คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 217 ความเป็นปรปักษ์
หลังจากทักทายองค์หญิงฉีฉี องค์ชายฉีอวี้ และคณะจากพระราชวังแห่งนครไป๋อวิ๋นแล้ว คุณชายสามแห่งนครเมฆาก็พาฉินอวี้โม่และสหายไปยังที่แห่งหนึ่ง
…
ณ ลานกว้างใหญ่ ภายในเขตตำหนักชายาของจ้าวผู้ครองนคร
ท่ามกลางอุทยานดอกไม้งดงามสะอาดตาทว่ากลับเรียบง่ายไม่หรูหรา สตรีวัยกลางคนกำลังนอนเอนกายรับลมอยู่ภายในศาลาใหญ่ริมบึงน้ำกว้าง ดวงตาคู่งามทั้งสองข้างนั้นปิดสนิท ราวกับว่านางกำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงนิทราอันแสนรื่นรมย์
ช่างเป็นสตรีที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง ดูเหมือนตัวเลขแท้จริงของอายุที่ก้าวล้ำเกินกว่าคำว่าวัยกลางคนมามากนั้นจะมิอาจส่งผลใด ๆ ต่อความงดงามที่นางมีได้เลย ไม่เพียงเรือนร่างและใบหน้าที่ดูสมบูรณ์พร้อมตามแบบฉบับแห่งสตรีเลอโฉมเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายและบรรยากาศจากตัวของสตรีผู้นี้ยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมายให้เข้าหา และทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะผูกสัมพันธ์หรือสานไมตรีกับนาง
สตรีผู้นี้คือชายาของจ้าวนครเมฆา ผู้เป็นมารดาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเป็นท่านยายของฉินอี้เฟยกับฉินอวี้โม่ มีนามเรียกขานเป็นที่รู้จักว่า–เหวินชิงหยวน
แท้จริงแล้วสตรีงดงามผู้นี้มีอายุเกือบหนึ่งร้อยปี ทว่าหากมองแต่เพียงรูปกายภายนอกกลับดูไม่ต่างจากสตรีในวัยต้นสามสิบเท่านั้น
“ท่านแม่ ดูสิว่าข้าพาใครมา”
ขณะกำลังหลับตาพักผ่อน เหวินชิงหยวนที่ได้ยินเสียงของอวี๋เสี่ยวไห่บุตรชายคนที่สามของตนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ภาพแรกที่ปรากฏต่อสายตาคือใบหน้าของบุตรชาย ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายาของจ้าวนครเมฆาตกตะลึงคือใบหน้าของผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา สตรีอ่อนเยาว์อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่งกำลังส่งยิ้มงดงามมาให้…ใบหน้าเช่นนี้… ใบหน้าของดรุณีน้อยที่นางแสนคุ้นเคย
เมื่อเห็นสตรีตรงหน้า เหวินชิงหยวนก็นิ่งอึ้งไปในทันที ก่อนที่บนใบหน้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นไม่อยากเชื่อ
“อวิ๋นเอ๋อร์…”
เหวินชิงหยวนผุดลุกยืนขึ้นและเรียกชื่อบุตรสาวราวกับคนละเมอ ดวงตางดงามดุจเนื้อทรายเต็มไปด้วยแววยินดีปนโหยหา ร่างแบบบางย่างก้าวเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่ช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของสตรีผู้อ่อนวัยกว่าอย่างอ่อนโยน
ทว่าหลังจากได้สำรวจดูคนตรงหน้าจนทั่ว จิตใจที่ตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงของสตรีอาวุโสที่พลัดพรากจากบุตรสาวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ
“ไม่ เจ้าไม่ใช่อวิ๋นเอ๋อร์ แต่เป็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นบุตรสาวของนางหายตัวไปนานแล้ว นี่คือหนึ่งในเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับเหวินชิงหยวน เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์คือบุตรสาวผู้แสนน่ารักและเป็นที่รักยิ่งของนางและสามี การหายตัวไปของยอดดวงใจผู้นี้ทำให้ใจของเหวินชิงหยวนแทบจะแตกสลาย
รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่คล้ายคลึงกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถึงเจ็ดแปดส่วน การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของสาวน้อย ทำให้ในคราแรก เหวินชิงหยวนหลงคิดไปว่าผู้เป็นบุตรสาวกลับมาแล้ว ทว่าชายาผู้ครองนครยิ่งใหญ่ก็ได้สติอย่างรวดเร็ว
หากเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจริง ตอนนี้นางก็น่าจะอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีแล้ว ทว่าดรุณีน้อยตรงหน้านี้กลับยังดูสดใสและเยาว์วัยอย่างยิ่ง ที่สำคัญเมื่อเทียบกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแล้ว ฉินอวี้โม่ให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
“ท่านยาย”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเหวินชิงหยวนที่มีต่อตน ฉินอวี้โม่ก็แทบจะควบคุมจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นอย่างถี่รัวไม่ได้
คนตรงหน้านางก็คือท่านยาย และเป็นท่านยายที่รักมารดาของนางดั่งแก้วตาดวงใจ
อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูสัมผัสถึงความรู้สึกรักใคร่จากสตรีผู้นี้ได้อย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นความอบอุ่นอย่างเหลือล้นที่กำลังได้รับอยู่ก็ทำให้นางอยากจะซุกกายอยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนผู้นี้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มองเห็นว่าชั่ววูบหนึ่งที่คนตรงหน้าทราบว่านางไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋น ความหม่นหมองก็แล่นผ่านดวงตาเนื้อทรายที่คล้ายคลึงกับตาของนางคู่นั้นก่อนที่มันจะจางหายไป
ภาพนั้นเองทำให้ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงแล้วโค้งตัวอย่างนอบน้อม เหตุผลหนึ่งเพื่อคารวะท่านยายของตัวเอง อีกเหตุผลคือแทนการขออภัยต่อความเศร้าหมองและทุกข์ระทมที่สตรีอาวุโสผู้นี้ต้องเผชิญมาเนิ่นนาน อย่างไรเสีย สาเหตุที่ผู้เป็นมารดาไม่อาจกลับมานครเมฆาได้ก็เกี่ยวเนื่องมาจากกายเทพมายาในร่างนี้
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นเถอะ ขอข้าดูหน้าเจ้าชัด ๆ อีกที”
เหวินชิงหยวนดึงตัวฉินอวี้โม่ให้ลุกขึ้น พลางมองสำรวจทั้งใบหน้าและร่างกายนางอย่างละเอียด ดวงตาของสตรีอาวุโสเริ่มมีหยาดน้ำตาปรากฏขึ้นให้เห็น ยิ่งมองก็ยิ่งเก็บซ่อนความรู้สึกในใจไว้ไม่ได้ ท้ายที่สุดเหวินชิงหยวนก็พุ่งเข้าสวมกอดสตรีน้อยที่อยู่เบื้องหน้า น้ำตาที่พยายามข่มกลั้นพรั่งพรูเป็นสายอย่างไม่อาจห้าม
“เด็กน้อยที่น่าสงสาร หลานสาวตัวน้อยของท่านยาย หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าคงจะอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากเลยใช่ไหม ?”
ประโยคของเหวินชิงหยวนกลั่นออกมาจากหัวใจ นางรู้สึกสงสารฉินอวี้โม่มากจริง ๆ
เรื่องราวชีวิตของฉินอวี้โม่ทั้งนางและสามีพอจะรับรู้มาบ้างแล้ว
ทั้งสองทราบดีว่าชีวิตของฉินอวี้โม่ไม่ได้ดีนักในตอนที่อาศัยอยู่ในตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซี ทั้งคู่รู้ดีว่าชีวิตวัยเด็กของนางยากลำบากมากเพียงใด คุณหนูสี่ตระกูลฉินเวลานั้นไม่ต่างจากตัวตลกให้ทุกคนหาเรื่องเหยียดหยามและกลั่นแกล้งรังแก ในฐานะที่เป็นถึงยายแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้อุ้มชูและปกป้องเด็กน้อยผู้นี้ นี่ทำให้เหวินชิงหยวนรู้สึกผิดและเจ็บปวดอย่างแท้จริง
