คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 180 การต่อสู้รอบชิงชนะเลิศ
ขณะที่ดวงอาทิตย์ฉายแสงเจิดจ้าบนท้องนภา พื้นที่เบื้องล่างก็ดังก้องไปด้วยเสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว บริเวณโดยรอบลานประลองใหญ่แห่งโรงเรียนราชสำนักที่ซึ่งเป็นพื้นที่จัดงานของศึกประชันยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก
วันนี้คือวันที่การประลองในรอบชิงชนะเลิศถูกจัดขึ้น เป็นวันที่จะได้ทราบกันว่าผู้ใดคือนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียน
หลายคนคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าผู้ชนะจะต้องเป็นหลินซิวหยา บ้างก็เชื่อมั่นว่านักเรียนดาวรุ่งพุ่งแรงจากตระกูลฉินจะต้องเป็นฝ่ายคว้าชัย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนก็ยังรู้สึกกระตือรือร้นและตื่นเต้นอยากจะชมการประลองจนอดใจรอไม่ไหว
ไม่ใช่เพียงศิษย์ใหญ่น้อยทุกชั้นปี แต่คณาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าการประลองระหว่างฉินอวี้โม่กับหลินซิวหยาจะยอดเยี่ยมน่าจดจำมากเพียงใด
บนพื้นที่ยกสูงของลานประลอง ฉินอวี้โม่และหลินซิวหยา สองคู่ประชันในวันนี้กำลังยืนประจันหน้า ทว่าใบหน้าและแววตาของทั้งสองฝ่ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีไมตรี เสมือนเป็นสิ่งบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นการประลองในวันนี้นับเป็นศึกแห่งมิตรภาพ
“รุ่นน้องอวี้โม่ ข้าอยากจะประลองพลังกับเจ้ามานานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็จะได้มีโอกาสเสียที ฮ่า ๆ ๆ”
หลินซิวหยาหัวเราะร่า การแข่งขันในวันนี้เขาไม่ได้หวังผลแพ้ชนะ เพียงแต่อยากจะประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่รุ่นน้องสาวดาวรุ่งผู้ที่ใคร ๆ ก็กล่าวขานว่ามีความสามารถเยี่ยงสัตว์ประหลาดเท่านั้น
เขาสงสัยในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่มาโดยตลอด ในการแข่งขันที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเห็นการต่อสู้ตัวต่อตัวของสตรีอย่างชัดเจนเลยสักครั้ง
หากเป็นในด้านพลังของผู้ฝึกสัตว์อสูรแล้ว ฉินอวี้โม่อาจจะนับเป็นหนึ่งในใต้หล้า การต่อสู้ในป่าเหมันต์ที่ผ่านมาโดยส่วนมากนางก็มักจะมีอสูรมายาคอยเคียงข้าง ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่นางเอาชนะจีหย่งผู้ครองอันดับสามแห่งทำเนียบนภามาได้ก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งของอสูรมายา ดังนั้นสำหรับหลินซิวหยา ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของรุ่นน้องตระกูลฉินจึงยังคงเป็นปริศนาที่เขาต้องไขให้กระจ่าง
ด้วยเหตุนี้ทำให้บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้อยากจะลองพิสูจน์ดูว่า ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่พึ่งพาพลังของอสูรมายา และอาศัยเพียงพลังของตัวเองในการต่อสู้แล้ว จะเป็นเขาหรือฉินอวี้โม่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน
หลินซิวหยาเป็นคนที่มั่นใจในความแข็งแกร่งและทักษะการต่อสู้ของตัวเองมาก เขามีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างนับไม่ถ้วน เขาคิดว่าหากประมือกันด้วยทักษะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว ไม่มีทางที่เขาจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉินอวี้โม่ได้
“รุ่นพี่หลินซิวหยา การต่อสู้ในวันนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร ข้าก็จะไม่เรียกอสูรออกมาตามที่สัญญาเอาไว้ ที่สำคัญเพื่อให้การต่อสู้ในวันนี้เป็นการต่อสู้ที่น่าจดจำข้าสัญญาจะไม่ใช้นภายุทธ์ตลอดการแข่งขัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างพลางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
นางเองก็อยากจะทราบเช่นกันว่า หากไม่พึ่งพานภายุทธ์และอสูรมายาแล้ว ตนเองจะสามารถเอาชนะสุดยอดจอมยุทธ์อย่างบุรุษตรงหน้าได้หรือไม่
“ดีมาก วันนี้ขอให้สู้จนสุดฝีมือ ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะก็ไม่มีอะไรค้างคา !”
