คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 195 เข้าตาจน
ด้วยความน่าเกรงขามของศัตรูตรงหน้า เหล่าอสูรในพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ไม่กล้าจะประมาท ทั้งหมดรวมถึงมังกรน้อยหานอวี้เปลี่ยนไปสู่ร่างที่แท้จริงและเข้าไปยืนบังร่างนายหญิงของมันทันที
หานอวี้ไม่เกรงกลัวพลังกร่อนวิญญาณของมารทรชน มันคือมังกรทองห้าเล็บ มังกรผู้มีที่มีสายเลือดระดับสูงแห่งเผ่ามังกร ร่างกายมังกรทองนั้นมีความพิเศษ พวกมันเกิดมาพร้อมกับร่างที่ทนทานต่อการโจมตีในแทบทุกรูปแบบ
เสี่ยวจิ่วและหลิวหยาเองก็ไม่หวั่นเกรงพลังกร่อนวิญญาณ เผ่าอสรพิษเป็นเผ่าพันธุ์เป็นหนึ่งเรื่องพิษในหมู่อสูร แน่นอนว่าร่างกายของมันย่อมสามารถต่อต้านพิษทุกชนิดได้ดี
ส่วนม่อเสียนั้นต่างจากตัวอื่น ๆ ข้อได้เปรียบของมันเป็นรองอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด แววตาหมีดำแห่งป่าแสงจันทร์ปรากฏร่องรอยความหวาดหวั่นอยู่บ้าง ทว่ามันก็ยังไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าไปปกป้องฉินอวี้โม่อย่างแข็งขัน
แน่นอนว่าสตรีผู้เป็นนายรับรู้ถึงอารมณ์อันผิดปกติของอสูรในพันธสัญญาได้ “ม่อเสียเจ้ากลับไปก่อน”
ม่อเสียพยักหน้า ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยอมเข้าในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่แต่โดยดี
— ตูม ! —
การปะทะกันของมารทรชนกับอสูรทั้งสามทำให้เกิดเสียงดังลั่น
พริบตาต่อมาสามอสูรก็เป็นฝ่ายกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง
ส่วนมารทรชนคล้ายไม่สะทกสะท้านใด ๆ มันยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องโดยพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่กระโดดถอยไปด้านหลังเพื่อหลบการโจมตีนั้น ทว่าในตอนที่มารทรชนพุ่งเข้าถึงจุดที่ฉินอวี้โม่เคยยืนอยู่เมื่อครู่มันก็ชะงักไป สายตาของวิญญาณผู้ชั่วร้ายฉายแววมึนงงสับสน
อดีตนักฆ่าสาวยกยิ้มมุมปาก นางทราบดีว่านั่นเป็นผลจากข่ายอาคมที่มารยาวางเอาไว้ บัดนี้พลังลวงตาแห่งอสูรสาวจ้าวอาคมกำลังถูกใช้งาน
ฉินอวี้โม่ใช้ช่วงเวลานั้นเรียกใช้ทักษะอสูรเสริมร่างร่วมกับอสูรทั้งสาม
หานอวี้กลายสภาพเป็นกระบี่สีทองเล่มใหญ่ปรากฏในมือฉินอวี้โม่ เสี่ยวจิ่วและหลิวหยาเปลี่ยนเป็นชุดเกราะแข็งแกร่งที่ทั้งช่วยป้องกันและเสริมแรงให้แก่ร่างของนายหญิง
“นภายุทธ์: กระบี่เพลิงทลายเวหา!”
ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงออกมา เปลวเพลิงสีแดงโชติช่วงลุกขึ้นมาห่อหุ้มกระบี่หานอวี้เอาไว้ นี่คือเพลิงของซิว อย่างไรก็ตามเพลิงนี้ไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อมังกรทองในร่างกระบี่ เพราะบัดนี้นี้มันสามารถผสานพลังรวมเข้ากับเพลิงของซิวได้โดยสมบูรณ์
กระบี่ทองเปลี่ยนสภาพเป็นกระบี่เพลิงและขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้มันมีขนาดที่ใหญ่กว่ากระบี่ทั่วไปหลายสิบเท่า หญิงสาวผู้มีวิญญาณอดีตนักฆ่าเสือกแทงกระบี่เข้าใส่มารทรชนที่กำลังยืนงุนงงเพราะผลของข่ายอาคมในฉับพลัน
อาไป๋และเพลิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เมื่อพวกมันเห็นกระบี่อันทรงพลังกำลังฟาดฟันเข้าใส่มารทรชนอย่างรวดเร็ว แต่เดิมสองอสูรหนุ่มคิดเสมอว่ามนุษย์ที่ไม่ใช่ระดับทูตสวรรค์ก็คงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมายนัก ทว่าสตรีมนุษย์ผู้นี้กลับทำให้พวกมันประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
จอมยุทธ์หญิงเบื้องหน้าที่ไม่แม้แต่จะเป็นทูตสวรรค์กลับปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าการโจมตีของทูตสวรรค์หลายคนที่พวกมันเคยเห็นออกมา
ด้วยนภายุทธ์ที่รุนแรงเช่นนี้เพียงอย่างเดียว หากเป็นพวกมัน ถึงแม้จะเค้นพลังทั้งหมดออกมาป้องกัน มันก็ไม่มั่นใจนักว่าจะต้านทานไว้ได้
เพราะเพียงแค่เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มกระบี่อยู่ก็ทรงพลานุภาพมากพอจะเผาผลาญอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้ ดังนั้นการโจมตีนี้จึงถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่งยวด
— ตูม ! —
กระบี่เพลิงขนาดยักษ์ปะทะร่างของมารทรชนจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ในเวลาเดียวกันแสงสว่างเจิดจ้าปริมาณมหาศาลก็ระเบิดออกมา
ฉินอวี้โม่จำต้องหลับตาลงเพราะไม่สามารถทนทานต่อความรุนแรงของแสงนั้นได้
“อ๊ากกก~ !”
ในพริบตาที่แสงสลายไป เสียงร้องครวญครางเจ็บปวดก็ดังเข้าสู่โสตประสาทของฉินอวี้โม่
“หึ ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ!”
ครั้งนี้มารทรชนรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียท่า ไอพลังและหมอกสีดำที่เคยปกคลุมร่างของมันอยู่ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เผยให้เห็นใบหน้าซีดขาว ดวงตาโหลลึก หากมองเผิน ๆ คล้ายมีเพียงชั้นหนังบาง ๆ ที่หุ้มกะโหลก
มุมปากของมันมีโลหิตหยดลงมา ดูเหมือนมารทรชนจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ เวลานี้สภาวะพลังของมันอ่อนแอลงไปกว่าก่อนหน้าไม่น้อย
“สิ่งที่ข้าเกลียดชังที่สุดก็คือผู้ทรยศ เทพมายาอุตส่าห์ไม่ลงมือทำลายวิญญาณของเจ้าและผนึกไว้เพื่อให้โอกาสได้สำนึกผิด แต่เวลาที่ผ่านมาไม่เพียงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเจ้ายังกระทำสิ่งชั่วช้าสังหารผู้อื่นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลบหนี แม้แต่วิญญาณในฐานะบรรพชนมนุษย์เจ้าก็ไม่คู่ควร อย่างเจ้าเป็นได้แค่วิญญาณของมารสวะ วันนี้ข้าจะขอเป็นตัวแทนของเทพมายาลงมือสังหารเจ้าให้สิ้นซาก !”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาเย็นชา น้ำเสียงของนางเปลี่ยนเป็นตะคอกดุดันขึ้นเรื่อย ๆ อดีตนักฆ่าสาวเกลียดชังบุคคลผู้ทรยศเหลือล้น ยิ่งกว่านั้นมารทรชนตรงหน้าก็ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับนางเช่นกัน เนื่องจากนางคือผู้ได้รับสืบทอดกายเทพมายามา การสานต่อเจตจำนงของเทพมายาก็สมควรเป็นหน้าที่ของนางด้วย ในเมื่ออดีตเจ้าของกายเทพมายาไม่ได้จัดการปัญหานี้ให้จบสิ้น เช่นนั้นผู้ครอบครองร่างกายวิเศษคนปัจจุบันก็ควรจะช่วยจบปัญหานี้เสีย
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดว่าการจัดการกับมารทรชนตรงหน้าจะเป็นเรื่องง่ายดายดังที่ออกปากไป
“เหอะ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเทพมายา หากตอนนั้นนางฟังคำแนะนำของข้าเสียบ้างเรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้ และข้าก็คงไม่ต้องทรยศนางด้วย !”