หากพวกเขาพบฉินอวี้โม่เร็วกว่านี้ก็คงจะแอบรับตัวนางมาอยู่ที่นครเมฆาอย่างลับ ๆ ได้ และถ้าหากเป็นเช่นนั้นหลานสาวตัวน้อยก็จะไม่ต้องรับความทุกข์ทรมานดังเช่นที่ผ่านมา
ฉินอวี้โม่เป็นหลานของจ้าวนครเมฆา นางควรจะมีความสุขและอยู่อย่างมีเกียรติมากกว่านี้
ทว่าเพราะจ้าวนครเมฆาและชายาทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของฉินอวี้โม่แทบจะในเวลาเดียวกันกับเหล่าผู้มีอิทธิพลของนครเมฆา พวกเขาจึงไม่อาจพาตัวทั้งหลานสาวและหลานชายมาได้เพราะเกรงจะมีภัยร้ายมาถึงตัวหลานทั้งสอง
“ท่านยาย สำหรับความทุกข์ยากที่ผ่านมา ข้าไม่เคยคิดตำหนิพวกท่านเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตล้วนเป็นตัวช่วยหล่อหลอมข้าให้เข้มแข็งได้เช่นทุกวันนี้ หากข้าอยู่อย่างสุขสบาย ข้าอาจจะไม่ก้าวหน้ามาจนถึงจุดนี้ก็ได้”
ฉินอวี้โม่ตอบอย่างสงบ กล่าวด้วยความสัตย์จริงอดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ไม่ได้รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย และตัว ‘เธอ’ เองก็เชื่อว่าต่อให้เป็นคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับหากได้รู้ความจริงก็คงไม่คิดตำหนิผู้ใดเช่นกัน
ที่สำคัญนี่อาจเป็นชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เพราะถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น วิญญาณของ ‘เธอ’ ก็คงจะไม่ได้มาอยู่ในร่างนี้
เมื่อคิดเสียว่านี่คือชะตาที่ฟ้าลิขิตและไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว ฉินอวี้โม่ก็สามารถปล่อยวางได้ กลับกันนางยังรู้สึกขอบคุณเสียอีก ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างทุกเรื่องราวที่ช่วยหลอมรวมให้นางเติบโตเป็นฉินอวี้โม่ในทุกวันนี้
“เด็กดี เจ้าช่างเป็นเด็กที่ดีจริง ๆ ถ้าแม่ของเจ้ารู้ว่าเจ้าเติบโตมาเป็นเด็กที่ดีเช่นนี้ นางคงจะมีความสุขมาก”
คำตอบของฉินอวี้โม่ทำให้เหวินชิงหยวนคลายความทุกข์ใจลงไปได้มาก
“ท่านยาย โปรดอย่าเศร้าเสียใจไปเลย ท่านไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานในการตามหาท่านแม่ ข้าสัญญาจะทำให้ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง”
ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าของผู้เป็นยายจึงกล่าวปลอบ
เหวินชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ เจ้าพูดถูก อีกไม่นานพวกเราก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว”
“เด็ก ๆ พวกเจ้าช่วยอยู่เป็นเพื่อนท่านยายสักครู่นะ …ท่านแม่ ท่านคุยเล่นกับพวกเด็ก ๆ ไปก่อนนะขอรับ ข้าจะรีบไปบอกเรื่องที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์มาถึงแล้วกับท่านพ่อและพี่ใหญ่พี่รองให้ได้ทราบกันก่อน”
เมื่อได้เห็นความตื่นเต้นของสองยายหลานเมื่อแรกพบหน้า อวี๋เสี่ยวไห่ก็พลอยตื้นตันใจไปด้วย คุณชายสามแห่งนครเมฆาจึงอยากรีบไปแจ้งข่าวดีนี้กับบิดาและพี่น้อง
เหวินชิงหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รีบไปเถอะ แล้วก็ช่วยบอกให้ทุกคนมาที่ตำหนักของข้าเพื่อดูหน้าหลานสาวด้วยนะ”
บัดนี้อารมณ์เศร้าโศกของสตรีผู้มีตำแหน่งใหญ่ในนครเมฆาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว เวลานี้นางกำลังมีความสุขที่ได้พบหน้าหลานสาวคนเดียวของตัวเอง
