คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 206 ความไร้ยางอายของหลิงซาน
ภายในเวลาไม่นานนัก กองกำลังฝ่ายนครไป๋อวิ๋นก็พลิกกลับมาเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ได้
บัดนี้ใบหน้าของหลิงซานน่าเกลียดเป็นอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในครานี้ พวกเขาถึงกับยอมลงทุนอ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือในดินแดนหนเหนือถึงเจ็ดชีวิต ทว่าเมื่อฉินอวี้โม่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ลมหายใจสถานการณ์กลับพลิกผัน
อสูรสวรรค์ที่เข้ามาร่วมการต่อสู้ทั้งสามตัวล้วนเป็นระดับจักรพรรดิอสูรสวรรค์ เมื่อร่วมกับหานโม่ฉือ มู่อวิ๋น และหลินเหยียน ฝ่ายไป๋อวิ๋นจึงมีกำลังรบที่เหนือกว่าเพราะเพียงแค่หลินเหยียนและมู่อวิ๋นสองคนก็ไล่ต้อนสามพี่น้องเหยาจนไม่มีโอกาสโต้กลับแล้ว
ทางด้านหงส์แดงยิ่งแล้วใหญ่ แค่มันเพียงตัวเดียวก็สามารถไล่สองนางอสูรจากนิกายหงส์มังกรไปได้โดยแทบไม่สูญเสียพลัง
แท้จริงแล้วสาวกแห่งนิกายหงส์มังกรเกือบทั้งหมดมิใช่มนุษย์แต่เป็นอสูรมายา หลงจื้อและสามยอดฝีมือระดับสูงที่มาร่วมศึกในวันนี้เองก็เป็นอสูรสวรรค์ทั้งหมดเช่นกัน กล่าวได้ว่านิกายหงส์มังกรถือเป็นขุมกำลังที่เป็นศูนย์รวมของอสูรมายาจำนวนมากในดินแดนหนเหนือ
อสูรสาวทั้งสองจากนิกายหงส์มังกรเป็นอสูรมายาประเภทปักษา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหงส์แดงที่เป็นปักษาสายเลือดสูงส่งและเป็นดั่งราชาแห่งหมู่มวลอสูรปักษีก็ทำให้พลังในการต่อสู้ของพวกมันถูกกดข่มเอาไว้จนยากจะต้านทานอีกฝ่ายได้
เมื่อพบว่ากำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สามพี่น้องเหยาก็ไม่ลังเลอีก พวกเขารีบเรียกอสูรมายาของตัวเองออกมาช่วยต่อกรกับคู่ต่อสู้ ต้องบอกว่ามิใช่เพียงตัวจอมยุทธ์ในดินแดนเทพมายาเท่านั้นที่มีฝีมือขั้นสูงเพราะแม้แต่อสูรมายาคู่ใจของพวกเขาแต่ละคนก็ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับจักรพรรดิ
ขณะที่ยอดฝีมือจากนิกายหงส์มังกรไม่สามารถเรียกอสูรมายาออกมาได้เนื่องจากพวกมันคืออสูรมายาอยู่แล้วและนั่นส่งผลให้กำลังพลฝ่ายของมันค่อนข้างเสียเปรียบ
มู่อวิ๋นเองก็เรียกให้อสูรมายาคู่กายของตนออกมาเช่นกัน อสูรตนนั้นมีรูปลักษณ์แปลกตาทว่างดงามราวประติมากรรมที่สรรค์สร้างจากเทพเซียน มันเป็นอสูรสาวที่มีใบหน้างดงาม รูปทรงเย้ายวน ลำตัวช่วงบนคล้ายสตรีมนุษย์ แต่ส่วนล่างตั้งแต่เอวลงไปมีรูปลักษณ์เป็นมัจฉา ลักษณะร่างกายเช่นนี้คล้ายสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่า ‘นางเงือก’ จากเทพนิยายของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ที่ฉินอวี้โม่เคยอยู่
กลิ่นอายของอสูรคู่ใจอธิการโรงเรียนราชสำนักนั้นชวนให้เกรงขามน่าหวาดหวั่น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับ ‘จักรพรรดิอสูรสวรรค์ขั้นสูงสุด’
ทันทีที่นางเงือกปรากฏตัว พลังอันอ่อนโยนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างสง่างามก็ทำให้มู่อวิ๋นที่อ่อนล้าจากการต่อสู้ฟื้นฟูพละกำลังกลับมา ยิ่งกว่านั้นพลังมายาของท่านอธิการก็เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันบาดแผลทั้งหมดบนร่างกายก็เริ่มสมานตัวอย่างช้า ๆ
ทางฝั่งจ้าวอารามนั้น ดูเหมือนจะไร้ซึ่งอสูรประจำกายจึงไม่ได้เรียกใช้งาน อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเองก็เพียงพอจะกดดันทุกคนในที่แห่งนี้ได้แล้ว หลิงซานยังคงเป็นบุคคลที่อันตรายที่สุดในศึกครั้งนี้สำหรับฝ่ายไป๋อวิ๋น
“เจ้าคือฉินอวี้โม่อย่างนั้นรึ ?”