หลินซิวหยายิ้มให้สตรีรุ่นน้องก่อนจะหันไปกล่าวกับลิ้วหยวยและมู่อวิ๋นอย่างหนักแน่นอน
“อาจารย์ลิ้วหยวย ท่านอธิการมู่อวิ๋น การแข่งในวันนี้ขอให้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าผลการต่อสู้หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่ผู้ที่ชนะเลิศในศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนราชสำนักในปีนี้ก็คือฉินอวี้โม่”
มู่อวิ๋นและลิ้วหยวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเขาต่างก็เข้าใจความหมายของหลินซิวหยาดี
หลินซิวหยาและฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตัวเขาเพียงแต่ต้องการจะเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงสตรีรุ่นน้องจึงต้องท้าทายนางโดยขอให้นางรับเงื่อนไขว่าจะประลองกันแบบไม่เรียกใช้อสูรมายา เรื่องนี้ถือเป็นความเอาแต่ใจของเขาเองฝ่ายเดียว เพราะหากนางใช้อสูรมายาแน่นอนว่าฝ่ายเขาจะหมดโอกาสชนะทันที ในฐานะสุภาพบุรุษเขาจึงประกาศขอยอมแพ้เพื่อแลกกับการที่จะได้ประลองยุทธ์ในแบบที่ต้องการสมดั่งที่ตั้งใจ
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลินซิวหยา ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่นัก รุ่นพี่ผู้นี้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะทำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ขอให้ประลองกันโดยไม่ใช้อสูรมายา
อย่างไรก็ตามเดิมทีนางคิดจะเอ่ยปากคัดค้าน แต่เมื่อได้สบนัยน์ตาที่เปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของฝ่ายตรงข้าม อดีตนักฆ่าสาวก็ล้มเลิกความตั้งใจ
หากนางดึงดันคัดค้านคนตรงหน้าจะต้องรู้สึกอึดใจเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นนางยังเกรงว่าเขาอาจจะไม่กล้าต่อสู้อย่างสุดความสามารถอีกด้วย
“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ โปรดชี้แนะด้วย !”
หลินซิวหยาจับจ้องไปยังฉินอวี้โม่ด้วยสายตาแน่วแน่ เขาโค้งตัวเล็กน้อยพลางเอ่ยปาก ทันทีที่สิ้นวาจามือใหญ่ก็ชักอาวุธของตัวเองออกมา
ในครั้งนี้หลินซิวหยาไม่ได้ใช้อาวุธคู่กายอย่างขวานยักษ์ที่เคยจับถืออยู่เป็นประจำ ทว่าจอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญอาวุธกลับเลือกใช้ดาบขนาดใหญ่เพื่อให้ตัวเองสามารถรับมือกับความเร็วเหนือมนุษย์ของฉินอวี้โม่ได้
“รุ่นพี่หลินซิวหยา โปรดชี้แนะ !”
ฉินอวี้โม่เองก็โค้งตัวลงด้วยมารยาทอันเท่าเทียม ในชั่วพริบตาอาวุธสำหรับศึกนี้ก็ปรากฏบนมือบาง ในครานี้นางยังคงเลือกใช้กระบี่ปีกจักจั่นเช่นเดิม
ทั้งสองฝ่ายยืนมองหน้ากัน ในพริบตานั้นร่างของคนทั้งคู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว ความเร็วของทั้งสองฝ่ายนับว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝ่ายใด ทุกสายตาเห็นเพียงเงาเลือนรางตรงเข้าปะทะกัน ณ ใจกลางของลานประลอง
ร่างของฉินอวี้โม่คล่องแคล่วว่องไว กระบวนท่าจู่โจมของนางไม่ได้งดงามแพรวพราว ทว่ากลับจู่โจมเข้าสู่จุดตายอย่างแม่นยำทำให้คู่ต่อสู้รับมือได้ยากลำบาก
กระบวนท่าจู่โจมของหลินซิวหยาเองก็เต็มไปด้วยความหนักหน่วงที่รุกไล่ศัตรูอย่างเหนือชั้น ดาบของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับเต้นระบำกลางอากาศ ทุกการโจมตีเต็มไปด้วยพลังที่อัดแน่นรุนแรง
— เคร๊ง ! —
ดาบและกระบี่ปะทะกันจนเกิดเสียงดังก้อง
เสี้ยวลมหายใจต่อมาร่างกายของพวกเขาก็แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
มือข้างที่จับกระบี่ของฉินอวี้โม่ชาขึ้นมาทันทีและยังสั่นอยู่เล็กน้อย ต้องยอมรับเลยว่าหลินซิวหยามีพละกำลังมหาศาลโดยแท้ การปะทะกันเมื่อครู่อาจดูเหมือนกับไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายได้เปรียบก็จริง แต่แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่ถูกข่มด้วยพลังอันมหาศาลของหลินซิวหยาจนตกเป็นรองอยู่เล็กน้อย
“เป็นพละกำลังที่มหาศาลยิ่งนัก !”