มารทรชนโพล่งวาจาตอบโต้อย่างเดือดดาล เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ผู้ถูกจองจำก็รู้สึกแค้นเคือง มันคิดเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของมัน
“เหลวไหล ! เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเจ้าถูกพลังแห่งมารร้ายควบคุมไปจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เจ้าลงมือกับเจ้านายของตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว ที่นางไม่ทำลายวิญญาณของเจ้าทิ้งก็ถือว่าปรานีมากแล้ว”
ฉินอวี้โม่ไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง เท่าที่นางสังเกตดูคนผู้นี้ดูจะเชี่ยวชาญด้านการใช้พลังกร่อนวิญญาณเป็นอย่างมาก ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าเขาคงจะหันไปเข้ากับฝ่ายมารนานแล้ว ส่วนคำแนะนำของมารร้ายผู้นี้ที่มันว่า หากให้เดาก็น่าจะเป็นคำแนะนำเชิงห้ามปรามไม่ให้เทพมายาเข้าร่วมสงครามครั้งนั้นแน่
“แล้วมันจะต่างกันตรงไหน !”
เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าว สีหน้าของมารทรชนก็เปลี่ยนไป มันพรั่งพรูวาจาออกมามากมาย ทว่านั่นก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวอีกแล้ว
“นั่นคือสิ่งที่นางสมควรจะโดนแล้ว ในโลกนี้ผู้ชนะก็คือราชา ผู้แพ้ก็ต้องเป็นเบี้ยล่าง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดขอเพียงชนะก็จะได้ครอบครองทุกอย่าง ถึงนางจะผนึกวิญญาณของข้าไว้ แต่มันจะมีความหมายอย่างไรเล่า ? นางตายทว่าข้ายังคงอยู่ ขอเพียงข้าทำลายผนึกแล้วออกไปได้ พลังของข้าก็จะค่อย ๆ ฟื้นกลับคืนมา เวลานั้นข้าก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แล้วข้าจะพิสูจน์ให้ดูเองว่าข้าเป็นฝ่ายถูก”
ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศกร้าวของมารทรชน สภาวะพลังของมันก็ฟื้นคืนกลับมาดังเดิมอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นหมอกและไอพลังสีดำมากมายที่เคยปลดปล่อยออกมาจากร่างกายซีดขาวกลับทวีความเข้มข้นรุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
“วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าขอเพียงเป็นผู้ชนะได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ไม่สำคัญ ข้านี่แหละคือผู้ชนะ ข้าจะใช้เลือดในกายเจ้าสังเวยต่อกระบี่เล่มนี้ สหายคู่กายข้าจะได้กลับมาหยัดยืนต่อสู้เคียงข้างข้าได้อีกครั้ง”
ทันใดนั้นฉินอวี้โม่ก็เห็นกระบี่ยาวสีดำที่ปลดปล่อยพลังงานแสนชั่วร้ายตลอดเวลาปรากฏขึ้นในมือของมารทรชน
“สหายข้า เราไม่ได้ร่วมศึกกันมานานหลายพันปีแล้วสินะ”
มารทรชนมองกระบี่สีดำในมือ ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสลับกับทอแววตาเศร้าโศกโหยหา มันกดจูบลูบไล้กระบี่ดำทำกิริยาคล้ายวิปลาส