หลิงซานหันไปจ้องมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวถาม คิ้วของผู้นำกองกำลังจากอารามบัดนี้ขมวดแน่น สีหน้าของเขายามนี้คล้ายหลงลืมการปิดบังความรู้สึกนึกคิดเช่นที่เคยทำ
“ถูกต้อง ไม่ทราบว่าท่านจ้าวอารามมีสิ่งใดจะชี้แนะ”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มอ่อนก่อนจะเอ่ยตอบเสียงยียวน นางไม่เกรงกลัวจ้าวอารามเลยแม้แต่น้อย แม้จะถูกอีกฝ่ายจ้องมองด้วยสายตาอาฆาตแค้นราวจะกินเลือดเนื้อแต่สีหน้าของนางก็ยังคงมีแต่ความสะใจไม่เปลี่ยนแปลง
“ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าที่สังหารผู้อาวุโสสองและยังทำให้คนของอารามเราต้องบาดเจ็บอีกหลายคนใช่หรือไม่ ?”
จ้าวอารามกล่าวถามต่อ ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยไปด้วยความโกรธมิอาจปกปิด
“ถูกต้อง ข้าเป็นคนทำเอง”
ฉินอวี้โม่พยักหน้านิ่ง ๆ ไม่คิดปฏิเสธ
“ในเมื่อกล้ากระทำเรื่องเลวทรามท้าทายขุมกำลังของเรา เช่นนั้นอารามก็ ‘มีความชอบธรรม’ ที่จะจัดการกับเจ้า วันนี้พวกเรามาเพื่อทวงความเป็นธรรมและแสดงให้โลกเห็นถึงพลังของอาราม !”
หลิงซานประกาศเสียงดังก้อง ยิ่งได้เห็นท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของฉินอวี้โม่ เขาก็ยิ่งหน้าบึ้งด้วยความแค้นเคืองอันมิอาจทนต่อไปได้
“ฮ่า ๆ ๆ ถึงขั้นนี้แล้วท่านยังจะแสร้งเป็นคนดีมาประท้วงทวงความเป็นธรรมอีกหรือ ทุกคนต่างก็รู้เห็นการกระทำที่น่าละอายของอารามกันทั้งนั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย้ย นางอดกล่าววาจาเสียดสีสวนกลับไปไม่ได้
“ผู้อาวุโสสองกระทำเรื่องไร้ยางอายปลอมตัวเป็นผู้เยาว์เข้าสอบและลอบทำลายข้ากับสหายของข้าก่อน เช่นนี้ท่านจะบอกว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ตอบโต้อย่างนั้นรึ ? อารามมาตามรังควานพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่าแต่พวกเราก็ไม่เคยไปคิดบัญชีกับอารามเลย แล้วมาครั้งนี้พวกท่านถึงกับยกกองกำลังมาเปิดศึกกับนครไป๋อวิ๋นโดยใช้เหตุผลหน้าด้านน่าสมเพช กล้าอ้างว่าเรียกร้องหาความเป็นธรรม ! อารามเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วหรือไม่ข้าไม่มั่นใจ แต่ที่ข้าแน่ใจมากเสียยิ่งกว่าเรื่องที่พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกก็คือ อารามเป็นขุมกำลังที่หน้าหนาที่สุดในแผ่นดิน !”