ฉินอวี้โม่กล่าวชื่นชมหลินซิวหยาอย่างอดไม่ได้
บุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ยิ้มรับโดยไม่กล่าวสิ่งใด
การฝึกฝนของหลินซิวหยาปกติแล้วจะเน้นฝึกพละกำลังทางร่างกายเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่การฝึกพลังมายามีความสำคัญในลำดับถัดมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไปมาก การจะปะทะกับเขาด้วยแรงกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียวนั้นถือเป็นการกระทำที่ผิดพลาดมหันต์
“รุ่นพี่หลินซิวหยาเตรียมรับมือ”
ฉินอวี้โม่ร้องเตือนด้วยรอยยิ้ม แน่ชัดแล้วว่านางไม่สามารถเอาชนะหลินซิวหยาด้วยกำลังหรือการปะทะตรง ๆ ได้ เพราะนั่นเท่ากับหาที่ตาย
ดังนั้นแล้ว สาวนักฆ่าร่างคุณหนูจึงตัดสินใจใช้ความเร็วเพื่อสร้างความได้เปรียบ
ร่างบางของคุณหนูตระกูลฉินหายวับไปก่อนจะปรากฏขึ้น ณ ที่ว่างทางด้านซ้ายของคู่ต่อสู้
กระบี่ปีกจักจั่นแทงตรงเข้าสู่สีข้างของหลินซิวหยาไม่รอช้า กระบวนท่านี้นับว่าทำได้อย่างเฉียบขาดและไร้ปรานี
“รุ่นน้องฉินอวี้โม่รวดเร็วเหนือคำบรรยาย”
ในตอนที่กระบี่ของฉินอวี้โม่เกือบจะถึงเอวของเขา หลินซิวหยาก็ระเบิดพลังมายาภายในร่างกายเพื่อเร่งความเร็วขึ้นในฉับพลัน บุรุษร่างใหญ่ใช้ดาบป้องกันกระบี่ของฉินอวี้โม่ได้อย่างฉิวเฉียด
หากวัดกันในด้านของพลังมายา หลินซิวหยามีมากกว่าและแข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่เล็กน้อย เพราะขณะนี้เขาอยู่ในระดับที่สูงกว่าฉินอวี้โม่ถึงสองขั้นดารา
ฉินอวี้โม่อยู่เพียงขอบเขตมายาบรรพชนเจ็ดดารา ขนาดที่ตัวเขาใกล้จะแตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว
ทว่าความเร็วของจอมยุทธ์มายาบรรพชนเจ็ดดารากลับไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย อีกทั้งยังดูคล้ายเหนือกว่าเขาถึงขั้นหนึ่งเลยด้วย แม้ว่าจะทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ประจักษ์กับสายตาตรง ๆ ก็ทำให้หลินซิวหยาอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะเขามีพลังมายามหาศาลกอปรกับประสบการณ์อันโชกโชน เขาก็คงพลาดท่าให้กับการโจมตีที่รวดเร็วของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ไปแล้ว
ทว่าเมื่อประมือกันได้ระยะหนึ่ง หลิวซิวหยาก็พบอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงยิ่งกว่าเรื่องความเร็วก่อนหน้านี้ ยิ่งสู้เขาก็ยิ่งเห็นชัด จนบุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ต้องหันกลับมาถามตัวเองว่าตัวเขาเองมีประสบการณ์ในเชิงยุทธ์ที่มากพอแล้วจริงหรือ ?