ทว่าในพริบตานั้น จู่ ๆ ร่างของมันก็หายวับไปอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นว่าร่างของมารทรชนหายไปอย่างกะทันหัน ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้ว ขณะเดียวกันอดีตนักฆ่าก็ไม่ประมาท ใช้ทักษะอสนีบาตและเท้าทะยานคลื่นเคลื่อนที่หลบออกไปโดยไม่ลังเล
— ตูม ! —
จุดที่นางเคยยืนอยู่ถูกกระบี่สีดำพุ่งปะทะ พื้นถ้ำตรงจุดนั้นกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็น ทว่าเหนือหลุมลึกดังกล่าวกลับว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีสิ่งใดอยู่
ยังไม่ทันที่จะได้หายใจหายคอ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่กำลังพุ่งเข้ามา นางไม่กล้าชักช้าพลันรีบกระโดดหลบหนีออกไปอีกด้าน ในพริบตาเดียวกันพื้นที่เคยอยู่ใต้เท้าของนางกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ไปอีกหลุม บัดนี้ ด้วยพลังการโจมตีที่รุนแรงของมารทรชนพื้นถ้ำได้เกิดรอยแตกเป็นทางยาวปรากฏขึ้น เหรียญทองมหาศาลบริเวณนั้นปลิวกระจัดกระจายออกเป็นวงกว้าง
ดูเหมือนว่ามารทรชนจะเอาจริงแล้ว ในตอนนี้พลังของมันนับว่าเหนือชั้นเป็นอย่างมาก ไม่มีทางเลยที่ฉินอวี้โม่จะจู่โจมหรือเป็นฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกับมันตรง ๆ ได้ เวลานี้นับว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งยวด
“ฮ่า ๆ ๆ ความเร็วใช้ได้นี่ แต่น่าเสียดายที่พลังยังน้อยเกินไป ถ้าเจ้ามีเวลาฝึกอีกหน่อยข้าก็อาจจะเป็นฝ่านพ่ายแพ้เจ้าก็ได้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่หลบการโจมตีของตนเองได้ถึงสองครั้ง มารทรชนเผยยิ้มเยือกเย็นพลันพุ่งเข้าจู่โจมนางอีกครา
ในตอนนั้นเองฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่ามารยากะพริบตาส่งสัญญาณ คุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่าจึงรีบไปปรากฏตัวข้างกายอสูรสาวจากแดนเหมันต์ทันที
และก็เป็นไปอย่างที่นางคาดไว้ มารทรชนแทงกระบี่เข้าใส่นางอีกครั้ง
— เคร๊ง ! —
ฉินอวี้โม่ชักกระบี่ของตัวเองออกมาป้องกันได้ทันก่อนที่ร่างบางจะกระเด็นหลุดลอยไปด้านหลัง
พลังของมารทรชนนางกลัวเป็นอย่างมาก หากฉินอวี้โม่ไม่ได้ใช้ทักษะอสูรเสริมร่างและอาศัยพลังจากอสูรระดับสูงทั้งสามตัวเข้าช่วยก็ไม่มีทางเลยที่นางจะรับการจู่โจมเมื่อครู่ได้
ทว่ากระบี่เมื่อครู่ก็ทำให้มือของนางชาจนไร้ความรู้สึก โลหิตจำนวนหนึ่งไหลทะลักออกมาจากปาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นมารทรชนที่อยู่ในจุดที่นางจากมาตกอยู่ในสภาพมึนงงอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็โล่งอกไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าข่ายอาคมของมารยาจะทำประโยชน์ได้อย่างมหาศาล
แต่หลังจากล้วงเอาโอสถฟื้นพลังขึ้นมากิน ยังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะได้ลงมือทำสิ่งใด นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นก่อน
“ฮ่า ๆ ๆ คิดว่าข่ายอาคมนี่จะหยุดข้าได้เป็นครั้งที่สองอย่างนั้นรึ ?!”
