คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 182 ความช่วยเหลือ
หลังจากได้พักผ่อนไปหนึ่งคืนเต็ม วันรุ่งขึ้นฉินอวี้โม่ก็ถูกมู่อวิ๋นเรียกให้เข้าพบ
ในตอนนี้การแข่งขันศึกประชันยุทธ์สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว อธิการโรงเรียนราชสำนักคิดเห็นว่าถึงเวลาที่เขาจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากดรุณีมากความสามารถดั่งที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้เสียที
ฉินอวี้โม่ทั้งไม่ทราบและไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเรื่องราวแบบใดกันที่ท่านอธิการผู้ยิ่งใหญ่ต้องการให้นักเรียนผู้น้อยอย่างตนช่วยเหลือ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดขอเพียงทำได้ นางก็หมายใจจะช่วยจนสุดความสามารถ
ภายในห้องทำงานอธิการโรงเรียนราชสำนัก มู่อวิ๋นและผู้อาวุโสหลายท่านยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เสี่ยวอวี้โม่มาแล้วหรือ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ มู่อวิ๋นก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยทักทาย
“คารวะท่านอธิการและผู้อาวุโสทุกท่าน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าวทักทายมู่อวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโส
“ในเมื่อเสี่ยวอวี้โม่มาแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
มู่อวิ๋นเอ่ยชักชวนรวบรัดก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูทันที
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เดินตามบุรุษผมสีประหลาดออกไปทีละคน ฉินอวี้โม่เองก็ก้าวตามไปอย่างไม่ลังเล
สถานที่ที่ท่านอธิการพาคนทั้งคณะมาคือหอคอยวิญญาณ บุรุษตำแหน่งสูงไต่บันไดขึ้นไปยังชั้นบน ทีละชั้น ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ทว่าเมื่อมาจนถึงชั้นที่หก คณะเดินทางที่ประกอบด้วยหนึ่งนักเรียนหน้าใหม่กับหลายผู้อาวุโสกลับไม่ได้หยุดพัก ท่านอธิการยังคงพาคนทั้งหมดก้าวขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นที่เจ็ด
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉินอวี้โม่ขึ้นมาบนชั้นที่เจ็ดของหอคอยศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูมองดูพื้นที่โดยรอบด้วยความตื่นเต้นปนอยากรู้อยากเห็น
พื้นที่ภายในชั้นสูงสุดของหอคอยวิญญาณดูโล่งและกว้างมาก เมื่อกวาดตาดูจนทั่ว ฉินอวี้โม่ก็ค้นพบว่าที่แห่งนี้คล้ายกับไร้จุดสิ้นสุด เพราะนางมองไม่เห็นส่วนที่ควรจะเป็นขอบของพื้นที่บนชั้นนี้เลย
ลักษณะเช่นนี้นับว่าแตกต่างไปจากชั้นอื่น ทว่ามันก็ไม่ถือว่าประหลาดมากนัก เพราะสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ บนชั้นเจ็ดไม่มีความผันผวนของสภาวะพลังใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับที่แห่งนี้ไร้ซึ่งพลังมายา แม้ว่าจะตรวจสอบอยู่นานหญิงสาวอดีตมือสังหารก็ไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายอื่นใดได้เลย
เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้ฉินอวี้โม่เกิดคำถามขึ้นในใจมากมายมหาศาล อย่างไรก็ตามนางก็ไม่ได้เอ่ยถามออกมา คุณหนูตระกูลฉินเชื่อว่าอีกไม่นานอธิการมู่อวิ๋นก็คงจะบอกเล่าและอธิบายเรื่องราวให้ได้รู้เอง
“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวอวี้โม่ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้สึกถึงความไม่ปกติแล้วสินะ”
มู่อวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ
“ที่พวกเราเชิญเจ้ามาในวันนี้ก็เพราะพวกเราอยากจะยืมใช้เปลวเพลิงของเจ้า”
