คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 205 ท่ามกลางสมรภูมิ
ทันทีที่เข้าใกล้บริเวณหน้าประตูทางเข้านครไป๋อวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันแข็งแกร่งจากยอดฝีมือจำนวนมาก และหลายคนในนั้นก็ดูเหมือนจะมีระดับพลังที่สูงอย่างที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน คุณหนูตระกูลฉินจึงรีบพุ่งเข้าไปโดยไม่ลังเล
ในทันทีที่เข้ามาถึงนางก็เห็นร่างของฉินหยางถูกซัดกระเด็นมา นางจึงรีบเข้าไปรับและสั่งให้เสี่ยวเฮยคอยคุ้มกันผู้เป็นอาเอาไว้
หลังจากที่ได้เข้าสู่พื้นที่สนามรบและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างชัดแจ้ง อดีตนักฆ่าสาวก็ลงมือไม่รอช้า ภาพของกลุ่มผู้เฒ่าฉินเฟิน มู่อวิ๋น และหานโม่ฉือที่ถูกรุมล้อมด้วยเหล่าศัตรูและกำลังดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิตทำให้นางโกรธถึงขีดสุด
‘เจ้าคนเลวระยำพวกนี้ !’
โฉมงามผู้โกรธจัดหยิบเอาแผ่นป้ายที่ยอดฝีมือลึกลับนามหลินเหยียนเคยมอบให้ขึ้นมาแล้วขยี้ทำลายมัน ในตอนนี้นางต้องการความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือแห่งแผ่นดินผู้นั้น
“อวี้โม่ !”
เมื่อได้เห็นการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ ก็อดส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“ชิงเฉิง ชิงเฟิง ขอโทษที่ข้ามาช้า”
ฉินอวี้โม่เข้าไปใกล้ตัวสองสหายแล้วกล่าวคำขอโทษพลางไล่สายตาสำรวจร่างที่บาดเจ็บของโอวหยางชิงเฟิง ในน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดระคนเคียดแค้น
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก อันที่จริงข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าการที่เจ้ามาที่นี่จะเป็นเรื่องดีหรือแย่กันแน่”
โอวหยางชิงเฟิงถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ แต่ฝ่ายศัตรูก็มีพลังที่เหนือชั้นกว่าพวกเขามากเกินไป คุณชายรองตระกูลโอวหยางจึงไม่อยากให้สหายต้องมารับเคราะห์ไปด้วย
“วางใจเถอะชิงเฟิง ข้าไม่แพ้แน่”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางเองก็รู้สึกว่ายอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดแข็งแกร่งมาก แต่ตัวนางในขณะนี้ก็ไม่นึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย
หากเป็นนางที่ยังไม่ได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามและดูดซับพลังจากมรดกของเทพมายา ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าตนเองคงจะหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อเป็นนางอีกทั้งยังผนวกรวมกับกำลังของเหล่าอสูรในสังกัดอวี้โม่ ณ เวลานี้แล้ว คุณหนูตระกูลฉินเชื่อว่าย่อมรับมือได้อย่างแน่นอน
“อาไป๋ เพลิง หงส์แดงออกมาที พวกเจ้าคอยช่วยท่านปู่ของข้าและคนอื่น ๆ ตรงนี้”
ฉินอวี้โม่เรียกสามจักรพรรดิอสูรสวรรค์ สมาชิกใหม่แห่งกองกำลังอวี้โม่ที่เพิ่งผูกพันธสัญญาเมื่อคราอยู่ในดินแดนต้องห้ามออกมาและขอให้พวกมันเข้าไปเสริมทัพให้กับกลุ่มของผู้เฒ่าฉินเฟินเป็นอันดับแรก
แน่นอนว่าอสูรทั้งสามพุ่งเข้าไปข้างกายผู้นำตระกูลฉินโดยไม่ลังเลและช่วยเหล่าผู้นำในไป๋อวิ๋นรับมือกับจ้าวอารามและสตรีจากนิกายหงส์มังกรทั้งสอง
“ข้าจะไปช่วยมู่อวิ๋นเอง”
ทว่าในตอนที่ฉินอวี้โม่กำลังจะขอให้ซิวเข้าไปช่วยเหลือท่านอธิการ จู่ ๆ เสียงอันหนักแน่นเสียงหนึ่งก็ดังกระทบโสตประสาท ในตอนนั้นเองร่างของ ‘หลินเหยียน’ หนึ่งในบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินนี้ก็ปรากฏขึ้นในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ณ ที่ว่างข้างกายหลินเหยียนมีบุรุษหนุ่มร่างกำยำใหญ่โตผู้ซึ่งฉินอวี้โม่คุ้นหน้าเป็นอย่างดียืนอยู่ด้วย คนผู้นั้นกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้นางอย่างมีไมตรี…ไม่คิดเลยว่ารุ่นพี่ผู้คลั่งไคล้การต่อสู้หลินซิวหยาจะปรากฏตัวที่นี่ด้วย
โดยไม่รอเสียงตอบรับหรือทักทายใด ๆ ร่างของหลินเหยียนก็หายวับไปก่อนจะปรากฏตัวขึ้นข้างกายมู่อวิ๋น ปฏิกิริยาของหลินเหยียนว่องไวปานสายฟ้า เพียงการเคลื่อนที่เดียวในชั่วพริบตาก็สามารถปัดป้องก้อนพลังมายาที่กำลังพุ่งเข้าใส่อธิการโรงเรียนราชสำนักได้ทันการณ์
ส่วนทางด้านหลินซิวหยาสาวเท้าเข้ามาทักทายฉินอวี้โม่ก่อน
“รุ่นพี่หลินซิวหยาอยู่กับผู้อาวุโสหลินเหยียนรึ เหตุใดพวกท่านถึงมาด้วยกันได้ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อลองดูท่าทีและดวงตาของคู่สนทนาแล้ว นางกลับพบแววแห่งความสับสนปนงุนงงไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม รุ่นพี่ร่างใหญ่ก็ยังคงตอบคำถามสหายรุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี “ฮ่า ๆ เรื่องนั้นไม่แปลกหรอก ที่ข้ามากับเขาได้ก็เพราะว่าเขาคือพ่อของข้า แต่ที่ข้ากำลังแปลกใจอยู่ก็คือเหตุใดจู่ ๆ เราทั้งคู่ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”
หลินซิวหยากล่าวตามตรงด้วยท่าทางงุนงงแต่ยังคงไว้ด้วยไมตรี ทว่าข้อมูลที่เขากล่าวทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตกใจไม่น้อย
ไม่คิดเลยว่าหลินซิวหยารุ่นพี่ผู้ชื่นชอบการต่อสู้จะเป็นบุตรชายของหลินเหยียน หนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน เช่นนั้นคงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าเหตุใดพรสวรรค์ในการต่อสู้ของเขาถึงได้สูงนัก ในเมื่อเขามีบิดาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากตัวเขาไม่แข็งแกร่งเช่นกันก็คงนับว่าแปลกเต็มที
“เพราะข่าวเรื่องนครไป๋อวิ๋นจะถูกโจมตีทำให้ข้าเป็นกังวล หลังออกจากโรงเรียนมาข้าก็รีบกลับบ้านไปปรึกษาเรื่องนี้กับท่านพ่อทันที ถึงข้าจะไม่ใช่ชาวเมืองนี้แต่ก็อยู่ที่นี่จนรักไป๋อวิ๋นเสมือนบ้านเกิดไปแล้วจึงไม่อาจทนดูอยู่เฉย ๆ ได้ เมื่อครู่พวกเรากำลังอยู่ระหว่างเดินทางมาที่นี่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด จู่ ๆ พวกเราก็ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ตรงนี้อย่างที่เจ้าเห็น”
หลินซิวหยาอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟังโดยที่ยังไม่ทราบว่าผู้ที่เรียกตนและบิดามาก็คือสตรีรุ่นน้องที่อยู่ตรงหน้า
“ต้องขอบคุณพวกท่านจริง ๆ คนที่เรียกพวกท่านมาก็คือข้าเอง ข้าเพิ่งจะทำลายแผ่นป้ายที่ผู้อาวุโสหลินเคยให้ข้าไว้”
ฉินอวี้โม่ค้อมศีรษะและกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายจากหัวใจ
“เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะเคยพบกับท่านพ่อของข้ามาก่อน แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เจ้าบอกข้าหน่อยเถอะว่านั่นใช่ปิงเสวียนกับลั่วเฉินหรือไม่ ? เจ้าลั่วเฉินเป็นโอรสแห่งอารามข้าไม่แปลกใจ แต่ปิงเสวียนก็มาที่นี่ด้วยรึ ?”
ตั้งแต่ตอนที่มาถึง หลินซิวหยาก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังของปิงเสวียนและลั่วเฉินแล้ว เมื่อกวาดตาสำรวจจนทั่วจึงพบร่างคุ้นตาของสหายผู้เก่งกาจทั้งสองกำลังเปิดศึกกันอย่างดุเดือดในจุดที่ค่อนข้างห่างไปไกล
“รุ่นพี่ปิงเสวียนแท้จริงก็คือองค์ชายแห่งจักรวรรดิชิงเฟิง” เยว่ชิงเฉิงคือผู้ตอบคำถามนั้น
“ปิงเสวียนเป็นองค์ชายของจักรวรรดิชิงเฟิงอย่างนั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินคำเฉลยจากคุณหนูผู้กว้างขวางในข่าวสารไม่แพ้ผู้ใดในดินแดน ทั้งฉินอวี้โม่และหลินซิวหยาก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นี่รุ่นพี่เองก็ไม่ทราบอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองหลินซิวหยาพลางเอ่ยถาม
“ทั้งปิงเสวียนและลั่วเฉินต่างก็เป็นคนลึกลับ นอกจากชื่อแล้วก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป หรือข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเขาหรอก”
หลินซิวหยาส่ายศีรษะ แม้ว่าเขาจะอยู่ในโรงเรียนมานานและมีโอกาสได้พูดคุยกับปิงเสวียนบ่อยครั้ง ทว่าเขาเองก็เพิ่งจะทราบว่าปิงเสวียนคือองค์ชายของจักรวรรดิใหญ่
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เจ้าคิดว่าพวกเราควรเข้าไปช่วยปิงเสวียนดีหรือไม่ ?”
หลินซิวหยากวาดตามองสนามรบก่อนจะหยุดอยู่ที่การต่อสู้ของลั่วเฉินและปิงเสวียน ทว่าเขาก็ยังลังเล เพราะทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นสหายร่วมสถาบันกับเขา แม้บัดนี้ลั่วเฉินจะขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูเต็มตัวและมาในฐานะผู้รุกราน แต่การต่อสู้นั่นเสมือนเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างคนสองคน เช่นนั้นตัวเขาควรจะสอดมือเข้าไปยุ่งหรือไม่ ?
“ตามความเห็นของข้า อารามกล้าเรียกคนจากดินแดนหนเหนือมาช่วยเช่นนี้ ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้มีไพ่ตายแค่เท่าที่เห็น ฉะนั้นเราควรจะรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน”
ฉินอวี้โม่จับตาดูสามพี่น้องเหยาและคนจากนิกายหงส์มังกรตลอดเวลาโดยไม่ลดละ นางกำลังรู้สึกว่าพวกเขายังเก็บซ่อนไพ่ตายที่น่ากลัวเอาไว้
ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ที่นางและหลินเหยียนมาถึงสนามรบ สถานการณ์ของทางฝ่ายไป๋อวิ๋นก็ดูจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ยามนี้ แม้นางจะยังไม่ลงมือแต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะพอควบคุมสถานการณ์ได้
มู่อวิ๋นที่อยู่กลางอากาศกำลังถูกสามพี่น้องเหยากระหน่ำจู่โจม ทั้งฝ่ามือและพลังมายาประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนราวห่าฝน เนื่องจากเสียเปรียบด้านจำนวนทำให้มู่อวิ๋นถูกไล่ต้อนอย่างหนักหน่วงและไร้โอกาสพลิกสถานการณ์ได้
เวลานี้ก้อนพลังมายาอันรุนแรงของเหยาเหยาพุ่งตรงเข้ามา ในขณะที่มู่อวิ๋นกำลังพัวพันอยู่กับเหยาปิงและเหยาชิงไข่ทำให้ไม่อาจจะหลบหนีได้
ในตอนนั้นเองที่ร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเขา กระบี่เล่มหนึ่งตัดก้อนพลังมายาของเหยาเหยาจนแตกกระจายและสลายไปในอากาศ
“จอมยุทธ์หลิน !”
มู่อวิ๋นที่ดวงเกือบจะถึงฆาตถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาช่วยชัดเจนเขาก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลินเหยียนคือหนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินนี้ แน่นอนว่ามู่อวิ๋นย่อมรู้จักดี ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้เหนือชั้นยิ่งกว่าตัวเขาที่เป็นอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักหลายเท่า หากไม่นับจ้าวนครเมฆาแล้วก็คงยากที่จะหาผู้ใดในแผ่นดินมาต่อกรกับเขาได้
“ท่านอธิการมู่อวิ๋น ข้าจะช่วยอีกแรง”
หลินเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาและมู่อวิ๋นเคยพบเจอกันมาบ้างและทั้งคู่ต่างก็นับถือในความสามารถของกันและกัน เมื่อได้มีโอกาสต่อสู้เคียงข้างกันในวันนี้ ต่างฝ่ายจึงต่างรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก
“เช่นนั้นพวกเราก็ช่วยกันจัดการเจ้าสามคนนี่ ให้พวกมันได้รู้ว่าจอมยุทธ์แห่งหวนหลิงมิใช่ผู้ที่ใครจะรังแกได้ง่าย ๆ”
มู่อวิ๋นพยักหน้า ทว่าก็ไม่เหลือเวลาสนทนากับหลินเหยียนอีกเนื่องจากการจู่โจมชุดต่อไปของเหยาปิงและเหยาชิงไข่พุ่งเข้ามาถึงตัวแล้ว
สามพี่น้องเหยาขมวดคิ้วเมื่อเห็นการปรากฏตัวของบุรุษผู้มาสมทบกับฝ่ายตรงข้าม ทันทีที่เห็นพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของหลินเหยียนทันที และยังรู้สึกด้วยว่ามันอาจจะเหนือกว่าพวกเขาเสียด้วยซ้ำ !
เพียงแค่จะเร่งจัดการมู่อวิ๋นคนเดียวให้สำเร็จก็ปวดหัวไม่น้อยอยู่แล้ว แต่นี่มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มาให้รับมือ หากปล่อยให้เวลายิ่งผ่านไป พวกเขาก็อาจกลายเป็นฝ่ายตกที่นั่งลำบากเสียเอง
“เหอะ ที่พวกเจ้าแข็งแกร่งได้ก็เพราะเกิดในดินแดนเทพมายาซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยทรัพยากรที่มากกว่าดินแดนของพวกเราอย่างเทียบกันไม่ได้ หากจะคิดว่าพวกของเจ้าเก่งกาจกว่าเราก็เชิญลำพองใจกันต่อไป แต่หากพวกเจ้าคิดว่าชาวหวนหลิงเราอ่อนแอและสามารถรังแกได้ง่าย ๆ พวกเจ้าก็คิดผิดแล้ว !”
หลินเหยียนค่อนแคะด้วยความโกรธ ไม่ทันสิ้นประโยค ร่างของเขาก็หายวับไปแล้วพุ่งเข้าจู่โจมเหยาปิงและเหยาชิงไข่ที่อยู่ใกล้ ๆ
มู่อวิ๋นที่เพิ่งหลบออกมาจากวงล้อมได้เผยรอยยิ้มมาดมั่น ฉับพลันเขาก็พุ่งเข้าจู่โจมเหยาเหยาอย่างรวดเร็ว
หลินเหยียนนั้นแข็งแกร่งและป่าเถื่อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเหยาปิงและเหยาชิงไข่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงตกเป็นรองในชั่วพริบตา
มู่อวิ๋นที่ได้โอกาสหยิบโอสถฟื้นฟูพลังขึ้นมากิน และเขาก็ไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเมื่อต้องต่อสู้ตัวต่อตัวกับเหยาเหยาอีกต่อไป
อีกด้านหนึ่ง กลุ่มของฉินเฟินกับอสูรทั้งสามเริ่มชิงความได้เปรียบกลับมาบ้างแล้ว
อสูรทั้งสามล้วนเป็นอสูรสวรรค์ระดับจักรวรรดิที่ซึ่งมีพลังเทียบได้กับทั้งสองสตรีจากนิกายหงส์มังกรและหลิงซาน อีกทั้งเมื่อผนึกกำลังกับเหล่ายอดฝีมือไป๋อวิ๋นที่มีจำนวนมากก็ทำให้กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างรวดเร็ว
‘เพลิง’ ที่กำลังปะทะกับจ้าวอารามนั้น จู่โจมอย่างเกรี้ยวกราดและร้อนแรงสมดังนามที่มี กระบวนท่าที่คชสารโลหิตใช้ก็ดุร้ายรุนแรงสมพลังแห่งเผ่าพันธุ์ มันกดดันอีกฝ่ายจนไม่เหลือช่องว่างใดให้ได้โต้ตอบ
ทันทีที่เห็นการปรากฏตัวของอสูรทั้งสาม ใบหน้าของหลิงซานก็บึ้งตึงขึ้นทันตา
เดิมทีจ้าวแห่งอารามมั่นใจว่าขอเวลาอีกเพียงหนึ่งก้านธูปก็จะควบคุมสถานการณ์และทำลายกำลังรบของไป๋อวิ๋นได้แล้ว ทว่ากลับต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอสูรสวรรค์ระดับสูงสามตนเสียก่อน นี่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
“หงส์แดง !”
จู่ ๆ สตรีที่กำลังต่อสู้อยู่กับหงส์แดงก็อุทานออกมาด้วยอาการตกใจ ความกลัวปรากฏอยู่ในแววตาของนาง
“ชิ ! คิดว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็เป็น ‘ยัยไก่แจ้หน้าเขียว’ ..เอ้ย !.. ‘ไก่ฟ้ามรกต’ นี่เอง”
หลังจากประมือกันได้สักพัก หงส์แดงก็พอจะทราบตัวตนของอีกฝ่ายจึงกล่าววาจาคล้ายล้อเลียนด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“หงส์แดง เจ้ามาปรากฏตัวในดินแดนนี้ได้อย่างไร ?!”
สตรีนางนั้น หรือแท้ที่จริงก็คืออสูรเผ่าพันธุ์ปักษาที่เรียกขานกันว่า ‘ไก่ฟ้ามรกต’ อดถามคำถามนี้ออกมาไม่ได้ หงส์แดงเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบเคียงได้กับ ‘หงส์มังกร’ อสูรในตำนานที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งนิกายของพวกนาง ทว่าหงส์ศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ได้หายสาบสูญไปนานกว่าพันปีแล้ว ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงปรากฏตัวขึ้นมาช่วยมนุษย์ทำสงครามเช่นนี้ได้
“เรื่องนั้นไม่ใช่ธุระของเจ้า”
หงส์แดงกล่าวเสียงเย็น ไม่คิดจะอธิบายสิ่งใดให้อีกฝ่ายฟัง
“ไก่ฟ้ามรกต ข้าว่าเจ้าถอยไปจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าจะเผาเจ้าตรงนี้ซะ ! เจ้าก็น่าจะพอรู้จักพลังของข้า จะอยู่ต่อไปอย่างสงบหรืออยากกลายเป็นไก่ย่างข้าให้เจ้าเลือก”
หงส์แดงข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าจะมีเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่ใกล้เคียงกัน แต่หงส์แดงมีสายเลือดอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาก สำหรับอสูรมายาแล้ว ระดับชั้นทางสายเลือดถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้พลังในร่างกาย
ไก่ฟ้ามรกตในร่างสตรีมนุษย์ขมวดคิ้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งมันก็เลือกถอนตัวออกจากสนามรบโดยสมัครใจ
ต่อหน้าอสูรระดับตำนานอย่างหงส์แดง มันรู้ตัวดีว่าไม่มีทางต้านทานได้ มันเองก็ไม่ต้องการจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
เมื่อสตรีจากดินแดนหนเหนืออีกนางเห็นไก่ฟ้ามรกตหนีไป นางเองก็ไม่ลังเลและรีบหนีไปอยู่ข้างไก่ฟ้ามรกตเช่นกัน
“ไก่ฟ้ามรกต เจ้าบอกว่าอีกฝ่ายคือหงส์แดงในตำนานอย่างนั้นรึ ?”
แท้จริงแล้วสตรีนางนี้ก็เป็นอสูรประเภทประเภทปักษาเช่นกัน มันก็คือ ‘นกหัวขวาน’ เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างไก่ฟ้ามรกตและหงส์แดงมันก็ตกใจไม่น้อย
“ไม่ผิดแน่ นางคือหงส์แดงที่สาบสูญไปนาน พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
ไก่ฟ้ามรกตพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
นกหัวขวานกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อน ด้วยกลิ่นอายของอสูรสวรรค์ผู้มาใหม่ตนนั้น ทำให้มันเชื่อไก่ฟ้ามรกตอย่างสนิทใจ
หลังจากที่สตรีทั้งสองถอยออกไปแล้วก็หลงเหลือเพียงหลิงซานที่ประมืออยู่กับเพลิงเท่านั้น
แน่นอนว่าหลิงซานเองก็ไม่ได้โง่งมดึงดันสู้ต่อไปอีก เขาพยายามจะถอนตัวเพื่อถอยหนีออกไปตั้งหลักในที่ที่ปลอดภัยก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทีของจ้าวอาราม ฉินอวี้โม่ก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าอย่าได้ปรานีและรีบจำกัดหลิงซานเสีย
เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนาย คชสารโลหิตก็ไม่ลังเล มันรีบเร่งความเร็วพุ่งตามไปแล้วออกหมัดใส่อีกฝ่ายทันที
— ปัง ! —
หลิงซานถูกหมัดของเพลิงซัดจนกระเด็นออกไปไกล ในตอนนี้จ้าวอารามหวาดกลัวถึงขีดสุด ผู้ปกครองของขุมกำลังลึกลับมากอำนาจไม่เหลือกะจิตกะใจจะสู้ต่อไปอีก
ด้วยถือกำเนิดในเผ่าพงศ์คชสาร เพลิงจึงเป็นหนึ่งในอสูรที่ทรงพลังเหลือล้น เพียงถูกหมัดของมันเข้าไปร่างกายก็จะได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล หากไม่ใช่เพราะมีม่านพลังป้องกัน เกรงว่ากระดูกทั่วร่างของหลิงซานคงจะแหลกละเอียดไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เพลิงยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันยังคงทุบตีหลิงซานอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ ศึกทางด้านหานโม่ฉือเองก็ใกล้จะถึงจุดตัดสินแล้ว ฉินอวี้โม่ไม่ห่วงบุรุษน้ำแข็งของนางมากนักเนื่องจากเห็นว่าเขาสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ไม่ยากเย็น อีกทั้งนางยังเชื่อมั่นในฝีมือที่น่าเกรงขามของคนเย็นชาผู้นี้
ในตอนนั้นเอง หานโม่ฉือก็เรียกอสูรมายาคู่ใจออกมา มันคือกิเลนแสนสง่างามที่ซึ่งมีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเสี่ยวเฮยของนางมากนัก
ในทันทีที่กิเลนงดงามตนนั้นปรากฏตัวก็ทำให้หลงจื้อและหลงเฉิงชะงักไป
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะประมาทเจ้าเกินไป !”
หลงจื้อแค่นเสียงเย็นชา ทว่าเมื่อได้กวาดตามองสถานการณ์โดยรอบ ใบหน้าของเขาก็หม่นลงทันที
.