ต้องทราบก่อนว่าในตระกูลอวี๋นั้นมีทายาทที่เป็นหญิงน้อยมาก ตัวนางมีบุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งก็คืออวี๋เสี่ยวอวิ๋น และในบรรดาบุตรธิดาของคุณชายทั้งสามรวมถึงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็มีเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่เป็นผู้หญิง
ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่แต่เพียงเหวินชิงหยวนเท่านั้น แต่ลุงอีกสองคนของฉินอวี้โม่เองก็อยากจะเห็นหน้าหลานสาวผู้นี้มาก
อวี๋เสี่ยวไห่พยักหน้าก่อนจากไป
ขณะนี้บรรยากาศภายในศาลาริมน้ำที่พวกเขาอยู่กำลังอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่น
“ท่านยาย นี่คือสหายของข้าเอง นอกจากพวกเขาทั้งสามแล้วข้าก็ยังมีสหายคนสำคัญอีกหลายคน ทุกคนล้วนเป็นคนดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวแนะนำสหายของตนให้เหวินชิงหยวนได้รู้จักทีละคน ก่อนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่จะเอ่ยเล่าวีรกรรมมากมายของเหล่าสหายโดยเฉพาะฉินอวี้โม่ให้สตรีอาวุโสได้ฟังในระหว่างการรอคอย
“ทุกคนช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ ในช่วงนี้ข้าจะดูแลพวกเจ้าเอง แม้ว่าตัวข้าจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักแต่ก็จะดูแลทุกคนอย่างดี”
เหวินชิงหยวนยิ้มก่อนจะสั่งให้คนของนางไปจัดเตรียมสถานที่พักของหลานสาวและเหล่าหลาน ๆ ต่างสายเลือดที่เพิ่งจะได้สนิทสนมนับถือกันเป็นยายหลาน
นางมีเรื่องอยากจะคุยกับฉินอวี้โม่มากมาย แน่นอนว่านางไม่อยากให้ฉินอวี้โม่ไปพักในจุดที่ห่างไกล ส่วนเยว่ชิงเฉิงและสหายอีกสองคนก็อยากจะอยู่ใกล้ ‘ท่านยาย’ ผู้แสนเมตตาเช่นกัน ดังนั้นผู้เยาว์ทั้งสี่จากนครไป๋อวิ๋นจึงได้เข้าพักในตำหนักของชายาจ้าวนครเมฆาเพื่อรอเวลาให้งานชุมนุมเริ่มต้น
แม้ว่าเหวินชิงหยวนจะไม่ได้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในนครเมฆา ทว่าอย่างน้อย อำนาจของนางก็เพียงพอที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่คุณหนูคุณชายจากเมืองเบื้องล่างให้ได้พำนักอยู่อย่างสุขสบายได้
ยิ่งกว่านั้นอวี๋จวินซานเองก็อยู่ที่นี่ด้วย หากว่าเด็ก ๆ ทุกคนต้องการจะฝึกฝน ท่านจ้าวนครเมฆาก็สามารถส่งคนมาช่วยชี้แนะให้ได้
“ขอบคุณท่านยายมาก”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เด็กโง่ ข้าเป็นยายของเจ้ามีสิ่งใดต้องขอบคุณกัน ที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยมีโอกาสได้ดูแลเจ้า ให้เจ้าต้องทนลำบากลำบนอยู่ตั้งหลายปี มาครั้งนี้ข้าขอชดเชยในสิ่งที่ผ่าน ๆ มา ให้ท่านยายของเจ้าได้ทำหน้าที่ของยายที่ดีบ้างเถอะ”
เหวินชิงหยวนยิ้มกล่าวอย่างมีความสุข
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ แล้วพี่ใหญ่ของเจ้าเล่า เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ก่อนหน้านี้อวี๋จวินซานไม่ได้บอกเล่าข่าวคราวของฉินอี้เฟยให้ผู้เป็นชายาได้รับรู้จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไถ่ถามฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย
เรื่องของฉินอี้เฟยนางก็เป็นกังวลมาก เขาเองก็เป็นหลานชายที่นางโหยหาอยากพบเจอมากเช่นกัน ทั้งนางและสามีรอคอยมาถึงยี่สิบกว่าปีแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหลานชายผู้นี้
“พี่ใหญ่ล่วงหน้าไปที่ดินแดนหนเหนือเพื่อตามหาตัวท่านพ่อกับท่านแม่ก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเล่าเรื่องของฉินอี้เฟยให้เหวินชิงหยวนฟัง
