คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 189 หุ่นมายา
“เพลิง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาที่นี่ด้วย”
‘เพลิง’ คือนามเรียกขานสั้น ๆ ของคชสารโลหิตที่ใช้เรียกกันในหมู่สหาย แม้นามนั้นจะฟังดูร้อนแรงไม่น้อย ทว่ากลิ่นอายและสภาวะพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของมันกลับเยือกเย็นชวนเหน็บหนาวไม่เข้ากันเลยสักนิด
ยิ่งเข้าใกล้อสูรเผ่าพันธุ์ไอยราตนนี้ ร่างกายก็ยิ่งสั่นสะท้านจากส่วนลึก ด้วยสภาวะพลังเย็นเฉียบที่มันปลดปล่อยออกมานั้น แทบจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่โดยรอบกลายเป็นวัตถุแช่แข็งไปได้เลย
“ภูผาทมิฬ แม้แต่เจ้ายังปรากฏตัว แล้วเหตุใดข้าจะมาไม่ได้ล่ะ ที่ที่ครึกครื้นเช่นนี้จะขาดข้าไปได้อย่างไรกัน”
คชสารโลหิตกล่าวตอบโต้ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็ถือว่าดี”
ภูผาทมิฬกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อว่า “หงส์แดงกลายเป็นข้ารับใช้ของมนุษย์ไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้นางควรจะออกไปจากดินแดนต้องห้ามแห่งนี้เสีย”
วาจาเสียดแทงของภูผาทมิฬนั้นชัดเจน ไม่ต้องตีความสิ่งใดให้ซับซ้อนวุ่นวายก็เข้าใจในทันทีว่าจุดประสงค์ของอสูรตนนี้คือต้องการขับไล่หงส์แดงออกไปจากดินแดนต้องห้าม
“หึ ๆ เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินว่าสตรีมนุษย์ผู้เป็นนายของหงส์แดงสามารถปลดผนึกของที่นี่ได้ ในเมื่อกล้ากล่าวอ้างถึงเพียงนั้นก็ลองให้นางทดสอบดูเสียหน่อยจะเป็นไรไป”
คชสารนามร้อนแรงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่สหายเผ่าพันธุ์หมีต้องการ มันเลี่ยงที่จะเอ่ยความคิดเห็นเรื่องของหงส์แดงตรง ๆ แต่กลับกล่าววาจาเช่นนั้นพลางหันไปมองฉินอวี้โม่
ดินแดนต้องห้ามแห่งนี้เสมือนแผ่นดินต้องคำสาป มันถูกผนึกไว้เป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว นับตั้งแต่ยังเป็นเพียงอสูรทารก อสูรทั้งเจ็ดก็ถูกจองจำอยู่ในที่แห่งนี้ไม่สามารถออกไปไหนได้ กระทั่งตอนนี้พวกมันพัฒนามาจนเป็นอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิ ทว่าก็ยังไม่สามารถปลดผนึกและออกไปท่องโลกกว้างได้
ที่สำคัญด้วยพลังแห่งผนึกที่พันธนาการไว้ทำให้การจะพัฒนาพลังบำเพ็ญบารมีเพื่อก้าวขึ้นสู่ระดับต่อไปของพวกมันนั้นมิอาจทำได้เลย เรื่องนี้สำหรับจักรพรรดิอสูรสวรรค์ทั้งเจ็ดแล้วนับเป็นเรื่องที่เจ็บปวดยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ ในหลายปีที่ผ่านมาอสูรทั้งหลายจึงพยายามคิดหาหนทางต่าง ๆ เพื่อจะไขความลับของดินแดนลึกลับ ทว่ากลับไม่ได้สิ่งใดเป็นรูปเป็นร่าง ความพยายามทั้งหลายแทบจะสูญเปล่าจนหมดสิ้น จนกระทั่งเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน มนุษย์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเดินทางมาถึงที่นี่และบอกกับพวกมันว่ามีเพียงคนที่มีกายเทพมายาเท่านั้นถึงจะปลดผนึกรวมถึงไขความลับของที่นี่ได้ เหตุการณ์นั้นนับเป็นครั้งแรกที่ทำให้พวกมันรู้สึกว่ายังมีความหวังอยู่