— ตูม ! —
เกิดเสียงดังขึ้น เมื่อมารทรชนระเบิดพลังมายาอันมหาศาลออกมา ซึ่งนั่นก็เป็นผลให้ข่ายอาคมของมารยาพังทลายลง
— ฟิ้ว~ ! —
เพียงพริบตาเดียวฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงคล้ายกระแสลมวูบหนึ่งพัดผ่าน คุณหนูตระกูลฉินรีบพุ่งตัวหลบออกไปทางซ้ายในฉับพลัน แม้จะหลบในทันที ทว่านางก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หัวไหล่ แขนของนางได้รับผลจากพลังประหลาดของกระบี่สีดำเล่มนั้น
ฉินอวี้โม่รีบถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างไม่ลังเล
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตกอยู่ในขั้นวิกฤติถึงขีดสุด อาไป๋ เพลิงและหงส์แดงก็เปลี่ยนกลับไปสู่ร่างที่แท้จริง พลันกระโจนเข้าร่วมต่อสู้ ทั้งสามจู่โจมมารทรชนอย่างสุดชีวิต
ก่อนหน้านี้ ที่พวกมันทั้งสามยังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดนั้นเป็นเพราะกำลังเร่งใช้เวลาที่ฉินอวี้โม่ยื้อไว้ให้เพื่อฟื้นฟูพลังกลับคืนมา ในตอนนี้ แม้ว่าจะยังฟื้นพลังได้ไม่มากแต่ก็ไม่เหลือเวลาอีกแล้ว สามอสูรสวรรค์จึงต้องรีบเข้าไปร่วมรับมือกับมารทรชน
เพียงชั่วอึดใจ อสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิทั้งสามตนก็ตกที่นั่งลำบาก ในตอนนั้นเองที่กระบี่ของมารทรชนพุ่งตรงเข้าสู่ส่วนท้องของหงส์แดง
— เคร๊ง ! —
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างของฉินอวี้โม่ก็หายไปอีกครั้ง นางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับใช้กระบี่ในมือป้องกันการโจมตีของเองฝ่ายตรงข้าม นายหญิงผู้มีกายเทพมายาช่วยอสูรสาวในพันธสัญญาของตนไว้ได้อย่างหวุดหวิด
แต่แรงสะท้อนจากการปะทะก็ทำให้ทั้งฉินอวี้โม่และหงส์แดงกระเด็นออกไปปะทะผนังถ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ อย่างไรวันนี้พวกเจ้าก็ต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยให้สหายข้า !”
มารทรชนเผยรอยยิ้มชั่วช้า สภาวะพลังของมันแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งแล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งเวลาผ่านไป พลังของมันก็เริ่มฟื้นกลับคืนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะถึงขีดจำกัดแล้ว นางได้รับบาดเจ็บไปจนถึงอวัยวะภายในทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงมาก หากไม่ได้หยุดยั้งเพื่อพักผ่อนชั่วครู่ เกรงว่าแม้จะเป็นกายเทพมายาก็มิอาจฟื้นฟูได้ทัน
ที่ผ่านมา ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเพียง แต่ด้วยกายเทพมายากอปรกับความช่วยเหลือของเหล่าอสูรทำให้ยังไม่เคยมีผู้ใดไล่ต้อนนางถึงเพียงนี้ได้ นางสามารถจบการต่อสู้ได้ในเวลาที่ร่างกายยังรับมือไหว
ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของมารทรชนนั้นเหนือชั้นกว่าที่นางเข้าใจ มันแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ไม่เห็นหนทางเอาชนะได้เลย
หากไม่ใช่เพราะวิชาเท้าทะยานคลื่นที่พัฒนาขึ้นมาและความช่วยเหลือของอสูรมายา สตรีตระกูลฉินก็เกรงว่าตนคงจะตายไปนานแล้ว
“นายหญิง ท่านรีบหนีไปเถอะ”
หงส์แดงกลายสภาพเป็นมนุษย์ที่มีใบหน้าซีดเซียว ตอนนี้ตัวมันเองก็ไม่มีพลังพอจะต่อต้านอีกฝ่ายได้อีกแล้ว อสูรสาวจึงร้องบอกให้เจ้านายสาวรีบหลบหนี
ฉินอวี้โม่กัดฟันพลางส่ายศีรษะ
นางจะหนีไปตอนนี้ไม่ได้ หากปล่อยให้มารทรชนหลุดออกไปสู่โลกภายนอก นั่นจะหมายถึงหายนะครั้งใหญ่ของแผ่นดิน ถ้ามันได้พลังทั้งหมดกลับคืนมา คงยากจะหาคนที่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านได้
ด้วยความคิดดังกล่าว ฉินอวี้โม่จึงปฏิญาณกับตนเองว่า อย่างไรวันนี้นางก็จะไม่ยอมให้มันออกไปได้โดยเด็ดขาด
“ฮ่า ๆ ๆ อย่างคิดหนีให้เสียเวลาเลย ดูสภาพของพวกเจ้าตอนนี้ให้ดี ๆ คิดว่าจะหนีข้าพ้นอย่างนั้นรึ ?”