“เด็กคนนั้นออกเดินทางตามลำพังเลยรึ เหตุใดถึงตัดสินใจอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนั้น ดินแดนหนเหนือไม่เหมือนกับดินแดนของเรา ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหวินชิงหยวนก็เป็นกังวลจนเอ่ยคำพร่ำบ่นอย่างลืมตัว เรื่องของดินแดนหนเหนือนางรู้ดี เมื่อได้ยินว่าฉินอี้เฟยเดินทางไปตัวคนเดียว นางก็ร้อนรนเพราะนึกห่วงความปลอดภัยของเขา
“ท่านยายไม่ต้องเป็นห่วงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นบุรุษใจเย็น จะคิดการสิ่งใดก็ทำอย่างรอบคอบ และพิจารณาทุกอย่างถ้วนถี่เสมอ ข้าคิดว่าเขาคงมีแผนการของตัวเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและพยายามเอ่ยปลอบผู้เป็นยายให้คลายกังวล
“ยิ่งกว่านั้นพี่ใหญ่ยังเป็นผู้หลอมโอสถที่มีพรสวรรค์สูงมาก เมื่อไปที่ดินแดนหนเหนือ สถานะของเขาจะยิ่งเฉิดฉาย ทุกขุมกำลังย่อมต้องการผูกไมตรีกับเขา ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องปลอดภัยแน่นอน”
เมื่อได้ฟังวาจายืนยันหนักแน่นของหลานสาว เหวินชิงหยวนก็โล่งใจไปได้หลายส่วน ใบหน้างดงามกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
“พวกเจ้าทั้งสองคนช่างเป็นลูกที่ดี ถ้าพ่อแม่ของเจ้ารู้เข้าจะต้องภูมิใจมากแน่ ๆ”
ฉินอวี้โม่ฉีกยิ้มกว้างเพื่อตอบกลับคำชมเชยนั้น
บทสนทนายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ทว่าในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านทางเข้าอุทยานตรงเข้ามายังศาลาริมน้ำ
ผู้ที่เดินนำหน้ามาก็คือจ้าวนครเมฆาหรือท่านปู่ของฉินอวี้โม่ อวี๋จวินซาน ด้านหลังของเขานอกจากอวี๋เสี่ยวไห่แล้วก็ยังมีบุรุษสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับทั้งจ้าวนครเมฆาและคุณชายสามอยู่หลายส่วนติดตามมาด้วย
นอกเหนือจากนี้ ที่ว่างข้างกายของอวี๋จวินซานยังมีบุรุษวัยกลางคนอีกสองคนเดินเคียงข้าง สองคนนี้มีหน้าตาคล้ายจ้าวนครเมฆาแต่กลับไม่เหมือนคุณชายสาม หากฉินอวี้โม่คาดเดาไม่ผิด ทั้งคู่น่าจะเป็นพี่น้องของท่านจ้าวผู้ครองนคร
“เป็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์จริง ๆ”
หนึ่งในสองบุรุษที่เดินเคียงข้างอวี๋เสี่ยวไห่มองมาที่ฉินอวี้โม่พลางกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้น
บุรุษผู้นี้คือลุงใหญ่ของฉินอวี้โม่ พี่ชายคนโตของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น คุณชายใหญ่แห่งนครเมฆา–‘อวี๋เสี่ยวชวน’
“นางดูคล้ายกับน้องเล็กมาก”
บุรุษอีกคนกล่าวขึ้น เขาก็คือลุงสองของฉินอวี้โม่และเป็นพี่รองของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น คุณชายรองของนคราลึกลับแห่งนี้–‘อวี๋เสี่ยวเฟย’
“ยินดีที่ได้พบท่านลุงใหญ่และท่านลุงสองเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มพร้อมกับโค้งคำนับนอบน้อม
“รีบลุกขึ้นเถอะ ไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก”
อวี๋เสี่ยวชวนและอวี๋เสี่ยวเฟยรีบเดินเข้ามาใกล้และดึงตัวฉินอวี้โม่ขึ้นมา ก่อนจะกวาดตาสำรวจ
“หลายปีมานี้เจ้าคงจะลำบากมามาก ต่อไปเจ้ามาอยู่ที่นครเมฆาของเราเถอะ ท่านพ่อและท่านแม่ รวมถึงลุงทั้งสามจะดูแลเจ้าเอง”
อวี๋เสี่ยวชวนเอ่ยคำชวนด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็เป็นผู้อาวุโสที่สุภาพใจดีคนหนึ่ง
“ใช่ พวกเราจะได้ทำหน้าของลุงที่ดีเสียที”