หลังจากการรอคอยกว่าร้อยปี มนุษย์ที่มีกายเทพมายาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างแท้จริง แม้ว่าฉินอวี้โม่และหงส์แดงจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ตรง ๆ แต่คชสารโลหิตก็รู้สึกได้ว่าสตรีมนุษย์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่านางอาจจะช่วยพวกมันปลดผนึกของที่นี่ได้เช่นที่ยอดฝีมือผู้นั้นกล่าว ถึงตอนนั้นพวกมันก็จะเป็นอิสระเสียที แสงแห่งความหวังทอประกายให้เห็นอยู่เบื้องหน้าแล้ว คชสารนามว่าเพลิงจึงไม่อยากพลาดมันไป
เมื่อได้ฟังความเห็นของเพลิง ภูผาทมิฬก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียด และยังคงยืนขวางทางฉินอวี้โม่ร่วมกับอสูรอีกสามตัวโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้
“เพลิง พวกเราถูกจองจำอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว ข้าไม่เชื่อว่ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะแก้ปัญหานี้ได้ ยิ่งช่วงหลัง ๆ มาป่าต้องห้ามเริ่มเกิดเรื่องประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าไม่นึกสงสัยในความแปลกนี้บ้างเลยหรือ ?”
ภูผาทมิฬหยุดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้ตอบก็กล่าวต่อ “ข้าคิดว่าบางทีเรื่องราวทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะหงส์แดงสมคบกับมนุษย์ผู้นี้และวางแผนจะทำลายดินแดนต้องห้าม เป็นไปได้ว่าพวกนางอาจจะเตรียมการเช่นนี้มานานแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่มีวันยอมให้พวกนางทำสำเร็จ”
เมื่อได้ยินวาจาที่ออกจากปากของภูผาทมิฬ กระเรียนขาวบรรพกาลที่นิ่งเงียบอยู่นานก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นบ้าง “ภูผาทมิฬ เจ้าเองก็น่าจะรู้จักผนึกนี้ดี ผนึกนี้ทรงพลังถึงขนาดที่พวกเราทั้งเจ็ดรวมพลังกันก็ยังผ่านเข้าไปไม่ได้ เจ้าเองก็น่าจะพอสัมผัสถึงพลังของมนุษย์ผู้นี้ได้บ้าง เพียงแค่ให้นางลองดูพวกเราก็จะได้ทราบเอง หากนางทำไม่ได้ข้าเองก็จะไม่ขอเชื่อหงส์แดงกับมนุษย์คนนี้อีกต่อไป แต่ถ้านางสามารถฝ่าผนึกนี้เข้าไปได้จริง นั่นก็เป็นการพิสูจน์ว่าหงส์แดงพูดความจริงและเราก็จะไขความลับของที่นี่ได้เสียที”
“ภูผาทมิฬ ข้าชักสงสัยแล้วเช่นกันว่าเจ้ากำลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่ ? เหตุใดท่าทางของเจ้าจึงดูเหมือนกับไม่อยากให้ผนึกของดินแดนต้องห้ามถูกคลายออกเสียเช่นนั้น”
หงส์แดงเอ่ยขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ในใจอสูรสาวกำลังรู้สึกสงสัยท่าทีของสหายเผ่าพันธุ์หมี เห็นชัดเลยว่ามันและพวกอีกสามตัวไม่อยากให้ฉินอวี้โม่เข้าไปภายในถ้ำ
“จะเป็นไปได้อย่างไร ความลับนี้เกี่ยวพันกับอิสรภาพและยังส่งผลถึงการพัฒนาพลังของเราต่อไปในอนาคต เช่นนั้นเราจะไม่อยากให้คลายผนึกของที่นี่ได้อย่างไร ?!”