ฉินอวี้โม่พ่นถ้อยคำทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
ปกติแล้วคำเรียกขานว่า ‘อาราม’ เป็นคำอันศักดิ์สิทธิ์สื่อถึงความน่าเคารพบูชา ขุมกำลังที่เรียกแทนตนเองด้วยนามเช่นนี้สมควรจะเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรมและความดีงาม แต่คิดไม่ถึงว่าอารามแห่งหวนหลิงจะกลับกลายเป็นขุมกำลังที่ชั่วร้ายและไร้ยางอายอย่างน่ารังเกียจไปได้
อันที่จริงอารามโชติช่วงเองก็ไม่ต่างจากอารามหวนหลิง พวกเขาต่างก็ไร้ยางอายไม่แพ้กัน ขุมกำลังของพวกเขาทำให้นิยามแห่งคำว่า ‘อาราม’ ต้องแปดเปื้อนและมัวหมอง
“ข้าว่าขุมกำลังของพวกเจ้าควรจะเปลี่ยนจากคำว่า ‘อารามโชติช่วง’ ไปเป็น ‘อารามโครตชั่ว’ เสียจะดีกว่า”
หลินจิ้งหงมาปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่พร้อมสาดวาจาเสียดแทงที่ทำให้เหล่ายอดฝีมือจากอารามต้องหน้าชาเข้าใส่
“ถูกต้อง ข้าไม่เคยเห็นขุมกำลังใดที่ไร้ยางอายเท่าพวกเขามาก่อนเลย”
เยว่ชิงเฉิงส่งเสียงสนับสนุนตามน้ำ แม้ว่าตัวนางจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับฝ่ายตรงข้าม แต่นางก็ไม่เกรงกลัวพวกเขาเช่นกัน
ในเมื่อกล้าเข้าร่วมสงครามใหญ่ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับความตายเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นยังมีสิ่งใดที่ต้องกลัวกันอีก
“เหอะ ผู้ชนะคือราชา ! ในโลกใบนี้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่กุมอำนาจได้ อารามของเราแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะหาข้ออ้างอย่างไรก็ย่อมไร้ความหมาย”
หลิงซานยังคงกล่าววาจาหน้าไม่อายได้โดยไม่สนสนใจสายตาผู้คน
“ที่ท่านกล่าวก็ไม่ผิด แต่ดูเหมือนว่าวันนี้พวกท่านจะไม่ได้เป็นผู้ชนะอย่างที่อวดอ้างเสียแล้วล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ น้ำเสียงหวานเต็มไปด้วยความขบขันและแฝงแววเย้ยหยันชัดเจน
สำหรับโลกมายาอันไพศาลนี้เป็นความจริงที่ว่า ‘ผู้ชนะคือราชา’ แต่ทว่าขณะนี้ทางฝ่ายอารามยังไร้แววจะคว้าชัย ที่สำคัญพวกเขายังดูตกเป็นรองเสียด้วยซ้ำ การที่จ้าวอารามเอาแต่กล่าววาจาเหยียดหยามผู้อื่นอย่างดื้อรั้น ประกาศปาว ๆ ว่าตนเหนือกว่าทั้ง ๆ ที่กำลังจะพ่ายแพ้เช่นนี้จึงดูน่าเวทนาจนชวนขบขัน
“ฮ่า ๆ ๆ แม้ตอนนี้เรายังไม่ได้รับชัยชนะก็จริง แต่อย่างไรวันนี้เราก็ชนะอย่างแน่นอน !”