นั่นก็เพราะเขาพบว่าฉินอวี้โม่คล้ายจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย
เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวที่ความรวดเร็วในการจู่โจม แต่เกี่ยวกับความเร็วในการตัดสินใจอย่างเฉียบพลันและการเลือกใช้กระบวนท่าสำหรับโจมตีอย่างชาญฉลาด หากเขาพลาดเพียงชั่วพริบตานั่นหมายถึงการปราชัย ในเรื่องนี้บ่งบอกชัดเจนว่าคู่ประลองของเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้หลิวซิวหยาคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ต้องทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่อายุน้อยกว่าเขาถึงห้าหกปี การที่สาวน้อยอายุสิบเจ็ดจะมีเชี่ยวชาญในการต่อสู้มากพอ ๆ กับบุรุษบ้าคลั่งอย่างเขาได้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
น่าเสียดายที่คำตอบสำหรับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลินซิวหยาอาจจะไม่มีวันได้รับรู้ นั่นคือในร่างของคุณหนูสี่ตระกูลฉินนั้นประกอบด้วยดวงวิญญาณจากสองภพ ที่ซึ่งหากบวกรวมกันแล้วนางก็อยู่ดูโลกมานานกว่าสี่สิบปีมี แน่นอนว่าประสบการณ์ในชีวิตก็คงจะมากกว่าคนปกติ ที่สำคัญด้วยอาชีพและนิสัยในโลกก่อนก็ไม่ต้องสงสัยความสามารถในตอนนี้เลย
ประสบการณ์ของการเป็นนักฆ่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 นั้น ต้องกล่าวเลยว่าทั้งโชกเลือดและโชกโชน ศิลปะการต่อสู้ของโลกที่นางจากมานับว่าไม่ต่างกันกับโลกมายาแห่งนี้ จะผิดกันก็แต่ที่ ในโลกนั้นไม่ได้มีพลังมายาเหมือนกับที่นี่ และโลกนี้ก็ไม่ได้มียุทโธปกรณ์อันตรายเช่นระเบิดหรือปืนกล
สำหรับนักฆ่าสาวฉินอวี้โม่ การต่อสู้ในโลกก่อน ‘เธอ’ ถนัดพึ่งพาพลังจากร่างกายจึงทำให้ชื่นชอบทักษะการต่อสู้ระยะประชิดมากที่สุด อย่างไรก็ตามด้วยอาชีพที่หาเลี้ยงกายบีบให้ ‘เธอ’ ต้องเชี่ยวชาญเชิงยุทธ์ทุกรูปแบบ อย่าว่าแต่ประสบการณ์ในการต่อสู้เลย ประสบการณ์ที่ผ่านความเป็นความตายมาก็มีมากมายจนเรียกว่าชาชินเลยด้วยซ้ำ
เมื่อมาอยู่ในโลกนี้ โลกที่มีและใช้พลังมายา ฉินอวี้โม่ยอมรับว่า ‘เธอ’ ตื่นตาตื่นใจอย่างเหลือล้น เพราะพลังมายาทำให้การต่อสู้ดูอลังการและรุนแรงมากกว่าปกติ
แต่นี่เองก็เป็นจุดบอดเพราะมันทำให้คนในโลกมายาแห่งนี้มุ่งเน้นฝึกฝนและพัฒนาแต่ในด้านพลังมายา จนหลายคราที่ละเลยความสำคัญของกระบวนท่า สุดท้ายการพัฒนาทักษะทางร่างกายก็ถูกหลงลืมจนกระทั่งหยุดชะงักอยู่เพียงจุดหนึ่งอย่างที่เห็นในตอนนี้
ดังนั้นหากเปรียบเทียบกันด้วยกระบวนท่ารวมถึงการเคลื่อนที่ในศาสตร์และศิลป์แห่งการต่อสู้แล้ว ฉินอวี้โม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใดในโลกมายาแห่งนี้อย่างแน่นอน
ทั้งฉินอวี้โม่และหลินซิวหยาต่างก็ทั้งแข็งแกร่งและรวดเร็วด้วยกันทั้งคู่ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนตื่นเต้นและดุเดือดจนผู้ชมทั่วทั้งสนามลุ้นตัวเกร็ง และแทบจะลืมหายใจในหลายจังหวะ
กระบวนท่าจู่โจมและการเคลื่อนไหวของสตรีตระกูลฉินนับว่าดูแปลกตาสำหรับพวกเขามาก ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งและพละกำลังอันมหาศาลของหลินซิวหยาก็น่าประทับใจไม่น้อยเลย
ฝ่ายหนึ่งรุกอีกฝ่ายต้าน เมื่อฝ่ายหนึ่งพลิกสถานการณ์อีกฝ่ายก็หลีกหนีได้อย่างมีชั้นเชิง
ผู้ชมหลายคนคอแห้งผาก กลืนน้ำลายได้อย่างฝืดเฝื่อน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเข้าไปต่อสู้ด้วยตัวเองเลย เพราะแค่ยืนดูอย่างเดียวก็แทบขาดใจแล้ว
— ตูม ! —
หลังจากปะทะกันอีกครั้งร่างของฉินอวี้โม่และหลินซิวหยาก็แยกออกจากกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ยอดเยี่ยมจริง ๆ !”
