือล้น เขาแทบจะหุบยิ้มไม่ลงเลยหลังจากเอาชนะปู้เฟยเทียนได้
เมื่อการแข่งขันของสองคู่ถัดไปจบลง การแข่งขันของศึกประชันยุทธ์รอบสามสิบสองคนในวันนี้ก็เป็นอันสิ้นสุด
ผู้ที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าส่วนใหญ่ล้วนผ่านเข้าสู่รอบสิบหกคนสุดท้ายได้ ดังนั้นแล้วในรอบสิบหกคนสุดท้ายจะมีผู้ที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าอยู่เกินครึ่ง ซึ่งคนรู้จักของฉินอวี้โม่ที่ผ่านเข้ารอบมานั้นก็ล้วนแต่เป็นนักเรียนอันดับต้น ๆ ของทำเนียบนภาหากไม่นับรวมหลิวหว่านเยียน
“เราจะทำการจับสลากประกบคู่รอบสิบหกคนสุดท้ายกันให้เสร็จในวันนี้ ขอให้ผู้ที่เข้ารอบมาจับสลากก่อนจะกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับศึกในวันพรุ่งนี้”
อาจารย์ลิ้วหยวยยิ้มก่อนจะแจ้งข่าวที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ โดยปกติแล้วไม่ใช่แต่ในรอบที่ผ่าน ๆ มา แต่ในศึกประชันยุทธ์ของปีที่แล้ว ๆ มาเพื่อไม่ให้ต้องเป็นกังวลกับคู่ต่อสู้มากนัก ทางโรงเรียนก็จะจัดให้จับสลากก่อนเริ่มการแข่งขันเสมอ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะประหลาดใจอยู่บ้างที่ต้องจับสลากก่อนล่วงหน้าถึงหนึ่งคืน แต่ทุกคนที่เข้ารอบก็ล้วนเดินเรียงแถวเข้าไปจับสลากเพื่อหาคู่ต่อสู้
ซึ่งผลลัพธ์ของการจับสลากก็เป็นเช่นเดียวกับครั้งก่อนหน้า นั่นคือมันทำให้ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหลายทั้งมีความสุขและเป็นกังวลต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในวันพรุ่งนี้ถือเป็นรอบที่ฉินอวี้โม่ตั้งตารอมากที่สุด เพราะคู่ต่อสู้ของนางคือคนที่นางต้องการประมือด้วยยิ่งกว่าผู้ใด
และคนผู้นั้นก็เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากจีหย่งศัตรูคู่อาฆาตที่นางรอคอยเวลาแห่งการสะสางบัญชีแค้น
ทันทีที่ทราบว่าจะได้ต่อสู้กับจีหย่งในวันรุ่งขึ้น มุมปากของฉินอวี้โม่ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม…ใบหน้างามยังคงงามล้ำแต่รอยยิ้มกลับดูอำมหิตจนน่าหวาดหวั่น
.