คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 220 การปกป้องของพี่ชาย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอวี๋หยางและอวี๋ปิง ฉินอวี้โม่เองก็เผยรอยยิ้มออกมา
สายตาที่พวกเขาใช้มองนางเต็มไปด้วยความเอ็นดูที่ไม่อาจปกปิด
“ยินดีที่ได้พบท่านพี่ทั้งสอง”
เมื่อเห็นทั้งคู่ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก นางจึงเอ่ยคำทักทายออกไปก่อน
“ยินดีที่ได้พบเสี่ยวโม่เอ๋อร์”
เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าว ใบหน้าของอวี๋ปิงและอวี๋หยางที่แต่เดิมนิ่งอึ้งอยู่ก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง
“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้พวกเรากำลังอยู่ระหว่างท่องโลกภายนอกเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าเจ้ามาที่นครเมฆาเราจึงรีบกลับมาเป็นการด่วน ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันจะเข้าไปถึงตัวนครก็ได้พบเจ้าก่อนแล้ว”
อวี๋ปิงยิ้มและเดินเข้าไปหาน้องสาวที่เขารอคอย เขาอดไม่ได้ที่จะกอดนางอย่างนุ่มนวลก่อนจะรีบผละออกอย่างรวดเร็ว
อวี๋หยางเองก็มองดูฉินอวี้โม่ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง เวลานี้ใบหน้าของคนเงียบขรึมดูผ่อนคลายกว่าปกติมาก
“เหอะ ! อวี๋ปิง อวี๋หยาง พวกเจ้าสองคนมาก็ดีแล้ว”
อวี๋เฟิงที่อยู่อีกด้านเห็นอวี๋ปิงและอวี๋หยางทักทายฉินอวี้โม่อย่างมีความสุขก็ทนไม่ได้ต้องโพล่งวาจาเข้าขัดจังหวะ
“ลูกพี่ลูกน้องของพวกเจ้าลงมือทำร้ายข้า พวกเจ้าทั้งคู่เป็นคนของนครเมฆา คงจะรู้สินะว่าการที่คนนอกบังอาจมาหยามข้า คนผู้นั้นจะได้รับผลอย่างไร”
เขาหันไปมองฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวต่อ “วันนี้ถ้านางยอมก้มหัวขอโทษข้า ข้าจะถือว่าเรื่องในวันนี้แล้วกันไป มิฉะนั้นแล้วอย่ามาตำหนิข้าทีหลังหากข้าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานท่านปู่และท่านจ้าวนคร หลานสาวนอกคอกของจ้าวนครเมฆาบังอาจทำเรื่องเลวทรามทำร้ายผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์ หากชาวนครเมฆารู้เรื่องก็คงไม่ยินดีเป็นแน่”
วาจาของอวี๋เฟิงคือการข่มขู่อย่างชัดเจน เขากล่าวในขณะที่เชิดหน้าขึ้นสูงราวกับไม่เห็นคู่แฝดทั้งสองนี้อยู่ในสายตา
อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาทำให้สมาชิกในคณะของฉินอวี้โม่หัวเราะออกมา
“อวี๋เฟิง เจ้าจะไร้ยางอายไปหรือเปล่า เป็นเจ้าเองที่เข้ามายั่วยุพวกเราก่อน แต่กลับข่มขู่ให้พวกเราขอโทษ ไม่คิดว่ามันน่าขำไปหน่อยหรือ ?!”
เยว่ชิงเฉิงกล่าววาจาโต้กลับไป
แม้จะได้ยินสิ่งที่เยว่ชิงเฉิงพูดชัดเจน แต่สีหน้าของอวี๋เฟิงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“เหอะ ! ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นถึงจะได้รับความเคารพ ตัวเจ้าไม่ได้ดีเด่นเท่าข้า สายเลือดเจ้าก็ไม่ได้บริสุทธิ์สูงส่ง เจ้าก็ควรจะขอโทษข้าน่ะถูกต้องแล้ว”
อวี๋เฟิงสาดวาจากลับไป ราวกับสมองของคนผู้นี้เลอะเลือน ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องที่ถูกฉินอวี้โม่เล่นงานโดยไม่อาจรับมือได้ไปหมดแล้ว
“ที่สำคัญ ที่นี่คือนครเมฆา พวกเจ้าเป็นคนจากดินแดนด้านนอก พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์เท่ากับชาวนครเมฆาอย่างเรา ถ้าข้าให้เจ้าขอโทษเจ้าก็ต้องทำ ไม่มีสิทธิ์ต่อรอง พวกเจ้าทำกับข้าถึงเพียงนี้ แค่ข้ายั้งมือไม่เอาเรื่องเจ้าต่อก็ถือว่าเมตตาเจ้ามากแล้ว”