เมื่อได้ยินวาจาเคลือบแคลงของหงส์แดง ภูผาทมิฬก็รีบตอบโต้ อสูรหมีในร่างบุรุษชุดดำหันไปมองวิฬารหางสั้น ชะนีแขนยาวและลิ่นพงไพรแล้วกะพริบตาเป็นสัญญาณ ในอึดใจถัดมาอสูรทั้งสี่ก็ยอมเปิดทางให้ฉินอวี้โม่ผ่านไป
“ในเมื่อเจ้าบอกว่านางสามารถปลดผนึกได้ เช่นนั้นก็ให้นางลองทำดู ข้าเองก็อยากจะเห็นว่ามนุษย์ที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เลยเช่นนี้จะมีปัญญาเดินผ่านม่านพลังอันแข็งแกร่งเข้าไปได้หรือไม่”
เมื่อเห็นภูผาทมิฬและอสูรตัวอื่น ๆ หลีกทางให้ มุมปากของฉินอวี้โม่ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม นางไม่ลังเลอีก สตรีมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวก้าวเดินเข้าไปยังจุดที่มีม่านพลังกั้นอยู่อย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ม่านพลัง นอกเหนือจากหงส์แดงผู้ที่เคยเห็นนางผ่านเข้าไปแล้ว อสูรตนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
อาไป๋และเพลิงมีสีหน้าที่เคร่งเครียดระคนคาดหวัง พวกมันถูกจองจำอยู่ที่นี่มานับพันปี มีเพียงการปลดผนึกในถ้ำนี้เท่านั้นจึงจะทำให้พวกมันได้รับอิสระทั้งทางร่างกายและพลังมายา
ภูผาทมิฬและอสูรอีกสามตนทอสีหน้าแปลกไป ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีเรื่องกังวลใจอยู่ บนใบหน้าแต่ละตนมีแต่ความเคร่งเครียด ไม่มีร่องรอยแห่งความคาดหวังเหมือนกับสหายอีกสามตนเลย
เป็นไปตามคาด ฉินอวี้โม่สามารถผ่านม่านพลังเข้าไปจนถ้ำหน้าถ้ำได้อย่างง่ายดาย
หงส์แดงพุ่งกลับเข้าไปภายในมิติเชื่อมอสูรของนายหญิง ก่อนจะปรากฏกายอีกครั้งที่ข้างกายนางด้วยรอยยิ้มเป็นสุข
“ดูเหมือนว่ามนุษย์ผู้นี้อาจจะไขความลับของที่นี่ได้จริง ๆ!”
เพลิงเปล่งเสียงดังลั่น น้ำเสียงนั้นแฝงความตื่นเต้นอย่างมิอาจปกปิด หัวใจของมันเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทีของภูผาทมิฬและอสูรอีกสามตน พวกมันกำลังเหงื่อตก ภายในแววตาเต็มไปด้วยความกังวลฉายชัด
ส่วนอาไป๋นั้นรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก อสูรเผ่ากระเรียนในร่างบุรุษหนุ่มมองสองสตรีตรงปากถ้ำด้วยสายตาที่คาดหวัง
เขาเชื่อมั่นใจตัวหงส์แดงที่เป็นสหายสนิทของตนเองมาก หงส์แดงเป็นผู้ที่โกหกได้แย่ที่สุดในโลก อสูรสาวปั้นหน้าไม่เก่งเลยสักนิด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็แสดงออกชัดทั้งแววตาและใบหน้า หากว่าอสูรสาวสมคบคิดกับมนุษย์ผู้นั้นและวางแผนชั่วร้ายไว้เป็นเวลานานแล้วอย่างที่ภูผาทมิฬกล่าวหา แน่นอนว่าสหายสนิทอย่างอาไป๋ต้องจับสังเกตได้ ทว่าในช่วงหลังมานี้หงส์แดงไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหงส์แดงไปอยู่ตรงหน้าถ้ำแล้ว ภูผาทมิฬและอีกสามอสูรก็มีสีหน้าปั้นยากคล้ายกลืนยาขม
“ภูผาทมิฬ พวกเจ้าจงรอดูให้ดี แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า แต่พวกข้าจะเผยความลับที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้เอง”
