คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 192 เปิดศึกครั้งใหญ่
เบื้องหน้าของทุกคนมีประตูสีดำขนาดใหญ่ที่สูงกว่าเก้าจั้งปรากฏขึ้น เมื่อดูจากลักษณะภายนอกแล้วมันคงจะมีน้ำหนักมิใช่น้อยเลย
ประตูนี้ปิดสนิทและยังปกปิดกลิ่นอายของสิ่งที่อยู่ภายในได้อย่างมิดชิดทำให้สมาชิกทั้งคณะไม่รู้เลยว่ามีสิ่งใดรอคอยอยู่ด้านหลังประตูบานนั้นบ้าง
หลังจากหันหน้ามองกัน ทุกคนก็เดินตรงเข้าไปที่ประตูอย่างช้า ๆ
เมื่อมาถึงบานประตู สตรีมนุษย์เพียงคนเดียวในกลุ่มก็ยื่นมือออกไปเพื่อผลักมัน
ทว่าทันทีที่มือบางสัมผัสเข้ากับประตูบานใหญ่นั้น สัญชาตญาณระวังภัยของฉินอวี้โม่ก็ร้องเตือนดังลั่นในหัว บางอย่างที่น่ากลัวกำลังจู่โจมเข้ามา
อดีตนักฆ่าสาวพุ่งตัวหลบการโจมตีนั้นได้ในชั่วพริบตา ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่อยู่ห่างออกไป
เมื่อมองดูให้ชัด ๆ นางก็ค้นพบว่าการโจมตีเมื่อครู่มาจากบุรุษในชุดเกราะเงินแวววาว มันคือหุ่นมายาเช่นเดียวกับที่ ฉินอวี้โม่ มารยา และหงส์แดงได้เผชิญหน้าในโถงถ้ำก่อนหน้านี้
ทว่าในครานี้ กลับมีถึงสามตัว
ชัดเจนว่าหุ่นมายาทั้งสามคือผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูบานยักษ์ตรงหน้า และดูท่าพวกมันจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ประตูได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านประสบการณ์การต่อสู้กับหุ่นมายาตัวแรกมาแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหุ่นมายาทั้งสามตัวนี้ ฉินอวี้โม่และอสูรสาวทั้งสองจึงไม่ต้องกล่าวสิ่งใดกันอีก เพียงสบสายตาสองอสูรนารีก็เข้าใจความต้องการของผู้เป็นนาย
“อาไป๋ เพลิง ข้าอยากขอร้องให้เจ้าทั้งสองช่วยสกัดพวกมันไว้ก่อน !”
ฉินอวี้โม่หันไปขอความช่วยเหลือจากสหายอสูรผู้มาใหม่ทั้งสองโดยไม่รอช้า
สองหนุ่มอสูรพยักหน้าพลันกระโจนเข้าใส่หุ่นมายาทันที
ฉินอวี้โม่รีบรวบรวมและเร่งเร้าพลังวิญญาณจากภายในร่าง นางส่งมันเข้าไปในตัวหุ่นมายาเพื่อทำลายเศษเสี้ยวของพลังวิญญาณที่ผู้สรรค์สร้างหลงเหลือเอาไว้ มารยาเองก็ไม่คอยท่า อสูรสาวจ้าวอาคมส่งพลังวิญญาณเข้าส่งเสริมนายหญิงด้วยเช่นกัน ขอเพียงทำลายพลังเหล่านี้ได้หมด หุ่นทั้งสามก็จะกลับกลายเป็นรูปปั้นแกะสลักอีกครั้ง
ด้วยพลังส่งเสริมจากมารยา ใช้เวลาเพียงไม่นานนักฉินอวี้โม่ก็จัดการกับวิญญาณในหุ่นมายาทั้งสามจนสมบูรณ์ หลังจากจัดเก็บพวกมันไว้ในกำไลมิติแล้ว ช่างหลอมผู้มากพรสวรรค์ก็เดินตรงเข้าหาบานประตูโดยไม่ลังเล
ทันทีที่ประตูถูกผลักออก ภาพพื้นที่ภายในก็เผยสู่สายตาสมาชิกคณะเดินทาง
หลังบานประตูนั้นเป็นโถงถ้ำที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ หากสถานที่แห่งนี้มิใช่อยู่ในถ้ำก็เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อว่านี่คือโถงถ้ำ เพราะพื้นที่ภายในนี้ถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ทว่าสิ่งที่ตระการตาที่สุดคือกองเหรียญทองขนาดมหึมาที่สูงเกือบถึงเพดานถ้ำ ในห้องนี้มีเหรียญทองมากมายมหาศาลโดยแท้ ไม่เพียงแต่เหรียญทองที่กองอยู่แต่พวกมันยังตกกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนพื้นจนแทบมองไม่เห็นพื้นถ้ำเบื้องล่าง นี่บ่งบอกว่าโถงถ้ำแห่งนี้น่าจะเป็นของมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่ง