หลินซิวหยาหัวเราะเสียงดังลั่น กล่าวได้เลยว่าวันนี้เขารู้สึกสนุกกับการต่อสู้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความเร็วของฉินอวี้โม่เหนือชั้นมาก แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือรูปแบบการโจมตีอันเฉียบขาดและคาดไม่ถึง นางทำให้เขาต้องระเบิดพลังมายาเพื่อเร่งความเร็วในชั่วพริบตาอยู่หลายครั้ง ซึ่งถ้าหากเขาไม่ทำเช่นนั้นเวลานี้ก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ทว่าการทำเช่นนี้ก็ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังไปมาก และผลลัพธ์คือเขาเกิดอาการอ่อนล้าได้เร็วกว่าปกติ
ฝ่ายฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มกว้างออกมาเช่นกัน
อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูนั้นก็นับว่าต่อสู้อย่างยากลำบากอยู่ไม่น้อย การโจมตีของหลินซิวหยากดดันนางเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ปะทะกันฝ่ามือบางจะต้องชาหนึบ และเป็นผลให้หลายคราที่นางเกือบทำกระบี่หลุดมือไป ซึ่งถ้าหากสูญเสียอาวุธไปแล้วนั่นก็เท่ากับนางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ชัดเจน
“รุ่นน้องอวี้โม่ เจ้าไม่ได้มีเพียงกองทัพอสูรที่แข็งแกร่ง แต่พลังของเจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังอายุน้อยกว่าข้าหลายปี ทั้งยังเข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ได้แค่ปีเดียว เพราะฉะนั้นข้าเชื่อว่าหากให้เวลาเจ้าอีกสักหน่อย เจ้าคงจะทิ้งห่างข้าไปไกลเป็นแน่ วันนี้ข้าขอยอมรับจากหัวใจ เจ้าคืออัจฉริยะที่ยากจะหาพบได้เช่นเดียวกันหานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนสองบุคคลในตำนานของโรงเรียน”
ครั้งนี้หลินซิวหยาออกปากชมฉินอวี้โม่จากส่วนลึก
เขาทึ่งในความแข็งแกร่งของคนตรงหน้าอย่างมาก นอกเหนือจากพรสวรรค์ที่สูงส่งแล้วก็ยังมีบุคลิกที่ดึงดูดเป็นที่ไว้วางใจจนทรงอิทธิพลอย่างยิ่งยวดในหมู่สหายและกลุ่มคนที่ยึดถือนางเป็นพวกพ้อง เขาไม่สงสัยเลยว่าในอนาคตสตรีนามฉินอวี้โม่ผู้นี้คงจะกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของโรงเรียนราชสำนัก
“ขอบคุณรุ่นพี่หลินซิวหยา แต่กล่าวด้วยความสัตย์จริงว่า ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่แย้มยิ้ม นางไม่ปฏิเสธคำชมดังกล่าวและค้อมหัวรับไว้อย่างนอบน้อม
ฉินอวี้โม่ไม่ใช่แค่เพียงมั่นใจแต่นางยังมุ่งมั่นอย่างยิ่งว่าในวันหนึ่งข้างหน้านางจะต้องเหนือกว่าสองคนนั้นอย่างแน่นอน นางจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากที่สุดเพื่อตามหาบิดามารดาและเสี่ยวโร่ว ฉะนั้นไม่เพียงแต่สองตำนานของโรงเรียนแต่นางจะต้องก้าวข้ามทุกคนและไปอยู่ยังจุดสูงสุดให้จงได้
เมื่อเห็นรอยยิ้มและได้ยินถ้อยคำมาดมั่นของฉินอวี้โม่ ผู้ที่เฝ้าชมดูทั้งหลายก็อึ้งไปไม่น้อย บัดนี้หัวใจของทุกคนต่างก็ยอมรับในตัวสตรีผู้นี้ แม้วาจานั้นจะดูโอหังและหยิ่งทะนงแต่ก็มิอาจโต้แย้งได้แม้เพียงครึ่งคำ
สตรีอ่อนวัยในชุดขาวที่งดงามราวกับเทพธิดาทว่าเก่งกล้ายิ่งกว่าบุรุษผู้นี้กำลังสะกดหัวใจของทุกผู้คน ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้สึกชื่นชมนางจากใจจริง