มู่อวิ๋นแจ้งจุดประสงค์ทันควัน วาจาของเขาตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง
การที่ท่านอธิการทราบเรื่องเปลวเพลิงที่นางใช้ ฉินอวี้โม่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็คงไม่มีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์คนใดสามารถซุกซ่อนหรือปิดบังความแข็งแกร่งของตนเองต่อหน้ายอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่อย่างมู่อวิ๋นผู้นี้ได้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางกล่าว “ท่านอธิการ ศิษย์ยินดีช่วยเหลือ เพียงท่านบอกมาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง หากช่วยได้ศิษย์จะพยายามเต็มที่”
มู่อวิ๋นระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะกล่าวตอบ “ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนั้นง่ายมาก เจ้าแค่ช่วยพวกเราหลอมละลายผลเยือกมณีก็พอ”
ฉินอวี้โม่ตกใจไม่น้อย …‘พวกเขาจะให้นางละลายผลเยือกมณี นี่ไม่นับเป็นงานที่ ‘ง่าย’ แล้ว’
“หึ ๆ อย่าห่วงไปเลยสาวน้อย แม้ว่ามันจะเป็นถึงผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เปลวเพลิงธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นเปลวเพลิงแสนพิเศษของเจ้าแล้ว เรื่องนั้นก็น่าจะเป็นไปได้ไม่ยากเย็นนัก”
บุรุษผู้มีตำแหน่งยิ่งใหญ่แย้มรอยยิ้ม เขาล่วงรู้ถึงสิ่งที่สตรีน้อยตรงหน้าสงสัยได้ดีจึงเอ่ยอธิบาย
หอคอยศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้คือสถานที่เก่าแก่ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งโรงเรียนราชสำนัก วันเวลาล่วงเลยมาเนิ่นนาน หอคอยวิญญาณผ่านพ้นการปรับปรุงและวิวัฒนาการมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดมันก็เป็นดั่งเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้
อย่างไรก็ตามความลึกลับตั้งแต่แรกเริ่มที่ทำให้หลายต่อหลายคนติดใจสงสัยมาตลอดก็คือ ในเมื่อหอคอยวิญญาณในชั้นที่หนึ่งถึงหกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมายาที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกหลายเท่า แล้วเหตุใดในชั้นที่เจ็ดกลับไม่มีพลังใด ๆ อยู่เลย
บนชั้นที่เจ็ดนี้ว่างเปล่าอย่างแท้จริง อย่าว่าแต่การมีพลังมายาหนาแน่นกว่าโลกภายนอก แต่ที่แห่งนี้กล่าวได้ว่าไม่มีพลังใด ๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ
เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นหอคอยวิญญาณก็ค่อย ๆ บ่มเพาะพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อกำเนิดจิตวิญญาณของตัวเองหรือก็คือไป๋ฉี่หนุ่มน้อยแสนลึกลับแต่ทรงพลังน่าเกรงขามขึ้นมาได้
ทว่ากว่ามู่อวิ๋นจะรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างชัดแจ้งก็เป็นตอนที่ไป๋ฉี่ฝึกฝนจนจำแลงร่างมนุษย์ได้เสียแล้ว
นับแต่นั้นมามู่อวิ๋นก็คอยเฝ้าสังเกตการณ์ร่างกายของไป๋ฉี่มาโดยตลอด
และการสังเกตการณ์ของเขาก็ไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า ผู้ปกครองสูงสุดแห่งโรงเรียนราชสำนักพบว่าร่างกายของไป๋ฉี่มีข้อบกพร่องอยู่ ซึ่งมันคือสาเหตุที่ทำให้ชั้นที่เจ็ดของหอคอยวิญญาณมีความผิดพลาด
แน่นอนว่ามู่อวิ๋นรู้สึกตกใจมากกับความจริงข้อนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย เพราะขอเพียงไป๋ฉี่ฝึกฝนตัวเองและเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ข้อบกพร่องของหอคอยชั้นเจ็ดก็น่าจะสลายหายไปได้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มู่อวิ๋นกลับพบปัญหาหนักอกอีกอย่างหนึ่ง