ครานี้เหยาปิงที่อยู่ข้างกายจ้าวอารามหวนหลิงเป็นผู้เอ่ยปากตอบโต้ ใบหน้าของบุรุษจากอารามโชติช่วงเต็มไปด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น
ด้วยท่าทีที่มั่นใจหนักหนาและวาจาที่เอาแต่ประกาศว่าตนจะต้องชนะของฝ่ายศัตรู ทั้ง ๆ ที่รู้เห็นกันอยู่ว่าพวกเขากำลังเสียเปรียบอย่างหนัก อีกทั้งก็ดูเหมือนไพ่ตายทุกใบจะถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ทำให้กำลังพลฝั่งไป๋อวิ๋นบางส่วนเริ่มเกิดเคลือบแคลงสงสัยและเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้น
“อย่างนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ช่วยแสดงให้ข้าดูหน่อยว่าพวกท่านจะชนะได้อย่างไร”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูไม่นึกเกรงกลัวคำคุยโวของคนตรงหน้า
เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์โดยรอบและได้ฟังคำพูดของฉินอวี้โม่ หลิงซานก็ตัดสินใจบางอย่างได้จึงเอ่ยปาก “ฉินอวี้โม่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเหนือผู้ใด อยู่เพียงขอบเขตนภมายาก็สามารถสังหารผู้อาวุโสสองของเราได้แล้ว เช่นนั้นหากวันนี้ข้าจะขอท้าให้เจ้าประมือกับข้าตัวต่อตัว เจ้าจะกล้าหรือไม่ ?!”
“เหอะ ! ตาเฒ่าหลิงซาน เจ้านี่ไร้ยางอายจนเกินคนแล้ว ตัวเจ้าฝึกฝนมาเป็นร้อยปีและเป็นถึงผู้ปกครองของขุมกำลังใหญ่ เหตุใดกล้าเสนอเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้ออกมา ฉินอวี้โม่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีเสียด้วยซ้ำ เจ้ากลับกล้าท้านางสู้ตัวต่อตัว ข้าถามตรง ๆ เถอะ เจ้ายังมีเกียรติอยู่อีกหรือไม่ ?”
ทันทีที่ได้ยินข้อเสนอของจ้าวอาราม หลินซิวหยาก็เดือดดาลถึงขีดสุด บุรุษผู้ยึดถือคุณธรรมอดพ่นคำด่าทอออกมาไม่ได้
“หากจ้าวอารามต้องการประลองตัวต่อตัว ข้าก็จะขอเป็นคู่มือให้เอง ข้าจะไม่ยอมเห็นใครหน้าไหนรังแกคนรุ่นเยาว์ต่อหน้าข้า ไม่ว่าจะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือสมควรกระทำ”
มู่อวิ๋นเอ่ยปากเพราะรู้สึกว่าหลิงซานผู้นี้ไร้ยางอายเกินไปอย่างแท้จริง
“ฉินอวี้โม่ บอกมาว่าเจ้ากล้าหรือไม่กล้า ข้าให้สัญญาว่าหากข้าเป็นฝ่ายแพ้ ข้าและคนของอารามทั้งหมดจะถอนตัวออกไปจากที่นี่ทันที และข้าสัญญาจะไม่เข้ามาเหยียบนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้อีกแม้แต่ครึ่งก้าว”
หลิงซานไม่สนใจคำพูดของหลินซิวหยาและมู่อวิ๋น เขายังคงจ้องมองฉินอวี้โม่พลางเอ่ยเร่งเร้าอีกฝ่ายให้ตัดสินใจ
ทันใดนั้นเอง หานโม่ฉือก็ปรากฏตัวข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ ทว่าบุรุษน้ำแข็งกลับไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงยืนมองสตรีผู้เป็นที่รักอย่างรอคอยคำตอบ
หานโม่ฉือเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่และจะไม่แทรกแซงการตัดสินใจของนาง เขามองโฉมงามของเขาเพื่อให้นางมั่นใจว่านางยังมีบุรุษผู้นี้อยู่เคียงข้าง
ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะเลือกสู้กับหลิงซานหรือไม่ก็ไม่สำคัญ อย่างไรวันนี้เขาก็จะปกป้องนางไม่ให้ได้รับอันตรายและจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายนางได้
“หลิงซาน เจ้าคงคิดว่าข้ากลัวเจ้าสินะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ยังคงความมั่นใจเปี่ยมล้น
หากเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่นางยังไม่ได้รับมรดกของเทพมายาและปลดผนึกของกายเทพมายาขั้นที่หนึ่งได้สำเร็จ การต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดอย่างจ้าวอารามก็คงจะทำให้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย เพราะนางในตอนนั้นไม่อาจคงไม่สามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายเลยสักนิด
“หลิงซาน ไม่ต้องห่วงไป ข้าจะไม่ให้อสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิของข้าเข้าร่วมการต่อสู้นี้ เพราะถ้าหากยืมมือเพื่อนของข้าทั้งสามเกรงว่าข้ายังไม่ทันลงมือก็คงต้องยืนดูเจ้าถูกบดขยี้เหมือนกับมด เช่นนั้นมันน่าเบื่อเกินไป ในเมื่อเจ้าริอ่านอยากจะประมือกับข้า ข้าก็จะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าตัวเจ้ามันโอหัง ประเมินกำลังตัวเองสูงเกินไป !”
ทันใดนั้นร่างของฉินอวี้โม่ก็หายวับไป โฉมงามตระกูลฉินปรากฏตัวอีกครั้งกลางอากาศ สายตาอันมุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้จับจ้องอยู่ที่หลิงซาน ที่สำคัญแววตานั้นเจือแววประหลาดน่าหวาดหวั่นไม่ต่างจากปีศาจร้าย
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สีหน้าของหลิงซานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับคำท้า ในใจของเขาก็ลอบยิ้มเยาะอย่างยินดี
บุรุษอาวุโสแห่งขุมกำลังมากอำนาจไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเอาชนะตนได้ หากสตรีโอหังนั่นใช้จักรพรรดิอสูรสวรรค์ทั้งสามเข้าต่อสู้ เขาก็อาจจะรับมือกับนางไม่ได้ แต่หากเป็นนางเพียงคนเดียว ก็แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา
ถึงอย่างไรเมื่อปีก่อน ฉินอวี้โม่ก็เป็นเพียงจอมยุทธ์นภมายา แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์สูงจนก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนทั่วไป แต่อย่างมากก็ต้องอยู่แค่ในระดับทูตสวรรค์เท่านั้น ตัวเขาที่เป็นถึงจอมยุทธ์จักรพรรดิทูตสวรรค์ที่ห่างชั้นกันอย่างเทียบไม่ติดย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ฉับพลันร่างอาวุโสก็หายวับไป หลิงซานปรากฏตัวกลางอากาศ ยืนประจันหน้ากับฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้ารื่นเริงไม่ปกปิด
“ฉินอวี้โม่ วันนี้เจ้ารนหาที่ตายเอง หากข้าพลั้งมือสังหารเจ้าไปก็อย่ามาตำหนิข้า”
หลิงซานกล่าววาจาข่มขู่ ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย
“หึ ๆ ๆ หลิงซาน อย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะสังหารข้าได้หรอก !”
ฉินอวี้โม่ยังคงไม่มีความกังวลให้เห็น น้ำเสียงหวานใสเต็มไปด้วยความแน่วแน่ คุณหนูตระกูลฉินเองก็มั่นใจมากว่าตนจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ตัดสินใจจะประมือกับหลิงซาน ฉินเฟินผู้เป็นปู่และฉินหยางผู้เป็นอาก็เป็นกังวลอย่างมาก พวกเขากำลังกลัวว่าหลาวสาวผู้เป็นที่รักจะได้รับอันตราย
ทว่าในตอนที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง หนึ่งผู้เฒ่ากับหนึ่งบุรุษวัยกลางคนก็ถูกหานโม่ฉือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไว้ใจนางเถิด”
บุรุษตระกูลหานกล่าวสั้น ๆ แม้จะมีเพียงสี่พยางค์ แต่ถ้อยคำนั้นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เขามีต่อฉินอวี้โม่ชัดเจน
หานโม่ฉือเชื่อโดยไร้เงื่อนไขว่าหากฉินอวี้โม่ต้องการจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่มีใครหยุดยั้งนางได้ ตัวเขาเองไม่เคยคิดจะหยุดหญิงสาวผู้นี้ ตรงกันข้ามเขาจะเป็นผู้คอยเชื่อและสนับสนุนนางในทุก ๆ หนทาง
ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ที่นี่ก็อย่าหวังว่าจะมีอันตรายใดกล้ำกรายนางได้ ศึกครั้งนี้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับยอดดวงใจของเขา บุรุษเลือดเย็นจะไม่ลังเลที่จะเข้าไปสังหารฝ่ายตรงข้ามทันที เขาไม่ใส่ใจถูกผิด และไม่สนใจด้วยว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร
เมื่อได้ยินประโยคแสนเชื่อมั่น พร้อมกับเห็นแววตาแน่วแน่ของหานโม่ฉือ ฉินเฟินและฉินหยางก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก พวกเขาทำเพียงคอยเฝ้ามองหลานสาวตัวน้อยเงียบ ๆ ถึงสายตาจะยังเป็นห่วงแต่ใจก็ลดทอนความร้อนรนจากความกังวลลงได้บ้างแล้ว
ทางด้านสามพี่น้องเหยาที่กลับมารวมตัวกันจ้องมองไปยังการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นด้วยความรู้สึกอัดอั้นซับซ้อน
พวกเขาไม่รู้จักสตรีนามฉินอวี้โม่และไม่ทราบมาก่อนนางมีความแค้นประการใดกับทางอารามหวนหลิง หากให้กล่าวตามตรง พวกเขาทราบเพียงว่าสาขาในหวนหลิงร้องขอความช่วยเหลือเพราะถูกมดปลวกรุกราน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของสตรีที่อยู่กลางสนามรบผู้นั้นแล้ว บุรุษเหยาสามพี่น้องก็ทั้งประหลาดใจและรู้สึกสนใจสาวงามผู้นี้ขึ้นมา สตรีที่อายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีกลับกล้าต่อกรกับจ้าวอารามด้วยตัวคนเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องยากจะเชื่ออย่างยิ่ง นับว่าพวกเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
“เสี่ยวจิ่ว ม่อเสีย วิญญาณอสูรเสริมร่าง !”
เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออย่างจ้าวอาราม ฉินอวี้โม่ก็ไม่กล้าประมาท นางเรียกใช้ทักษะอสูรเสริมร่างในทันทีที่เริ่มต้น
ม่อเสียเปลี่ยนสภาพกลายเป็นชุดเกราะเบา ขณะที่เสี่ยวจิ่วกลายร่างเป็นกระบี่ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง ภาพที่สตรีโฉมงามผู้เก่งกล้าสวมใส่เกราะวาววับและคว้าจับกระบี่คมกล้าน่าหวาดหวั่น ทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็เบิกตากว้าง ในตอนนี้โฉมงามตระกูลฉินดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ทั้งสภาวะพลัง ความองอาจ และความสง่างามเจิดจรัสไม่ด้อยไปกว่าบุรุษชาตินักรบเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้นสภาวะพลังที่นางปลดปล่อยออกมายังแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ นี่ช่วยบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า บัดนี้ฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว กระนั้นภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นอยู่นี้กลับมิอาจบั่นทอนกำลังใจของหลิงซานลงไปได้ ตรงกันข้ามกับช่วยให้เขามั่นใจขึ้นเสียมากกว่า เป็นไปตามที่คาด นางเป็นเพียงจอมยุทธ์ทูตสวรรค์เท่านั้น
ถึงแม้สตรีตรงหน้าจะใช้เกราะอสูร ทว่าเขาก็ยังไม่คิดว่านางจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ตรงข้ามกับหลิงซาน ผู้คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ล้วนตกตะลึงกันถ้วนหน้า สาวน้อยอายุสิบเจ็ดปีกลับก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้ นี่ถือเป็นพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
เมื่อเห็นท่าทีที่ยังคงกระหยิ่มยิ้มย่องของหลิงซาน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปาก ด้วยความประมาทของเขาจะช่วยให้นางจบการต่อสู้ครั้งนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น ปฏิกิริยาจากฝ่ายศัตรูลดทอนความกดดันที่นางมีลงไปอย่างมาก
นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูไม่ลังเลอีก ร่างของนางหายไปในพริบตา ฉับพลันก็ปรากฏกายต่อหน้าจ้าวอารามพร้อมพุ่งเข้าจู่โจม
. .