หงส์แดงจ้องมองภูผาทมิฬและอสูรอีกสามตัวที่กำลังมีใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะหันหลังเดินเข้าถ้ำไปอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่เหลือบมองอสูรสายพันธุ์หมีอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าถ้ำไปเช่นกัน
ถ้ำแห่งนี้มีขนาดใหญ่ ส่วนของปากถ้ำที่คุณหนูตระกูลฉินยืนอยู่ค่อนข้างกว้างขวาง ผนังถ้ำทั้งสองด้านปกคลุมไปด้วยไข่มุกราตรีที่เป็นประกายระยิบระยับ ส่องแสงสว่างให้กับเส้นทางเบื้องหน้าที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา
ฉินอวี้โม่และหงส์แดงเดินเคียงข้างกัน พวกนางมุ่งหน้าลึกเข้าไปด้านในอย่างช้า ๆ ขณะที่มารยาคอยระวังภัยให้จากทางด้านหลัง
อสูรตัวอื่น ๆ ในคณะอสูรอวี้โม่ยังคงอยู่ในมิติเชื่อมอสูร อย่างไรก็ตามพวกมันทุกตัวต่างก็ตั้งสมาธิพร้อมเร่งเร้าประสาทการรับรู้ให้คมกริบเพื่อคอยช่วยนายหญิงและสหายสอดส่องสถานการณ์โดยรอบ เป็นการป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เมื่อเดินเข้ามาเป็นระยะทางไกลกว่าสามร้อยจั้ง สมาชิกทั้งหมดในคณะเดินทางก็ยังคงพบว่าทัศนียภาพรอบข้างยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
ทางเดินภายในถ้ำก็ยังคงกว้างขวางเดินสะดวก ไร้ซึ่งหินงอกหินย้อยหรือแม้แต่ผนังหินขรุขระที่ดูแตกต่างจากบริเวณอื่น สองข้างทางบนผนังยังคงเต็มไปด้วยไข่มุกราตรีที่ให้แสงสว่างตลอดเส้นทาง นี่นับว่าผิดวิสัยถ้ำทั่วไปเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สภาวะพลังภายในร่างกายของฉินอวี้โม่กลับปั่นป่วนจนเรียกได้ว่ากำลังบ้าคลั่ง เสียงเพรียกหาของบางสิ่งบางอย่างจากส่วนลึกภายในถ้ำเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเดินต่อไปอีกสองก้านธูป ในที่สุดทัศนียภาพภายในถ้ำก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
โถงถ้ำขนาดไม่ใหญ่มากนักปรากฏอยู่เบื้องหน้า
หากเทียบกับถ้ำอสรพิษในป่าแสงจันทร์แล้ว นับว่าโถงถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างมีขนาดเล็ก ตรงกลางของโถงมีหีบใบหนึ่งตั้งอยู่บนแท่นหิน พื้นที่ด้านข้างแท่นหินนั้นมีสระน้ำที่กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของโถงถ้ำ ณ จุดกึ่งกลางของสระน้ำมีรูปสลักมนุษย์ที่มีขนาดเท่าตัวจริงตั้งอยู่
มันเป็นรูปสลักของบุรุษกำยำผู้หนึ่งที่สร้างจากวัสดุสีดำสนิท ในมือขวาถือกระบี่ยาว รูปลักษณ์องอาจน่าเกรงขาม แต่เนื่องจากไม่มีกลิ่นอายหรือสภาวะพลังใด ๆ ถูกปล่อยออกมาจึงทำให้ฉินอวี้โม่คิดว่ามันน่าจะเป็นเพียงรูปสลักสำหรับตกแต่งธรรมดา ๆ เท่านั้น
อีกฟากหนึ่งของโถงแห่งนี้ยังมีทางให้ไปต่อได้ ณ ผนังถ้ำทางฝั่งนั้นปรากฏเป็นทางเข้าอุโมงค์อีกสามทาง อุโมงค์ทั้งสามนี้น่าจะเป็นเส้นทางที่นำพาให้เข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของถ้ำ หรืออาจจะเป็นปลายทางที่นำพาให้ออกไปสู่ภายนอกจากอีกด้านหนึ่ง อย่างไรก็ตามการจะเลือกเส้นทางไปต่อก็ควรจะทำอย่างรอบคอบให้มากที่สุด