นั่นคือ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับไป๋ฉี่ที่จะฝึกฝนจนแก้ไขข้อบกพร่องของร่างกายได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้จิตวิญญาณแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะฝึกฝนให้ก้าวหน้าจนถึงขั้นออกไปจากหอคอยได้เลย
ต้องบอกเลยว่าความเอ็นดูของมู่อวิ๋นที่มีต่อไป๋ฉี่นั้นมากมายมหาศาล จะกล่าวว่าเขารักไป๋ฉี่ประหนึ่งบุตรชายแท้ ๆ ของตัวเองก็ว่าได้
ดังนั้นเพื่อให้ไป๋ฉี่ฝึกฝนจนแก้ไขข้อบกพร่องในตัวเองและสามารถออกไปท่องโลกภายนอกได้อย่างแข็งแกร่ง มู่อวิ๋นจึงพยายามหาหนทางช่วยเหลือมาโดยตลอด
หลังจากทำการค้นคว้ามานานหลายปี ในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีหนึ่งที่มีความเป็นไปได้
นั่นก็คือเขาต้องตามหาผลไม้ศักดิ์สิทธิ์จากป่าเหมันต์ สมบัติในตำนานแสนล้ำค่าที่มีนามเรียกขานกันว่าผลเยือกมณี
ผลเยือกมณีที่ได้จะต้องถูกหลอมด้วยเปลวเพลิงอันทรงพลานุภาพ หลังจากเจ้าผลไม้เยือกแข็งหลอมละลายจะเปลี่ยนกลายเป็นของเหลวศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังมหาศาล ซึ่งของเหลวนี้เองที่มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมหอคอยวิญญาณให้เข้าสู่สภาวะสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติได้
อย่างไรก็ตาม ป่าเหมันต์ก็เป็นสถานที่อันตรายอีกทั้งยังกว้างใหญ่ไพศาล อธิการผมสีมหาสมุทรเคยเข้าไปด้วยตัวเองหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยพบเจอร่องรอยของผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาต้องการเลยสักครา เมื่อไตร่ตรองทบทวนอย่างถี่ถ้วน เขาก็คิดได้ว่า หากต้องการจะหาผลเยือกมณีให้พบโดยเร็วจริง ๆ แนวทางหนึ่งที่พอจะเป็นไปได้ก็คือระดมกำลังพลจำนวนมากออกตามหา
อันที่จริงในช่วงหลายปีมานี้ ผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนของโรงเรียนก็แวะเวียนเข้าไปที่นั่นด้วย ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ได้ข้อมูลใด ๆ เป็นชิ้นเป็นอัน
ดังนั้นหลังจากได้ประชุมหารือกันแล้ว ในที่สุดทางโรงเรียนราชสำนักก็ตัดสินใจจัดการแข่งขันประเภทหมู่คณะขึ้นเพื่อหวังว่าจะมีโอกาสค้นหาผลไม้ล้ำค่าพบ แม้ว่าโอกาสจะน้อยนิดแต่หากว่าได้ลองดูก็ดีกว่าไม่ทำสิ่งใดเลยและการส่งนักเรียนเข้าไปในป่าเหมันต์ก็จะช่วยสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ของโรงเรียนด้วย
แท้จริงแล้ว ในคราแรกคณะผู้อาวุโสไม่ได้คาดหวังกับการได้ผลเยือกมณีมาในภารกิจนี้มากนัก แต่ไม่คิดเลยว่านักเรียนของพวกเขาจะนำผลไม้แสนหายากกลับมาได้จริง
ทว่าในตอนนั้นเอง ปัญหาเรื่องใหม่ก็ตามมานั่นคือ ‘การหาวิธีหลอมผลเยือกมณี’ แม้จะให้อาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลายที่เชี่ยวชาญด้านพลังธาตุไฟพยายามทดสอบดูหลายครั้งแต่ก็ไม่มีเปลวเพลิงใดที่สามารถหลอมละลายผลเยือกมณีได้เลย
โชคดีที่หลังจากที่มู่อวิ๋นลองตรวจสอบเปลวเพลิงของนักเรียนทุกคนแล้ว เขาก็พบว่าฉินอวี้โม่มีเปลวเพลิงที่น่ากลัวและน่าจะใช้การได้ดีอยู่
แม้ว่าเปลวเพลิงของคุณหนูสี่ตระกูลฉินจะลึกลับไม่ทราบที่มา อีกทั้งยังไม่ทราบว่าเป็นเพลิงชนิดใด แต่เขาก็มั่นใจว่ามันน่าจะทำให้ผลเยือกมณีหลอมกลายเป็นของเหลวได้
พวกเขาเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่ ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่กับไป๋ฉี่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นนางจะต้องยอมช่วยอย่างไม่ลังเลแน่
และนั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่มู่อวิ๋นเรียกตัวฉินอวี้โม่มาพบ
หลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจความเป็นมา