อวี๋เสี่ยวเฟยกล่าวเสริม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยเพราะพวกเขาไร้บุตรี อีกทั้งพี่น้องสตรีใกล้ชิดก็มีเพียงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่จากไปเนิ่นนานแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ ‘เหล่าคุณชายสามพี่น้องแห่งตระกูลอวี๋’ จะเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยผู้นี้ตั้งแต่แรกพบหน้า
ฉินอวี้โม่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด นั่นเพราะขณะนี้ในหัวใจของนางกำลังรู้สึกเต็มตื้นจากความอบอุ่นที่ได้รับ
“ใช่แล้ว เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ท่านยายของเจ้าบ่นคิดถึงเจ้ามาหลายปีแล้ว หากเจ้ามาอยู่เสียที่นี่นางคงดีใจมาก”
อวี๋จวินซานกล่าวเสริมอวี๋เสี่ยวชวนด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะตัวเขาได้พบเจอฉินอวี้โม่ก่อนจึงไม่ตื่นเต้นเท่ากับพี่ชายทั้งสอง อย่างไรก็ตาม เขาเองก็แทบจะหุบยิ้มไม่ได้เลยเช่นกัน
“พี่ใหญ่ สตรีผู้นี้คือบุตรของอวิ๋นเอ๋อร์กับเจ้าคนนอกนครนั่นใช่หรือไม่ ?”
บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายอวี๋จวินซานโพล่งคำถามขึ้น ภายในดวงตาแฝงเร้นด้วยความเกลียดชังอยู่หลายส่วน อีกทั้งน้ำเสียงที่เขาใช้ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลนไม่คิดปกปิด
เมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้ว นางสัมผัสได้ถึงความเป็นปรปักษ์ภายในน้ำเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน
“น้องสาม นี่คือหลานสาวของข้าเอง นางคือลูกสาวของอวิ๋นเอ๋อร์ เสี่ยวโม่เอ๋อร์”
อวี๋จวินซานหันไปมองคนผู้นั้นก่อนจะกล่าวแนะนำฉินอวี้โม่
บุรุษผู้ส่งสายตาเกลียดชังมายังฉินอวี้โม่ก็คือผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆา หรือน้องสามของอวี๋จวินซาน ซึ่งมีนามว่า–อวี๋จวินเหยา
ในตอนที่เขาทราบว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนมีลูกด้วยกัน เขาคือหนึ่งในผู้ที่กล่าวตำหนิธิดาแห่งนครเมฆาอย่างออกหน้า อีกทั้งยังสนับสนุนให้ส่งคนออกไปจับตัวนางกลับมารับโทษทัณฑ์
ในตอนนี้เมื่อสตรีผู้มีสายเลือดอันแปดเปื้อนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า แน่นอนว่าเขาคงไม่คิดจะญาติดีกับนางเป็นแน่
“ดรุณีน้อยผู้นี้คือบุตรสาวของอวิ๋นเอ๋อร์สินะ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนกับมารดาของเจ้ายิ่งนัก ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้ามามาก อวิ๋นเอ๋อร์ได้บุตรีที่ดีจริง ๆ”
บุรุษอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาก็คือน้องสองของอวี๋จวินซาน ผู้อาวุโสรองแห่งนครเมฆาและเป็นบิดาของฮองเฮาเหวินหย่า–เหวินเปียว
แท้จริงแล้วผู้อาวุโสรองและจ้าวนครเมฆามีสายเลือดเดียวกัน ทว่าแม้จะกำเนิดจากผู้ครองนครเมฆาคนก่อนหน้าเช่นกัน แต่ทั้งสองคือพี่น้องต่างมารดา และด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อเติบใหญ่เหวินเปียวได้เลือกใช้แซ่ของฝ่ายมารดา แต่กระนั้นความสัมพันธ์ของเขาและอวี๋จวินซานกลับแน่นแฟ้นกลมเกลียวมากกว่าทางฝั่งของอวี๋จวินเหยามาก
ฉินอวี้โม่ทักทายญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาทีละคนด้วยกิริยางดงามอ่อนช้อย แม้แต่ในตอนที่ทักทายอวี๋จวินเหยาที่แสดงท่าทีต่อต้านตั้งแต่แรกพบ สีหน้าของคุณหนูตระกูลฉินก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
.