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปในโถงถ้ำด้านหน้าอย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันก็ใช้พลังวิญญาณตรวจสอบดูพื้นที่โดยรอบ ไม่นานนักนางก็มั่นใจว่าไม่มีอันตรายใด ๆ คอยท่าอยู่ อดีตนักฆ่าสาวเลือกเดินตรงไปยังหีบที่วางอยู่กลางห้องเป็นอันดับแรก
หีบใบนี้มีสีน้ำเงิน มันวางอยู่บนแท่นหินยกสูงขนาดพอดีกัน ณ บริเวณขอบของสระน้ำ ฝาหีบปิดสนิทมองไม่เห็นด้านใน น่าสงสัยมากว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในหีบใบนี้บ้าง
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปใกล้หีบสีน้ำเงินอย่างช้า ๆ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสและเปิดมันออก
เมื่อฝาหีบถูกยกขึ้น คุณหนูตระกูลฉินก็มองเห็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง ใต้กระดาษแผ่นนั้นเป็นหีบที่มีขนาดเล็กกว่าอีกหนึ่งใบ
สตรีผู้ครอบครองกายเทพมายาหยิบกระดาษขึ้นมาเป็นอันดับแรก หลังจากอ่านเนื้อหาที่เขียนอยู่จนจบ นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
— ถึงนักผจญภัย
มีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ภายใต้หีบใบนี้ ทว่าก็มีอันตรายอนันต์แฝงเร้นอยู่ด้วย จะเลือกหยิบกล่องนี้หรือไม่ก็สุดแต่หัวใจของเจ้าเอง —
นี่คือเนื้อหาที่อยู่ภายในกระดาษแผ่นนั้น เมื่อได้อ่านมันฉินอวี้โม่ก็อมยิ้มน้อย ๆ
หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว มันเหมือนกับว่าตัวเอง ‘เธอ’ กำลังเล่นเกมเกมหนึ่ง ตอนนี้ ‘เธอ’ เจอหีบสมบัติ แต่ก็มีคำเตือนถึงอันตรายที่แฝงเอาไว้อยู่ด้วย นี่ไม่ต่างจากระบบของเกมที่กำลังให้เลือกว่าจะเปิดหีบเอาสมบัติและเผชิญอันตราย หรือไม่เปิดและยังรักษาชีวิตไว้ได้
ด้วยนิสัยชื่นชอบความท้าทายกอปรกับความคิดที่ว่าสมบัตินี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความลับของดินแดนต้องห้าม นักฆ่าในร่างคุณหนูจึงเลือกเปิดหีบสมบัติเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้สารเตือนนั้นอย่างไม่ลังเล
ขึ้นชื่อว่าสมบัติ ฉินอวี้โม่ย่อมไม่มีทางยอมพลาดมันไป ส่วนในเรื่องของอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นนางก็พร้อมเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
ทันทีที่เปิดหีบ ฉินอวี้โม่ก็ได้เสียง *คลิก* ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นเองจู่ ๆ รูปสลักที่อยู่กลางสระน้ำก็เริ่มเคลื่อนไหว ทว่าการเคลื่อนไหวของมันกลับเชื่องช้าเป็นอย่างมากจนยากจะสังเกตเห็น
แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ว่องไวของนักฆ่าทำให้ฉินอวี้โม่สังเกตเห็น นางกระโดดถอยหลังออกมาก่อนสองช่วงก้าวอย่างไม่ลังเล ดวงตาเนื้อทรายจับจ้องไปยังรูปสลักมนุษย์ที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ใบหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ร่างกายทุกส่วนเตรียมพร้อม
“ควับ !”