ดูเหมือนว่าหอคอยวิญญาณจะมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอยู่ แม้ว่าไป๋ฉี่จะฝึกฝนจนเป็นวิญญาณระดับสูงได้แล้วแต่ก็ยังลบข้อบกพร่องนั้นออกไปไม่ได้ ซึ่งตามคำบอกเล่าของมู่อวิ๋นในเรื่องนี้ผลเยือกมณีสามารถช่วยแก้ปัญหาได้
ผลเยือกมณีถือเป็นสมบัติแห่งฟ้าดิน ไม่แปลกนักที่เปลวไฟธรรมดาจะไม่สามารถหลอมละลายมันได้ แต่หากเป็นเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งและทรงพลังของซิวก็อาจจะทำได้ ด้วยเหตุนี้ท่านอธิการจึงขอความช่วยเหลือจากนาง
สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้คุณหนูตระกูลฉินไม่คิดลังเลอีก นอกจากจะได้ช่วยไป๋ฉี่แล้ว ยังได้ช่วยเหลือสถานที่มีคุณูปการต่อแผ่นดินอย่างโรงเรียนราชสำนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญให้เสียเวลา
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอธิการโปรดบอกมาเถอะว่าข้าต้องทำอย่างไร”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า และยืนอยู่กับที่เพื่อเตรียมความพร้อม อดีตนักฆ่าสาวไม่ถามไถ่ให้มากความอีก
“ง่ายมาก พวกเราจะเป็นฝ่ายนำผลเยือกมณีออกมา เจ้าแค่หลอมละลายมันให้ได้ก็พอ ส่วนเรื่องหลังจากนั้นพวกเราจะจัดการเอง…”
มู่อวิ๋นยิ้มก่อนจะอธิบายถึงสิ่งที่นักเรียนผู้โดดเด่นของเขาต้องทำ
ทันทีที่ฉินอวี้โม่ใช้เปลวเพลิงหลอมละลายผลเยือกมณีได้สำเร็จ มู่อวิ๋นและผู้อาวุโสทั้งหลายจะกระจายพลังจากผลไม้วิเศษไปให้ทั่วหอคอยชั้นที่เจ็ด
ถึงตอนนั้นพลังของผลไม้ทิพย์จะช่วยซ่อมแซมชั้นที่เจ็ดนี้อย่างช้า ๆ ไม่นานนักชั้นที่เจ็ดก็คงจะเป็นเหมือนกับชั้นอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ แน่นอนว่าชั้นสูงสุดของหอคอยจะต้องมีพลังมายาที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกอย่างเทียบกันไม่ได้และจะหนากว่าชั้นหกหลายเท่า
เมื่อเวลานั้นมาถึง ขอเพียงไป๋ฉี่ตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักเขาเองก็จะสามารถก้าวออกไปจากหอคอยแห่งนี้เพื่อท่องเที่ยวไปในยุทธภพได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ นางเข้าใจหน้าที่ของตัวเองและรู้ชัดว่าควรทำเช่นไรแล้ว
“เสี่ยวอวี้โม่ เมื่อเจ้าพร้อม เราจะเริ่มทันที”
มู่อวิ๋นยิ้ม เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปและหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้า
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงไปในท่าขัดสมาธิ
เพราะคาดว่าการจะหลอมละลายผลเยือกมณีคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ดังนั้นอดีตนักฆ่าสาวจึงตั้งสมาธิไหลเวียนพลังมายาเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่สุดก่อนจะเริ่มลงมือ
มู่อวิ๋นยิ้มพลางล้วงเอาผลเยือกมณีออกมาจากแหวนมิติ พริบตาถัดมาผู้รั้งตำแหน่งอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักก็ส่งให้มันลอยขึ้นไปในอากาศ
เมื่อเห็นผลเยือกมณีลอยอยู่ต่อหน้า มุมปากของคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ฉับพลันเปลวเพลิงร้อนแรงก็พุ่งออกมาจากนิ้วของนางและตรงเข้าปะทะผลไม้วิเศษอย่างรวดเร็ว
รัศมีความร้อนของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สาดกระจายไปรอบทิศทาง ขณะที่ไฟสีแดงฉานกำลังห่อหุ้มผลเยือกมณีอยู่
แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกถึงความร้อนอันน่าหวาดหวั่นจากเปลวเพลิงนั้นได้ชัดเจน ทว่าตัวผลเยือกมณีกลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด มันลอยตัวอยู่กลางอากาศนิ่งนาน ก่อนจะเริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงราวกับจะพยายามสะบัดเอาเปลวเพลิงของฉินอวี้โม่ออกไป
“หึ เจ้าผลไม้แก้ว ที่ผ่านมามันทำตัวสงบเสงี่ยมมาตลอด แต่ตอนนี้ถึงยามวิกฤต จวนตัวมากแล้วจึงเริ่มแผลงฤทธิ์กับเขาบ้าง มันคงไม่อยากถูกหลอมละลายง่าย ๆ แต่ไม่ต้องห่วง ไว้ใจข้าเถอะ เจ้าแค่พยายามทำสิ่งที่เจ้าทำได้ก็พอ”
มู่อวิ๋นกล่าว ก้อนพลังมายาปรากฏขึ้นในมือของมู่อวิ๋น ก่อนจะถูกส่งออกไปห่อหุ้มผลเยือกมณีที่กำลังหมุนตัวอย่างบ้าคลั่ง
และในตอนนั้นเองที่ผลเยือกมณีหยุดหมุนได้อย่างน่าอัศจรรย์ มันยอมลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นก็แทบไม่ได้อยู่ในความทรงจำของฉินอวี้โม่เลย เพราะนางยังคงพยายามตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการส่งเพลิงของซิวออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้จะต้องหลอมละลายผลเยือกมณีให้ได้
ผลเยือกมณีคือผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดมาจากพลังงานธาตุน้ำแข็งที่ทรงพลังเหนือคำบรรยาย การจะหลอมมันให้ได้เป็นงานที่ยากเย็นสำหรับฉินอวี้โม่มาก
หลังจากปลดปล่อยพลังออกไปได้ครู่หนึ่ง อดีตนักฆ่าก็ลอบถอนหายใจอย่างหมดหนทาง ต้องกล่าวว่าแม้ว่านางจะควบคุมเพลิงนี้ได้ดีดั่งใจนึก ทว่าพลังของมันก็ยังด้อยกว่าในตอนที่ซิวใช้เองอยู่มากโข
หากเป็นซิว นางเชื่อว่าอสูรมายาแห่งโชคชะตาผู้แข็งแกร่งจนน่าเกรงขามนั้นคงจะหลอมผลเยือกมณีได้ในชั่วพริบตาอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่ามันทำได้อย่างไรนั้นไม่มีความจำเป็นต้องนึกสงสัย
ในที่สุดครึ่งชั่วยามก็ผ่านพ้น กาลเวลาและความพยายามไม่สูญเปล่า ในตอนนี้ผลเยือกมณีเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นบ้างแล้ว
— ติ๋ง ! —
เกิดเสียงดังขึ้น ของเหลวศักดิ์สิทธิ์หยดลงมาจากผลเยือกมณี
“ผู้อาวุโสหลิว รีบเก็บของเหลวศักดิ์สิทธิ์ไปเร็วเข้า”
เมื่อเห็นว่ามีของเหลวหยดลงมาจากผลเยือกมณี ริมฝีปากของมู่อวิ๋นก็แย้มรอยยิ้มยินดี
ผู้อาวุโสหลิวไม่ลังเลพลันปลดปล่อยพลังมายาของตัวเองออกไปห่อหุ้มของเหลวศักดิ์สิทธิ์ไว้ก่อนจะดึงมันเข้ามาอยู่ตรงหน้า
ในตอนนี้ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็เคร่งเครียดกับสถานการณ์ตรงหน้ามาก ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ผลเยือกมณีที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยความกังวล เรื่องนี้มีสำคัญกับโรงเรียนราชสำนักอย่างสุดซึ้ง มันมีความเกี่ยวพันกับการดำรงอยู่และความแข็งแกร่งของหอคอยวิญญาณ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นมู่อวิ๋น ฉินอวี้โม่หรือคนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ทำพลาด
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หน้าผากของฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ ต้องบอกเลยว่าการหลอมผลเยือกมณีเป็นงานที่หนักหนาสำหรับนางยิ่งนัก
ถึงแม้ว่าจะสามารถควบคุมเปลวเพลิงได้ดี ทว่าคุณหนูผู้ครอบครองกายเทพมายาก็ยังไม่เคยใช้มันอย่างดุเดือดเหมือนอย่างวันนี้
— ติ๋ง ! —
เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น หยดของของเหลวศักดิ์สิทธิ์อีกหยดหนึ่งตกลงมาจากผลเยือกมณี
“ตอนนี้แหละ !”
มู่อวิ๋นโพล่งวาจาเสียงดังลั่นออกเพื่อเรียกสติทุกคน
ในฉับพลันนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ส่งพลังของตัวเองออกไปดึงเอาของเหลวศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งหยดนั้นเข้ามาโดยไม่รอช้า
กระบวนการทั้งหมดนับว่ากินเวลายาวนานมาก กว่าจะได้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์แต่ละหยดต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยาม นี่แสดงให้เห็นแล้วว่ามันคืองานที่ยากเย็นแสนเข็ญอย่างแท้จริง