ท่ามกลางกองเหรียญทองขนาดใหญ่นั้นมีสิ่งดึงดูดใจเหลือล้นอยู่อย่างหนึ่ง มันคือหีบสมบัติสีทองอร่ามสวยงามชวนหลงใหล
ถัดมาไม่ไกล ณ ใจกลางของโถงถ้ำมีบัลลังก์ขนาดใหญ่สีทองเป็นประกายตั้งอยู่ บัลลังก์ทองนี้ไม่มีผู้ใดนั่งทว่ามันกลับมิได้ว่างเปล่า เพราะในอากาศสูงขึ้นไปเหนือบัลลังก์เล็กน้อยมีก้อนแสงแปลกประหลาดลอยอยู่ ก้อนแสงนั้นกำลังหมุน มันหมุนวนอยู่กับที่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
“ดูเหมือนโถงแห่งนี้น่าจะเป็นส่วนลึกที่สุดของถ้ำแล้ว ความลับทั้งหมดน่าจะอยู่ภายในนี้ไม่ผิดแน่”
ฉินอวี้โม่มองสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างระมัดระวัง ในที่สุดสายตาของนางก็หยุดยั้งลง สิ่งน่าสนใจของ สถานที่แห่งนี้มีสองอย่าง หากคาดเดาไม่ผิดความลับทั้งหมดน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งหนึ่งในสองสิ่งนี้ หรือมีความเกี่ยวพันกับพวกมันทั้งคู่
อย่างแรกคือหีบสมบัติที่อยู่ท่ามกลางกองเหรียญทอง อาจเป็นไปได้ว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในหีบทองใบนี้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กลับรู้สึกว่าความเป็นไปได้ของมันยังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งสะดุดตาอันถัดไป
เจ้าสิ่งนั้นคือบัลลังก์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ฉินอวี้โม่มีเอนเอียงไปทางด้านของความคิดที่ว่าความลับน่าจะซ่อนอยู่กับบัลลังก์สีทองนี้ ที่สำคัญสูงขึ้นไปเหนือตัวบัลลังก์ยังมีก้อนแสงประหลาดหมุนวนอยู่ไม่หยุดยั้ง
หนึ่งมนุษย์หลายอสูรหันมองหน้ากัน ก่อนที่ฉินอวี้โม่อสูรสี่ตนจะพร้อมใจก้าวเดินเข้าไปในโถงถ้ำอลังการตรงหน้า
— ปัง ! —
ทันทีทุกคนล่วงพ้นธรณีประตู บานประตูสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ปิดงับอีกครั้งจนเกิดเสียงดังสนั่น
ยิ่งเข้าใกล้และยิ่งได้มองเหรียญทองจำนวนมหาศาลที่อยู่ภายในห้องนี้ ฉินอวี้โม่ก็อึ้งจนพูดไม่ออก หลังจากประมูลอสูรมายาในนครไป๋อวิ๋นจนได้เงินมากมาย อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็คิดว่าตัวเองคือสตรีที่มั่งคั่งจนยากจะหาผู้เท่าเทียม ทว่าหากเทียบกับเจ้าของถ้ำนี้แล้ว นางแทบจะเรียกว่าธรรมดาไปเลยด้วยซ้ำ
เพราะแค่เหรียญทองที่ตกอยู่บนพื้นอย่างเดียวก็มากกว่าเหรียญทองที่ฉินอวี้โม่ครอบครองอยู่มากมายหลายเท่า แทบจะเรียกว่ามากกว่าที่นางเคยสะสมมาตลอดเลยด้วย หลังจากก้าวผ่านเข้ามาในห้องได้ทุกคนก็พบว่าพวกเขาแทบจะไม่มีที่ยืนด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะหันไปที่ใดก็เต็มไปด้วยแต่เหรียญทอง ในที่สุดเมื่อเลี่ยงไม่ได้ทุกคนจึงต้องเหยียบย่ำบนเหรียญทองเหล่านั้นอย่างช่วยไม่ได้
‘ อู้หู ทองทั้งนั้นเลย !’