ทันใดนั้นเองเสียงประหลาดก็ดังขึ้นซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รูปสลักหายวับไปจากสระน้ำ ไม่ทันที่เสียงสะท้อนจะสิ้นสุดลง รูปสลักเคลื่อนที่ได้ก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่แล้ว
ในตอนนี้ รูปสลักมนุษย์ดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก
จากเดิมที่ทุกส่วนมีสีดำสนิทราวมณีนิล บัดนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
ส่วนที่สลักเป็นรูปเกราะเปลี่ยนเป็นสีเงินวาววับหุ้มรอบกาย กระบี่ยาวกลับกลายเป็นสีทองสุกปลั่ง ใบหน้าถูกคลุมด้วยหน้ากากโลหะสีเดียวกับเกราะ แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นนัยน์ตาของมันได้ แต่ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่ามันกำลังจ้องมองนางอยู่
“หลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดกล้ารบกวนการนอนของข้า !”
พร้อมกันนั้นเสียงอันทรงพลังของบุรุษก็ดังขึ้นจากรูปสลักลึกลับ
ฉินอวี้โม่ผงะไป ไม่คิดเลยว่ารูปสลักที่ดูธรรมดาจะเปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวราวมนุษย์จริง ๆ ได้ ในตอนนี้เมื่อได้เห็นมันใกล้ ๆ รวมถึงได้ฟังเสียง สิ่งประหลาดตรงหน้าก็ดูไม่ต่างจากมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อเจ้าอยากจะได้สมบัติเช่นนั้นก็ต้องเอาชนะข้าให้ได้ หากทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่อีก”
บุรุษผู้นั้นส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง ฉับพลันร่างกายกำยำก็พุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่ทันที
นับว่าสิ่งประหลาดนี้ว่องไวและเชี่ยวชาญเชิงยุทธ์อย่างถึง ไม่ถึงชั่วพริบตากระบี่ในมือก็เข้ามาใกล้จุดตายของคุณหนูนักฆ่าแล้ว
ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาทอย่างแน่นอน นางชักกระบี่ปีกจักจั่นออกมาป้องกันการจู่โจมได้อย่างหวุดหวิด
— เคร้ง ! —
เสียงกระบี่ปะทะกันดังก้องไปทั่วโถงถ้ำ ร่างบางของฉินอวี้โม่กระเด็นไปด้านหลังกว่าสิบก้าว พลังของสิ่งประหลาดนั้นรุนแรงอย่างยิ่งยวด
สตรีผู้ครองกายเทพมายารีบลุกขึ้นยืน มือที่จับกระบี่อยู่ชาจนไร้ความรู้สึก แม้ว่าการโจมตีเมื่อครู่ของมนุษย์ประหลาดจะไร้ซึ่งพลังมายา ทว่าเพียงแรงกระแทกอย่างเดียวก็รุนแรงจนนางแทบจะต้านทานไม่ได้แล้ว
แม้แต่ตอนที่ประลองกับหลินซิวหยาในศึกประชันยุทธ์ก่อนหน้านี้ หรือตอนที่สู้กับมังกรเหมันต์ในปราสาทเหมันต์ นางก็ยังไม่รู้สึกถูกกดดันเท่ากับตอนนี้เลย มันไม่ใช่แรงกดข่มจากพลังมายาที่แข็งแกร่งกว่า แต่เป็นความรู้สึกกดดันในส่วนลึก
ราวกับสัญชาตญาณกำลังร้องเตือนถึงความอันตรายของฝ่ายตรงข้าม
ฉินอวี้โม่ยังไม่ทราบเลยว่าสิ่งประหลาดตรงหน้านั้นใช่มนุษย์หรือไม่ แต่พลังของมันก็ทำให้นางเกิดหวาดหวั่นขึ้นมาในใจเสียแล้ว
“นายหญิง ดูเหมือนนั่นจะเป็น ‘หุ่นมายาในตำนาน’ !”
อสูรสาวหงส์แดงน่าจะทราบเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งน่ากลัวนี้ มันส่งเสียงอุทานออกมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก
ทว่าสิ่งประหลาดรูปร่างมนุษย์ก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว มันพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่อง