มารทรชนยิ้มเยาะแล้วเอ่ยเย้ยหยันเมื่อมันได้ยินคำพูดของหงส์แดง
ทว่าวาจาของมันก็ไม่ผิด ตอนนี้ไอสีดำของมันเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังของมันสูงส่งกว่าทุกคนในที่นี้ ไม่ว่าจะพยายามหนีอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้
“เจ้าคนชั่ว ถึงเราจะหนีไม่ได้ เจ้าก็อย่าคิดว่าพวกเราจะยอมให้เจ้าสังหารง่าย ๆ!”
หงส์แดงกัดฟันแล้วลุกขึ้นมา
ทันใดนั้นพลังอันมหาศาลก็ไหลทะลักออกมาจากร่างของอสูรสาว สภาวะพลังของอสูรในตำนานเข้มข้นขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ฉินอวี้โม่ก็หน้าซีดทันที นางร้องตะโกนจนสุดเสียง
“หงส์แดง หยุดเดี๋ยวนี้ !”
ในตอนนี้หงส์แดงกำลังคิดจะระเบิดตัวเองเพื่อสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับมารทรชนและเปิดโอกาสให้ทุกคนหนีออกไปได้
หากระเบิดตัวเองแล้ว จริงอยู่ว่าอสูรในตำนานอย่างหงส์แดงจะไม่ตาย ทว่ามันก็จะกลับกลายไปเป็นไข่และไปปรากฏอีกครั้งที่ไหนของโลกใบนี้ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้ หลังจากนั้นมันจะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานนับพันปีกว่าจะพัฒนาให้กลับมาแข็งแกร่งอย่างเช่นทุกวันนี้ แต่เรื่องนั้นอสูรสาวไม่ใส่ใจ มันเต็มใจยอมเพื่อแลกกับชีวิตของสตรีผู้เป็นนายและสหายอสูรทั้งสอง
“นายหญิง นี่เป็นเพียงทางเดียวที่พวกเราจะรอดไปได้ !”
เพราะมีนิสัยใจร้อนเป็นทุนเดิม หงส์แดงจึงไม่ฟังคำสั่งของฉินอวี้โม่ในครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็ปล่อยให้นายหญิงที่เสี่ยงชีวิตเข้ามาเพื่อรับกระบี่แทนมันตายไปไม่ได้
“หงส์แดง เจ้าไม่เชื่อฟังข้าอย่างนั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของอสูรสาวพันธสัญญา เมื่อเห็นสายตาที่มุ่งมั่นแน่วแน่มัน คุณหนูตระกูลฉินก็ซาบซึ้งมาก ทว่านางก็จะยอมให้มันทำเช่นนั้นไม่ได้
ด้วยคำถามอันดุดันและหนักแน่นของผู้เป็นนาย หงส์แดงก็มีท่าทีอ่อนลง อสูรสาวพยักหน้าแล้วล่าถอย เมื่อสบสายตาที่เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม หงส์แดงก็เข้าใจว่าฉินอวี้โม่อาจจะยังมีไพ่ตายเหลืออยู่
“หยุดเจ้านั่นให้ข้าที”
ฉินอวี้โม่สั่งการออกไปประโยคหนึ่ง ทันใดนั้นเองสภาวะพลังที่แข็งแกร่งน่าเกรงขามก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายของนาง