คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 194 มารทรชน
“ฮ่า ๆ ๆ อสูรในตำนานหงส์แดง อสูรสวรรค์จักรพรรดิศักยภาพสูงอีกสองตัว และยังมีมนุษย์โฉมงามอีกหนึ่งคน ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะได้กินอาหารที่แสนวิเศษอีกมื้อหนึ่งแล้ว !”
บุรุษปริศนาจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย พลังสีดำอันแปลกประหลาดปลดปล่อยออกมาจากร่างพลันพุ่งเข้าจู่โจมคุณหนูตระกูลฉินและสหายอสูรของนาง
“เจ้าเป็นใคร ?”
ฉินอวี้โม่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย นางปล่อยให้พลังงานสีดำหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายโดยไม่คิดต่อต้าน เพราะในทันทีที่พลังแปลกประหลาดรุกล้ำเข้ามาได้มันก็ถูกกายเทพมายากำจัดออกไปจนหมดสิ้น พลังสีดำนี้ไม่มีผลใด ๆ กับนางเลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ใช้ร่างตนเองเป็นเกราะกำบังช่วยเหลือสหายอสูร พลังอันน่าหวาดหวั่นจึงถูกนางแบกรับไว้จนเกือบหมด ทว่าก็ยังมีเศษเสี้ยวของพลังที่หลงเหลืออยู่พุ่งเข้าใส่หงส์แดงและสองอสูรหนุ่ม แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังแต่ก็ยังส่งผลกระทบอันรุนแรง เพียงถูกมันปะทะร่างชั่วอึดใจ พลังมายาในกายของอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิทั้งสามอ่อนแอลงไปอย่างมหาศาล
โชคยังดีที่มารยานั้นถูกฉินอวี้โม่สั่งให้หลบเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรตั้งแต่ก่อนหน้า เพราะเกรงว่าอสูรสาวจะต้านทานพลังหมอกพิษไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่มีผู้ใดรู้จักข้าอีกแล้วรึ ? เอาเถอะ ข้าถูกผนึกมาหลายพันปีแล้ว ถึงเจ้าจะไม่รู้ก็คงไม่แปลก”
บุรุษปริศนาหัวเราะออกมา ก่อนจะส่งกระแสพลังสีดำเข้าล้อมร่างของฉินอวี้โม่อีกครั้ง
— ฟึบ ! —
เปลวเพลิงสีแดงปรากฏขึ้นในมือฉินอวี้โม่ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสิ่งใดเพลิงของซิวก็ยังไร้เทียมทานเสมอ หญิงสาวอดีตนักฆ่าจึงอยากจะลองดูว่าจะใช้มันต้านทานพลังงานสีดำอันร้ายกาจนี้ได้หรือไม่
และทันทีที่เปลวไฟปะทุขึ้น ไอพลังสีดำที่เข้าใกล้ฉินอวี้โม่ก็สลายหายไปในพริบตา ดูเหมือนว่าพลังชั่วร้ายจะเกรงกลัวเพลิงของซิว
อสูรทั้งหลายเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามายืนใกล้ร่างฉินอวี้โม่ พวกมันเข้าใจในตอนนั้นว่า ขอเพียงไม่ออกห่างจากตัวสหายมนุษย์ผู้นี้ก็จะไม่ถูกหมอกสีดำนั้นเล่นงาน
หงส์แดงเองก็ไม่รีรอ พลันปลดปล่อยเปลวเพลิงของตัวเองออกมาห่อหุ้มร่างกาย
หงส์แดงเป็นอสูรธาตุไฟที่มีพลังเพลิงอันศักดิ์สิทธิ์ หมอกสีดำแสดงความหวาดหวั่นต่อเพลิงของหงส์แดงอย่างเห็นได้ชัด พวกมันถอยร่นในพริบตา และไม่กล้าเข้ามาใกล้อีก
“หืม ? น่าสนใจดีนี่”
เมื่อเห็นว่าเหยื่อมีพลังเพียงพอที่จะดิ้นรนต่อต้านได้ บุรุษปริศนาก็แสยะยิ้มเย็นชา ดูเหมือนว่าสตรีตัวน้อยตรงหน้ารวมถึงเหล่าอสูรข้างกายคงจะจัดการได้ไม่ง่ายเสียแล้ว
“ว่าแต่ เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเปลวเพลิงของเจ้านัก ?”
บุรุษปริศนาเกิดความสงสัยขึ้นมา เปลวเพลิงในมือของฉินอวี้โม่ทำให้มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้นในส่วนลึกของจิตใจมันยังรู้สึก ‘หวาดหวั่น’ ต่อเปลวเพลิงนี้อย่างประหลาด
ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของบุรุษในม่านหมอกทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย หรือว่าคนผู้จะเป็นสิ่งคุ้นเคยที่ซิวเอ่ยถึง ทว่าเวลานี้อสูรแห่งพันธสัญญาของนางยังคงไม่ตื่นขึ้นมา ไม่ว่าข้อสันนิษฐานจะจริงหรือไม่นางก็คงไม่อาจรู้ได้ในตอนนี้
“สาวน้อย เจ้าไปได้เปลวเพลิงนี้มาจากที่ใด ?”
จู่ ๆ บุรุษปริศนาก็หยุดการโจมตี เงาผู้ชั่วร้ายคล้ายปีศาจไม่เคลื่อนไหวสิ่งใดอีก แต่กลับจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถามเสียงจริงจัง
“เรื่องนั้นข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”
ฉินอวี้โม่โต้ตอบอย่างไม่หวั่นเกรง แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะทำให้นางตึงเครียดเป็นอย่างมาก อีกยังรู้สึกกดดันด้วยพลังที่เหนือชั้นของอีกฝ่าย ทว่าอดีตมือสังหารอย่างฉินอวี้โม่ก็จะไม่ยอมให้ศัตรูได้ล่วงรู้ถึงความอ่อนแอ
แม้ว่าปีศาจตรงหน้าจะน่ากลัวจนนางเองก็ไม่อาจต้านทานความหวาดหวั่นที่เกาะกินจิตใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องมีจุดอ่อน เห็นได้ชัดว่าไฟที่ทรงพลานุภาพทำให้พลังของมันล่าถอยได้ คุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่าจึงเชื่อว่าศัตรูผู้นี้ไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างที่เห็นแน่
“ที่เจ้าทำให้ร่างกายของภูผาทมิฬกับอสูรอีกสามตนสลายกลายเป็นควันไปเมื่อครู่ เป็นเพราะเจ้าส่งพลังของตัวเองเข้าไปในร่างของพวกเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วสินะ มันคงจะคอยกัดกินพวกเขาทีละน้อยจนอ่อนแอและถูกเจ้าสังหารได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น”
เมื่อนึกถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็เกิดข้อสงสัย
กลุ่มภูผาทมิฬทั้งสี่เป็นถึงอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษปริศนาผู้นี้กลับดูอ่อนแอราวอสูรมายาระดับภูต พวกมันสิ้นไร้พลังอำนาจใด ๆ ที่จะใช้ต่อต้านได้เลย ซึ่งก็น่าแปลกเป็นอย่างมากเพราะถ้าหากบุรุษปริศนาผู้นี้ทรงพลังถึงขั้นนั้นจริง ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามก็น่าจะถูกพลังของมันทำให้กลายเป็นควันไปนานแล้ว เพียงแค่เปลวเพลิงขนาดเล็กของซิวกับเพลิงอสูรของหงส์แดงคงไม่น่าจะต้านทานได้เช่นตอนนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มีความสามารถร้ายกาจนัก ที่เขาปลิดชีพอสูรระดับสูงราวเป่าลมใส่ฝ่ามือเช่นนั้นได้น่าจะเป็นเพราะเตรียมการไว้ก่อนนานแล้ว ฉินอวี้โม่จึงกล่าวข้อสันนิษฐานออกไปเพื่อลองเชิงอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ที่ได้ฟังหงส์แดงเล่า ภูผาทมิฬและพวกพ้องยังไม่ได้เป็นเช่นทุกวันนี้ พวกเขาคงจะถูกพลังบางอย่างกัดกินจิตใจทำให้ความคิดเปลี่ยน เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วบุรุษปริศนาผู้นี้คงไม่ได้เล่นงานแค่จิตใจเป็นแน่ แต่พลังของเขาคงแทรกซึมไปทุกอณูของร่างกาย คอยกัดกร่อนและกลืนกินทุกส่วน ในเมื่อเตรียมการไว้ดังนี้แล้วการจะเอาชีวิตอสูรสวรรค์ทั้งสี่ไปก็ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นสาวน้อยที่ฉลาดยิ่งนัก”
เมื่อได้ฟังวาจาของฉินอวี้โม่ บุรุษปริศนาก็หัวเราะเสียงดังลั่น นั่นเป็นเพราะสตรีผู้นี้คาดเดาได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมาก เขาจึงอดชื่นชมนางไม่ได้
“แต่น่าเสียดาย แม้ว่าจะฉลาด แต่อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันตายของเจ้า !”
อย่างไรก็ตาม ในประโยคถัดมาเสียงของบุรุษปริศนาก็เปลี่ยนไปจากเดิม มันทั้งแน่วแน่และดุร้าย ขณะเดียวกันนั้นเองหมอกสีดำจำนวนมหาศาลก็พุ่งตรงเข้าใส่กลุ่มของฉินอวี้โม่
“เหอะ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าวันนี้ใครกันแน่ที่ต้องตาย !”
ฉินอวี้โม่สาดวาจาตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเย็าชาไม่กลัวเกรง เปลวเพลิงในมือของนางปะทุขึ้นอย่างร้อนแรง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับหมอกสีดำที่กำลังบุกจู่โจม
— เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ! ฉ่า~ —
เสียงแตกปะทุและเสียงฉี่ฉ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเพลิงสีแดงปะทะกับหมอกสีดำปะทะ และด้วยความทรงพลานุภาพนั้นทำให้มันก้องสะท้อนและสั่นสะเทือนไปถึงทางเดินนอกโถงถ้ำ
“เป็นเพลิงที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้ !”
ทันทีที่เห็นว่าหมอกทมิฬของตนเองถูกเปลวเพลิงของฉินอวี้โม่เผาจนสลายไปหมดสิ้น บุรุษปริศนาในม่านหมอกก็อดจะกล่าวชื่นชมเปลวเพลิงนั้นอีกหนึ่งประโยคไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ปรากฏท่าทีเกรงกลัวให้เห็นแม้แต่น้อย
“สาวน้อย เจ้าคิดหรือว่าแค่มีเปลวเพลิงนั่นแล้วจะเอาชนะข้าได้ ?”
บุรุษปริศนากล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา กลิ่นอายรวมถึงสภาวะพลังที่ปลดปล่อยออกมาแข็งแกร่งและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ในครั้งนี้พลังของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นพลังงานลึกลับที่แปลกประหลาดอีกต่อไป แต่มันคือพลังที่ฉินอวี้โม่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ผิดแน่คนผู้นี้กำลังใช้ ‘พลังมายา’
อย่างไรก็ตาม พอได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของบุรุษปริศนา สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนไปทันที
นางสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นี้เหนือชั้นยิ่งกว่าอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิ ! พลังของเขาอยู่สูงขึ้นไปยิ่งกว่านั้นมาก ซึ่งเป็นพลังในระดับที่ฉินอวี้โม่ไม่มีทางต่อต้านได้เลย
“หึหึ สาวน้อย เช่นนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าวันนี้ตัวเองยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่อีกรึ ?”
ชายปริศนายังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า พริบตาเดียวร่างกายของเขาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ พลันฝ่ามือก็พุ่งเข้าจู่โจมนางในทันที
ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นความเร็วที่เหนือชั้นจนน่าหวาดหวั่น แม้ว่าวิชาเท้าทะยานคลื่นของคุณหนูสี่ตระกูลฉินจะพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังนับว่าช้ากว่าคนผู้นี้อยู่ขั้นหนึ่ง
สายเกินไปแล้วที่จะหลบหนี ฉินอวี้โม่จึงได้แต่เร่งพลังมายาทั้งหมดในร่างกายออกมาสร้างม่านพลังเพื่อป้องกันการโจมตี ในเวลาเดียวกันก็ส่งฝ่ามือออกไปรับมือการจู่โจมของศัตรู
— ปัง ! —
ร่างของฉินอวี้โม่กระเด็นไปในอากาศก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังถ้ำที่อยู่ไม่ไกลอย่างรุนแรง นักฆ่าในร่างคุณหนูกระอักเลือดออกมาคำโต
หลังจากพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ฉินอวี้โม่ก็หยัดกายขึ้นได้ดังเดิม มือบางเช็ดเลือดที่มุมปากทิ้งโดยไม่ไยดี บุรุษปริศนาผู้นี้แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่านางจะใช้พลังทั้งหมดป้องกันไว้แล้วแต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ถูกซัดกระเด็นไป สีหน้าของหงส์แดงและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไป พลันสามอสูรก็พุ่งเข้าจู่โจมบุรุษปริศนาไม่รอช้า ทว่าก็ถูกอีกฝ่ายซัดกระเด็นออกไปทีละตัวอย่างไร้หนทางต่อต้าน
ความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้อยู่เหนือขึ้นไปอีกระดับ แม้ว่าพวกหงส์แดงจะเป็นอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิแต่ก็ยังไม่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านได้ สถานการณ์ในตอนนี้ดูสิ้นหวังขึ้นมาในบัดดล
“เสี่ยวจิ่ว หลินหยา ม่อเสีย มารยา พวกเจ้าทั้งสี่ออกมาช่วยข้าที”
เป็นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป ฉินอวี้โม่จึงเลือกเฉพาะอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดและอสูรที่มีพลังที่เป็นประโยชน์และเพียงพอในการต่อกรกับศัตรูตรงหน้าออกมา หากเรียกตัวอื่นนอกจากจะไม่ก่อผลดีแล้วพวกมันก็อาจจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายได้
มารยารีบวาดผังข่ายอาคมเสริมการป้องกันไว้บนร่างกายของฉินอวี้โม่ บัดนี้ใบหน้าของอสูรสาวแดนเหมันต์เต็มไปด้วยความกังวล มันไม่มั่นใจว่าข่ายอาคมนี้จะใช้ได้ผลกับบุรุษปริศนาหรือไม่
ในนั้นเองที่มังกรน้อยหานอวี้ปรากฏตัวขึ้น มันเข้าไปยืนเคียงข้างสตรีที่มันคิดว่าเป็นมารดารวมกับอสูรตนอื่น ๆ
เมื่อมองเห็นบุรุษปริศนา รวมถึงหมอกสีดำที่ชั่วร้ายลอยออกมาจากร่างกาย หานอวี้ก็มีสีหน้าครุ่นคิด ไม่นานมันก็ทำท่าทางคล้ายจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“นี่คือ ‘หมอก-กร่อน-วิญญาณ’ ”
แม้หานอวี้จะยังเป็นเพียงมังกรน้อย ทว่าด้วยความที่เป็นอสูรระดับสูงทำให้ได้รับการส่งต่อความทรงจำมากมายมาตั้งแต่ยังเป็นไข่ หากเทียบกับอสูรตนอื่น ๆ แล้วความรู้ของลูกมังกรทองห้าเล็บด้อยกว่าซิวเพียงคนเดียวเท่านั้น
“มังกรทองห้าเล็บ !”
เมื่อบุรุษปริศนาเห็นรูปลักษณ์ของหานอวี้ก็ขมวดคิ้วท่าทางฉงน
“ใช่แล้วเจ้าคือ ‘มารทรชน’ ผู้นั้น !”
เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของบุรุษปริศนาอย่างแจ่มแจ้ง หานอวี้ก็เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมาด้วยความมั่นใจ เหมือนว่ามันจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นี้
ด้วยวาจาของเจ้ามังกรน้อยเรียกความสนใจของฉินอวี้โม่ได้ในทันที นางหันไปจ้องมองหานอวี้เพื่อรอฟังคำอธิบาย
“ท่านแม่ เจ้านี่ก็คือมารทรชนผู้ชั่วร้ายที่มีตัวตนอยู่เมื่อหลายพันปีก่อน…”
หานอวี้ไม่คิดปกปิด มันอธิบายเรื่องราวให้ฉินอวี้โม่ฟัง
…เมื่อหลายพันปีก่อน แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ถูกรุกรานโดยขุมกำลังของมารร้าย
ฝ่ายแผ่นดินใหญ่นั้นขึ้นชื่อเรื่องพลังมายา ขณะที่ทางฝ่ายมารก็มีพลังที่เรียกกันว่า ‘พลังกร่อนวิญญาณ’ ทางด้านความแข็งแกร่งและทรงพลังเรียกได้ว่าขุมกำลังของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ากันเลย เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ฝ่ายมารคิดการณ์อุกอาจ บุกเข้ารุกรานแผ่นดินใหญ่เพื่อช่วงชิงทรัพยากรและขยายอำนาจ เวลานั้นทั่วทั้งแผ่นดินราวกับลุกเป็นไฟ ความเดือดร้อนแผ่ไปทุกหัวระแหง ดินแดนที่เคยสงบสุขเปลี่ยนสภาพไปจนไม่ต่างจากขุมนรก ยอดฝีมือจากทุกขุมกำลังบนแผ่นดินจึงต้องรวมพลังกันเข้าต่อสู้ ขับไล่ผู้รุกราน พิทักษ์ถิ่นฐานและกอบกู้แผ่นดินมารดา
ในตอนนั้นแม้แต่ศัตรูคู่อาฆาตอย่างเผ่ามนุษย์และเผ่าอสูรที่เป็นปฏิปักษ์กันเรื่อยมาก็ยังต้องร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอด นั่นนับเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกและเป็นครั้งที่สำคัญที่สุด
ในเวลานั้นขุมกำลังน้อยใหญ่ต่างก็ระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านการรุกรานของมารร้าย ทั้งยอดฝีมือระดับแนวหน้าของเผ่ามนุษย์อย่าง ‘เทพมายา’ ผู้ครอบครองกายเทพมายาที่ทรงพลัง ‘ราชินีเหมันต์’ ยอดฝีมือที่โดดเด่นที่สุดในด้านพลังธาตุน้ำแข็ง หรือแม้แต่ ‘จักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์’ ผู้มีชื่อเสียงไม่แพ้เทพมายาต่างก็ออกมาร่วมสงครามต่อกรกับมารร้ายในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าบรรพชนแห่งเผ่ามังกรและแกนหลักแห่งเผ่าอสูรอื่น ๆ แทบทั้งหมดก็เข้าร่วมการต่อสู้ปกป้องดินแดนในครานั้นด้วย
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด อาจเรียกได้ว่ารุนแรงกว่าครั้งใดที่ประวัติศาสตร์เคยจารึกไว้ พลังกร่อนวิญญาณของฝ่ายมารร้ายน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ขอเพียงแค่ทะลวงเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และอสูรได้ก็สามารถทำให้ผู้เป็นเหยื่อสลายกลายเป็นสายหมอกและจบชีวิตลงตรงนั้นในทันที
ด้วยความน่ากลัวของฝ่ายมารร้ายเช่นนี้เองที่ก่อให้เกิดการร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดดังกล่าว และด้วยการผนึกกำลังอย่างเข้มแข็งและความพยายามอันหนักหน่วง นักรบจากแผ่นดินใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเอาชนะและสามารถขับไล่มารร้ายออกจนเกือบจะประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ในสงครามระลอกสุดท้ายซึ่งเป็นศึกตัดสินชะตาของเผ่ามารกลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เวลานั้น เทพมายาไล่ต้อนบรรพชนที่ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดแห่งฝ่ายมารร้ายจนมีสภาพหลังชนฝา ขอเพียงนางลงมืออีกครั้งเดียวก็จะสังหารอีกฝ่ายได้ มารร้ายนั้นก็จะสิ้นชีวิตลงในทันที
ทว่า จู่ ๆ หนึ่งในผู้ใต้บัญชาของนางก็หันคมดาบเข้าหาและเล่นงานเทพมายาในจังหวะสำคัญ ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ได้รับบาดเจ็บหนักหน่วงไม่ทันตั้งตัว นางทั้งเจ็บแค้นและขุ่นเคือง ไม่ทราบเลยว่าคนที่ตนไว้ใจไปแอบสมคบคิดกับฝ่ายมารร้ายตั้งแต่เมื่อใด
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้ย่ำแย่ เพราะเทพมายาเค้นพลังเฮือกสุดท้ายแล้วจัดการบรรพชนของฝ่ายมารไปได้ และถึงแม้ตัวนางเองจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เพราะความแข็งแกร่งที่มีก็ยังจัดการกับคนทรยศได้
ผู้ที่ทำการทรยศนั้นถูกตัดศีรษะในทันที ด้วยการลงดาบของเทพมายาเอง มนุษย์กบฏตกตายไปแต่ยังคงเหลือวิญญาณอันชั่วร้ายไว้ และในตอนที่วิญญาณนั้นกำลังจะหลบหนีมันก็ถูกเทพมายาผนึกเอาไว้เสียก่อน
แต่หลังจากศึกสงครามอันสาหัสจบสิ้น ทั้งเทพมายา ราชินีเหมันต์ และจักรพรรดิของมวลมนุษย์ล้วนหายสาบสูญไป ไม่มีผู้ใดทราบว่าคนเหล่านั้นเป็นหรือตาย และกายเทพมายาก็หายสาบสูญไปจากแผ่นดินนี้นับแต่นั้นมา
จนกระทั่งฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับกายเทพมายา
“ท่านแม่ เจ้านี่ก็คือผู้ทรยศในครั้งนั้น ทุกคนเรียกมันว่า ‘มารทรชน’ ที่มันถูกขังไว้ที่นี่ก็น่าจะเป็นฝีมือของเทพมายา”
หานอวี้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่มันรู้ มังกรน้อยมองมารทรชนด้วยสายตาเกลียดชัง
แม้ว่าวิญญาณตนนี้จะถูกผนึกไว้ที่นี่มานานหลายพันปี ทว่าความแข็งแกร่งก็ยังคงน่ากลัวอยู่ หากเป็นมังกรทองห้าเล็บในตอนที่โตเต็มวัย มันคงไม่เห็นคนทรยศผู้นี้อยู่ในสายตา ทว่าตอนนี้หานอวี้ยังเด็กมาก พลังของมันมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของพลังในร่างโตเต็มตัว
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เวลานี้นางเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และมั่นใจด้วยว่าซิวน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องบางประการกับเทพมายาในอดีต และการที่มารทรชนคุ้นเคยกับเปลวเพลิงของซิวก็ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้ดี
เทพมายาคงจะคิดถึงมิตรภาพที่เคยมีทำให้ไม่สามารถทำลายวิญญาณของมารทรชนได้ นางคงทำได้แต่ผนึกวิญญาณของเขาไว้ที่นี่ โดยหวังว่าเขาจะสำนึกผิด ทว่าหลังจากกาลเวลาล่วงเลยมากว่าหลายพันปีคนผู้นี้กลับไม่เคยสำนึก อีกทั้งยังคงคิดหาหนทางหลบหนีตลอดเวลา
ดังนั้นแล้วถ้ำแห่งนี้คงจะเป็นหนึ่งในสมบัติของเทพมายา เป็นที่ที่นางเอาไว้ใช้ผนึกวิญญาณมนุษย์ที่กลายเป็นมารร้าย และม่านพลังที่ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาได้ก็คงเป็นของเทพมายาเช่นกัน นางมีเจตจำนงที่ไม่อยากให้ใครล่วงล้ำเข้ามาที่นี่
“ฮ่า ๆ ๆ มังกรทองห้าเล็บ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อนชัดเจนถึงเพียงนั้น”
มารทรชนยิ้มเย็นชา ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่อย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
กล่าวจบร่างของวิญญาณร้ายก็หายวับไปก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่อยู่ใกล้ร่างของฉินอวี้โม่
.