มู่อวิ๋นมองฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่บนลานประลองด้วยรอยยิ้ม ดรุณีผู้นี้มีคุณสมบัติที่จะทะนงตนได้โดยไร้ข้อกังขา ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหานโม่ฉือถึงได้หลงรักนางหมดหัวใจ คงมีเพียงแค่สตรีอย่างฉินอวี้โม่เท่านั้นที่คู่ควรจะยืนเคียงข้างบุรุษยิ่งใหญ่อย่างหานโม่ฉือ
อาจารย์ซ่างกวนซวี่ยิ้มกว้าง เขารู้เสมอว่านักเรียนของเขาไม่ธรรมดา เพียงแค่ได้เห็นฉินอวี้โม่ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ หัวใจของผู้เป็นอาจารย์ก็เป็นสุขเปี่ยมล้นแล้ว
คณาจารย์และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้ายอมรับ พวกเขายอมรับนักเรียนผู้นี้จากใจเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ พูดได้ดี รุ่นน้องอวี้โม่ ข้าคิดว่าเราคงไม่จำเป็นต้องสู้กันต่อแล้ว ความแข็งแกร่งของเราไม่ได้ต่างกันมาก ต่อให้สู้กันจนตะวันตกดินก็คงไม่อาจรู้ผล”
หลินซิวหยายิ้มก่อนจะเก็บอาวุธของตัวเองกลับเข้าไปในแหวนมิติ
ฉินอวี้โม่เองก็เก็บกระบี่ของนางแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างมีไมตรี
นางเห็นด้วยกับหลินซิวหยาเพราะต่อให้สู้กันอีกสามวันสามคืนก็คงไม่รู้ผลเป็นแน่
ศึกประชันยุทธ์ของพวกเขาจบลงแล้ว สองคู่ประลองต่างโค้งตัวให้กันด้วยความรู้สึกขอบคุณ
สิ้นการกระทำดังกล่าว ร่างของทั้งคู่ก็หายไปจากลานประลองทันที ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าเหล่าสหายของนาง ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มเบิกบาน
เยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งหลายยังดึงสติกลับมาได้ไม่มากนัก เมื่อรู้ตัวอีกทีพวกนางก็พบว่าฉินอวี้โม่มาอยู่ข้าง ๆ แล้ว รุ่นพี่หลินซิวหยาที่เป็นคู่ต่อสู้ของนางก็ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเช่นกัน
“อวี้โม่เจ้าเป็นสัตว์ประหลาด รุ่นพี่ก็ด้วย !”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง
“ในตอนที่เจอกันครั้งแรก ข้าจำได้ว่าอวี้โม่ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก ทว่าหลังจากนั้นความห่างชั้นของข้ากับนางก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ข้าว่าถ้าพวกเราไม่พยายามอย่างนักคงไม่มีวันตามนางทันและคงมิอาจสู้เคียงข้างนางได้”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มออกมา ขณะนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ได้พบเจอสหายตระกูลฉินครั้งแรกในป่าแสงจันทร์
ในตอนนั้นระดับพลังของฉินอวี้โม่นับว่าด้อยกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ นางเป็นเพียงจอมยุทธ์มายารัตนะ ไม่คิดเลยว่าพอเวลาผ่านไปนางจะก้าวหน้านำเขาไปไกลถึงเพียงนี้
ดูเหมือนว่าเขาเองก็ต้องพยายามอย่างหนักแล้ว
องค์ชายฉีอวี้และคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยกับวาจาของโอวหยางชิงเฟิง พวกเขาหันมามองหน้ากัน ในแววตาของแต่ละคนฉายแววหมายมาด พวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะตั้งใจฝึกฝนไม่ให้น้อยหน้าเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง เสียงของอาจารย์ลิ้วหยวยก็ดังขึ้น
“เอาล่ะ นักเรียนทั้งหลาย ข้าขอประกาศผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศ”
ทุกคนจับจ้องไปยังอาจารย์ผู้ควบคุมการแข่งขัน ทุกสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
.