‘ว้าวววว ~ ขาใหญ่รวยล้นฟ้า’
‘สุดยอด !’
‘เจ้าเหรียญวิบวับนี่มีเจ้าของไหมนะ ถ้าจะขอแบ่งหน่อยเขาจะยอมหรือเปล่า ?’
เสี่ยวเฮยและพวกพ้องอสูรที่อยู่ในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่ส่งเสียงอุทานอู้อ้าออกมาอย่างตื่นเต้น ฉินอวี้โม่เองก็คิดว่าพวกมันพูดถูก เจ้าของสมบัติในถ้ำแห่งนี้เรียกได้ว่ารวยล้นฟ้าจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ทั้งมนุษย์และอสูรสวรรค์ต่างก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะกอบโกยเหรียญทองเหล่านี้ ทุกคนเลือกเดินไปยังกองเหรียญทองที่เป็นที่ตั้งของหีบน่าสงสัยนั้นก่อน
หีบสีทองอร่ามนี้มีขนาดใหญ่กว่าหีบใบแรกที่ฉินอวี้โม่พบเห็นในห้องก่อนหน้า อีกทั้งยังดูเหมือนว่าภายในหีบจะมีสมบัติซุกซ่อนอยู่ไม่น้อยด้วย
ฉินอวี้โม่เดินไปด้านหนึ่งของหีบทองแล้วลองยกฝาหีบอย่างช้า ๆ
ทว่าในตอนที่ส่วนฝาขยับกลับไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น นางเปิดมันได้อย่างง่ายดายและมองเห็นสิ่งของที่อยู่ภายในทันที
ภายในหีบมีสิ่งของหลายอย่างดังที่คาด
มันมีทั้งหีบขนาดเล็ก ตำรา ขวดกระเบื้องใส่โอสถ รวมถึงเตาหลอม
อาไป๋และเพลิงมองสิ่งของในหีบด้วยสายตาสายเบื่อหน่ายไร้ความสนใจ พวกมันหันหน้ามองกันก่อนจะผละออกไปยังจุดที่มีบัลลังก์ตั้งอยู่อย่างช้า ๆ
ฉินอวี้โม่หยิบขวดโอสถขวดขึ้นมาเป็นอันดับแรก หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดนางก็มั่นใจว่ามันคือโอสถผสานสวรรค์ และนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจไม่น้อย
โอสถผสานสวรรค์ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีผลต่อการพัฒนาพลัง ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการครอบครอง …หากนำมันไปมอบให้สหายของนางก็นับเป็นความคิดที่ดี หรือถ้าจะนำมันออกประมูลก็จะได้เงินมหาศาล
เนื่องจากโอสถผสานสวรรค์นี้ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับอสูรมายา ฉินอวี้โม่จึงถือวิสาสะเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติของตัวเองเสีย ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดไปพลาง ๆ ว่าหลังจากออกไปจะนำมันไปมอบให้สหายคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับมันไป
จากนั้นคุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่าก็หยิบสมบัติอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาจากหีบ และของสิ่งนั้นก็คือเตาหลอม
มันเป็นเตาหลอมสามขาที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ผิวสัมผัสให้ความรู้สึกมันเรียบลื่นมันวาว มันถูกสร้างขึ้นจากหยกเนื้อดีที่แกะสลักอย่างประณีตบรรจง
เมื่อได้ยกจับดูเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ค้นพบว่ามันมีน้ำหนักที่เบาอย่างยิ่ง มิใช่เพียงเบากว่าปกติ แต่กลับเบาจนเสมือนไร้น้ำหนักเลยก็มิปาน
และเมื่อลองพลิกดู คุณหนูคนงามก็เห็นว่า ที่ด้านข้างของเตามีอักษรขนาดเล็กมากสามคำถูกสลักไว้ ซึ่งถ้าหากไม่พินิจดูอย่างละเอียด ตัวนางเองก็อาจจะมองข้ามมันไปแล้ว
เมื่อได้อ่านอักษรทั้งสามโฉมงามตระกูลฉินเบิกตากว้าง นางทั้งรู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความดีใจเป็นล้นพ้น
‘เตาหยกโมรา’ นี่คือตัวอักษรที่สลักอยู่บนเตาหลอมหยก และเป็นสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึง
ตามประวัติศาสตร์แห่งช่างหลอมแล้ว ช่างหลอมที่เป็น ‘สุดยอดฝีมือระดับตำนาน’ มีอยู่ทั้งหมดสิบคนด้วยกัน และกล่าวกันว่าแต่ละคนก็จะมีเตาหลอมส่วนตัวเป็นของตัวเองหรือที่เรียกขานว่า ‘เตาหลอมประจำกาย’ เตาหลอมประจำกายนี้จะอยู่คู่กายยอดฝีมือทั้งสิบ โดยพวกเขาจะใช้มันสรรค์สร้างชิ้นงานที่เป็นระดับสุดยอดมากที่สุด
ขึ้นชื่อว่าการสร้างชิ้นงานก็ไม่ต่างจากศิลปะ ยิ่งผู้มีประสบการณ์โชกโชนผลงานก็จะยิ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ในการหลอมชิ้นงานแต่ละอย่างนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบมากมาย ซึ่งเตาหลอมเองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญมาก
ดังนั้นแล้ว ยอดฝีมือจึงเลือกสรรเตาหลอมหรือวัสดุสำหรับสร้างเตาหลอมด้วยความประณีต แน่นอนว่าเตาหลอมประจำกายแห่งผู้เป็นสุดยอดฝีมือระดับตำนานก็จะต้องเป็นเตาหลอมในระดับตำนานที่เป็นสุดยอดแห่งสุดยอดด้วยเช่นกัน
กาลเวลาผ่านไป เมื่อช่างหลอมผู้เป็นตำนานทั้งสิบล่วงลับดับหาย เตาหลอมที่เป็นสมบัติประจำกายก็ตกทอดสู่ลูกหลาน ก่อนถูกส่งผ่านมือต่อมือมาจนถึงคนรุ่นหลัง จากนั้นมามันก็ถูกเรียกขานกันว่า ‘เตาหลอมในตำนาน’ แน่นอนว่าเตาหลอมประจำกายที่กลายเป็นตำนานทั้งสิบย่อมเป็นที่ใฝ่ฝันของช่างหลอมทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าผู้ใดก็อยากได้จะสมบัติในระดับนี้มาครอบครอง
เตาหยกโมราชิ้นนี้ถูกจัดอยู่ในอันดับสามจากทั้งสิบเตาหลอมในตำนาน เตาหลอมหยกนี้จึงถือเป็นสมบัติในหมู่สมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้
เตาหยกโมรานั้นมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถควบคุมความร้อนได้อย่างยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือมันทนทานต่อไฟทุกชนิด และไม่มีเพลิงใด ๆ สามารถหลอมละลายมันได้ ว่ากันว่าหากใช้เตาหยกนี้หลอมสิ่งหลอมก็จะเพิ่มโอกาสสำเร็จได้หลายส่วน มันถือเป็นหนึ่งในเตาหลอมที่ทรงพลังยิ่งยวด
ฉินอวี้โม่ไม่เพียงสนใจและมีพรสวรรค์ในศาสตร์การหลอมเท่านั้น แต่นางยังใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นสุดยอดช่างหลอมให้ได้ ช่างหลอมโฉมงามเชื่อว่าหากได้ใช้เตาหยกโมรานี้ก็พลังในการสรรค์สร้างสิ่งหลอมของนางก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นได้เป็นแน่
“นายหญิง อย่ามัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เลย รีบทำพันธสัญญากับเตานั่นจะดีกว่า”
เมื่อเห็นท่าทางของฉินอวี้โม่ มารยาก็กล่าววาจาล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเรื่องตำนานของเตาหยกโมราอสูรสาวแห่งป่าเหมันต์เคยได้ยินมาบ้าง มันคือสิ่งของระดับสูงที่มีโอกาสพัฒนาวิญญาณจนถึงขั้นจำแลงร่างมนุษย์ได้เลย นี่นับเป็นสมบัติเลอค่าอันไร้ที่เปรียบ
ฉินอวี้โม่พยักหน้า การจะสร้างพันธสัญญากับสิ่งของอย่างเช่นเตาหยกโมรานี้ แตกต่างจากการทำพันธสัญญากับอสูรมายาอยู่ส่วนหนึ่ง นั่นคือผู้ทำพันธสัญญาจะต้องกรีดเลือดแล้วหยดลงไปบนสมบัตินั้น ๆ เพื่อให้มันจดจำในฐานะผู้ครอบครอง
หลังจากที่เลือดของฉินอวี้โม่ถูกหยดลงไปบนเตาหยกโมราแล้ว เตาหยกโมราก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นควันก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปยังจุดที่อยู่กลางหน้าผากของฉินอวี้โม่แล้วหายวับไป ในตอนนี้นางได้เชื่อมต่อทางจิตวิญญาณกับเตาหลอมอันดับสามในตำนานแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ต้องการ นางก็สามารถเรียกมันออกมาใช้งานได้ตลอดเวลา
หลังจากทำพันธสัญญากับเตาหยกโมราเสร็จสิ้น สมบัติชิ้นต่อไปที่ดึงดูดสายตาของฉินอวี้โม่ก็คือตำราที่เคยอยู่เคียงข้างเตาหยก ทว่าในตอนที่นิ้วเรียวขาวผ่องเพิ่มสัมผัสถูกปกหนังสากระคาย นักฆ่าในร่างคุณหนูก็รู้สึกว่ามีคนบางคนจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่รีบส่งตำราและของอื่น ๆ เข้าไปในแหวนมิติอย่างไม่ลังเล ไว้รอจนแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ได้ก่อนนางถึงจะนำมันออกมาดูภายหลัง
ฉินอวี้โม่กระโดดถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็วราวกับเงาเพื่อหลบหนีจากการโจมตีของบุรุษผู้นั้น
ต้องบอกเลยว่าหลังจากที่วิชาเท้าทะยานคลื่นก้าวหน้าไปอีกขั้น ความเร็วในตอนนี้ของนางถือว่าน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความแข็งแกร่งในระดับอสูรสวรรค์จักรพรรดิ แต่ก็ยังไม่สามารถตามความเร็วของนางทันได้
“ภูผาทมิฬ เจ้าทำอะไรของเจ้า !”
หงส์แดงโพล่งออกมาด้วยความโกรธ พื้นโถงถ้ำในจุดที่ฉินอวี้โม่เคยอยู่ก่อนหน้านี้มีภูผาทมิฬยืนอยู่แทน
“น่าเสียดายจริง ๆ การลอบโจมตีของข้าเกือบจะสำเร็จแล้วแท้ ๆ”
ภูผาทมิฬยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าว “สตรีมนุษย์ หากว่าเจ้าส่งสมบัติที่อยู่ในมือเจ้ามาให้ข้า ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า”
“หึ วาจาช่างโอหังยิ่งนัก เจ้ามันก็แค่หมีดำตัวน้อย ๆ ต่อให้เป็นอสูรสวรรค์จักรพรรดิ ข้าก็ไม่เคยคิดกลัวเจ้า !”
ฉินอวี้โม่จ้องมองภูผาทมิฬพลางกล่าววาจาเย้ยหยัน สีหน้างดงามยังเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
‘อสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิตนนี้คงคิดจริง ๆ สินะว่านางหวาดกลัว ถ้าไม่ใช่เพราะนางยังคงเกรงใจผู้เป็นสหายเก่าของหงส์แดง นางคงจะสั่งสอนให้ภูผาทมิฬตนนี้ได้รู้สำนึกว่าผู้ที่ขวัญกล้าคิดปล้นชิงสมบัติของสตรีนามฉินอวี้โม่ผู้นี่จะมีจุดจบอย่างไร’
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าฟังจากคำพูดแล้ว เจ้าดูโอหังยิ่งกว่าข้าอีกนะ”
เมื่อได้ยินวาจาโต้ตอบของฉินอวี้โม่ ภูผาทมิฬก็หัวเราะเสียงดังลั่น
“ข้าไม่รู้เลยว่า อะไรที่ทำให้มนุษย์ที่ยังไม่ก้าวถึงระดับทูตสวรรค์อย่างเจ้าโอหังได้ขนาดนี้ มนุษย์น้อยต่อหน้าจักรพรรดิอสูรสวรรค์ เจ้ามันก็แค่ทารกอมมือ !”
อสูรหมีดำในร่างมนุษย์เสียดสีฉินอวี้โม่ ก่อนจะหันไปแสยะยิ้มให้หงส์แดง “หงส์แดง ดูเหมือนเจ้านายที่เจ้าเลือกจะไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย นอกจากฝีปากน่าตายนั่น !”
เมื่อได้ยินวาจาดูหมิ่นนายหญิงของตนจากอีกฝ่าย หงส์แดงก็จ้องมองอดีตสหายด้วยสายตาเย็นชา “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ที่สำคัญ นายหญิงของข้าก็บอกอยู่ว่าพวกเราไม่กลัว ‘หมีดำตัวน้อย ๆ’ อย่างเจ้า !”
“ฮ่า ๆ ๆ หงส์แดง เจ้าคงจะไม่ลืมหรอกนะว่าพวกเรามีอยู่ด้วยกันถึงสี่ตัว”
ภูผาทมิฬยังคงยิ้มเย้ย ในตอนนั้นเองที่วิฬารหางสั้น ชะนีแขนยาวและลิ่นพงไพรปรากฏกายขึ้นข้างตัวมัน
หงส์แดงขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้นางจะเชื่อว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่ง แต่อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า ที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามก็มิใช่อสูรธรรมดาทั่วไป ในตอนนี้อสูรสาวกำลังวิตกกังวลอย่างหนักหน่วง
“ภูผาทมิฬ ความลับของที่นี่ยังไม่ถูกไขให้กระจ่าง ข้าว่าพวกเจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวจะดีกว่า”
เสียงแหบห้าวของเพลิงดังขึ้นมา ก่อนที่ร่างของอสูรหนุ่มจะปรากฏตัวเคียงข้างฉินอวี้โม่
อาไป๋เองก็เลิกสนใจบัลลังก์สีทองแล้วเช่นกัน กระเรียนขาวบรรพกาลรีบพุ่งมายืนข้างกายสตรีมนุษย์ผู้เป็นความหวังแห่งการคลายความลับนี้เพื่อคอยช่วยเหลือนางเช่นกัน
“เพลิง อาไป๋ นี่พวกเจ้าเลือกจะร่วมมือกับมนุษย์ผู้นี้อย่างนั้นรึ ?”
เมื่อเห็นกระเรียนขาวบรรพกาลและคชสารโลหิตปรากฏตัวข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ ภูผาทมิฬก็แค่นเสียงค่อนแคะสหายทั้งสอง
“พวกเราเพียงต้องการจะไขความลับของที่นี่เท่านั้น มนุษย์ผู้นี้คือกุญแจดอกเดียวสำหรับพวกเรา ข้าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องนาง !”
เพลิงกล่าววาจาเสียงหนักแน่น เขาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าฉินอวี้โม่จะต้องไขความลับของที่นี่ได้
“เหอะ ในเมื่อพวกเราทุกตัวเข้ามาที่นี่ได้แล้ว ต่อให้ไม่มีมนุษย์ผู้นี้ พวกเราก็ไขความลับกันเองได้”
ภูผาทมิฬตอบโต้เสียงเย็นชา ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะหลงผิดไปกับหงส์แดง ยอมศิโรราบเป็นทาสรับใช้มนุษย์เยี่ยงนี้ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
อสูรหนุ่มวงศ์กระเรียนและอสูรเผ่าไอยราไม่สนใจวาจาระคายหูของภูผาทมิฬแม้แต่น้อย ทั้งสองตนไม่มีความคิดจะโต้ตอบกลับไป
ภูผาทมิฬ ชะนีแขนยาว วิฬารหางสั้น และลิ่นพงไพรในตอนนี้ไม่ใช่สหายตนเดิมตนเดียวกับที่ สองอสูรเคยรู้จักอีกแล้ว บัดนี้อสูรทั้งสี่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จิตใจของพวกมันราวกับถูกบางอย่างแทรกแซงจนผิดปกติ ในแววตาของสี่อสูรมีแต่ความขุ่นมัว พวกมันเห็นแก่ตัวไม่เห็นหัวผู้ใด
ดังนั้นไม่ว่าจะอธิบายเหตุผลอย่างไร พวกมันก็คงไม่เชื่อ
“เหอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่ามาโทษพวกเราทีหลังแล้วกัน !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของภูผาทมิฬ พวกพ้องอสูรทั้งสามตนของมันก็พุ่งเข้าจู่โจมพวกฉินอวี้โม่ไม่รอช้า
หงส์แดงรีบกระโดดเข้าไปรับมือกับวิฬารหางสั้น อาไป๋กับเพลิงเข้าไปหยุดชะนีแขนยาวและลิ่นพงไพรเอาไว้ ส่วนมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวอย่างฉินอวี้โม่นั้นต้องต่อกรกับภูผาทมิฬจักรพรรดิอสูรสายพันธุ์หมี
“หมีดำ ข้าไม่เคยทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคือง แล้วเหตุใดเจ้าต้องลงมือกับข้าด้วย ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางหลบหลีกการโจมตีของภูผาทมิฬ “หรือว่าพวกเจ้ากลัวว่าข้าจะไขความลับของที่นี่ได้ ? ทำเช่นนั้นพวกเจ้าจะลำบากใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากให้อาไป๋กับเพลิงเป็นอิสระ ?”
สีหน้าของภูผาทมิฬเปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับถูกฉินอวี้โม่เอ่ยแทงใจดำ ทว่ามันก็ไม่ได้โต้ตอบกลับมา พลันอสูรเผ่าหมีในร่างบุรุษชุดดำก็เร่งความเร็วโจมตีฉินอวี้โม่อย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ฮ่า ๆ ๆ ”
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังต่อสู้กันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแสนโอหังดังขึ้น ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่เห็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏอยู่ด้านข้างบัลลังค์สีทองใกล้กับจุดที่มีก้อนแสงหมุนวนอยู่ ยังไม่ทันที่ผู้ใดจะเข้าใจสถานการณ์ มือแข็งแรงก็ยื่นออกมาเพื่อจับคว้าก้อนแสงนั้นแล้ว…