อวี๋เฟิงเป็นหลานชายสุดที่รักของอวี๋จวินเหยา ตัวอวี๋จวินเหยาเป็นที่รู้จักกันดีในด้านของความ ‘เห็นแก่พวกพ้อง’ เขายึดเอาผลประโยชน์ของตนและคนที่ภักดีกับตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา และการที่เขาสามารถซื้อใจเหล่าชนชั้นสูงและผู้มีตำแหน่งในนครเมฆาบางส่วนได้ก็ทำให้เขามีอำนาจมาก แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋หยางและอวี๋ปิงจึงไม่คิดจะมีเรื่องกับอวี๋เฟิงผู้นี้
ด้วยเหตุที่มีผู้เป็นปู่ให้ท้ายทำให้อวี๋เฟิงผู้นี้เป็นคนยโสโอหังไม่เห็นหัวผู้ใดเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะต้องการสิ่งใดก็จะได้รับการตอบสนองจนพึงพอใจเสมอ
ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าคนผู้นี้จะก่อเรื่องเลวร้ายมากเพียงใด ท่านปู่ของเขาไม่เพียงไม่ว่ากล่าวตักเตือน แต่ยังหาเหตุผลมาสนับสนุนและยินยอมให้เขาตัดสินใจเองได้อย่างเต็มที่ นานวันไปคนผู้นี้จึงกลายเป็น ‘ตัวจองหอง’ ที่ไม่อาจจะควบคุมได้
ส่วนจ้าวนครเมฆาอย่างอวี๋จวินซานในช่วงหลายปีมานี้ เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการตามหาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจนละเลยปัญหานี้ ที่สำคัญนั่นก็ยิ่งทำให้ในช่วงหลังผู้อาวุโสสามเรืองอำนาจมากขึ้นในนครเมฆา นั่นเองส่งผลให้ทายาททางฝั่งอวี๋จวินเหยาได้ใจเป็นอย่างมาก
เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้อวี๋เฟิงหลงลืมไปเสียสนิทว่าแท้จริงแล้วผู้ใดกันแน่ที่มีอำนาจมากที่สุดในนครเมฆา ในสายตาเขามองว่าผู้เป็นปู่ของตนก็ไม่ได้มีอำนาจด้อยกว่าจ้าวนครเลย
แท้จริงแล้ว แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเป็นคนนอกก็ตามแต่ก็เป็นหลานสาวสุดที่รักของจ้าวนคร หากกล่าวกันตามจริงในด้านของสถานะแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา
“หึ ๆ อวี๋เฟิง เจ้าลืมแล้วหรือว่าใครทำให้เจ้าล้มลงไปกับพื้นได้เมื่อครู่ ? แล้วเจ้ายังกล้าพูดออกมาว่าผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ ไม่อายปากบ้างรึ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋เฟิง องค์หญิงฉีฉีก็อดกล่าวโต้ตอบกลับไปไม่ได้
“ใช่ ใคร ๆ ก็เห็นว่าเจ้าถูกซัดจนหมอบเหมือนพวกขี้แพ้ ตอนนี้กลับหน้าด้านกล่าวถึงความแข็งแกร่ง ถ้าบอกว่าผู้ที่แข็งแกร่งควรจะได้รับความเคารพ ก็ต้องเป็นเจ้าที่ควรจะขอโทษฉินอวี้โม่ถึงจะถูก เช่นนี้แล้วยังกล้าบอกว่าจะนำเรื่องไปรายงานจ้าวนคร ขายหน้าชัด ๆ”
หลินซิวหยาที่ทนฟังมานานก็อดไม่ได้ที่จะกล่าววาจาเสียดสีออกไป
อวี๋เฟิงผู้นี้หน้าหนายิ่งกว่าหินผา ยิ่งกล่าววาจาก็ยิ่งน่ารังเกียจ หลินซิวหยาไม่คิดเลยว่าคนที่เป็นถึงลูกหลานในตระกูลจ้าวนครเมฆาจะน่าสมเพชเช่นนี้
เมื่อได้ยินวาจาเสียดสีของกลุ่มคนที่เขานึกเหยียดหยาม อวี๋เฟิงก็กัดฟันด้วยความโกรธ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังแสร้งทำเป็นสงบนิ่งและกล่าวออกไป “เหอะ สถานะก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง ข้าสูงส่งกว่าเจ้า เจ้าควรจะขอโทษข้า เรื่องนี้มีอะไรผิด !”
อวี๋เฟิงผู้มั่นใจว่าสถานะของตัวเองสูงส่งกว่าประกาศกร้าวยืนกราน
“ฮ่า ๆ ๆ อวี๋เฟิง เจ้าพูดถูกที่ว่าสถานะก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่–”
ฉินอวี้โม่อยากจะกล่าวบางสิ่ง ทว่าเป็นอวี๋ปิงกลับห้ามเอาไว้เสียก่อน หนึ่งในหลานชายชายฝาแฝดของจ้าวนครเมฆาก้าวออกมาด้านหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อวี๋เฟิง เจ้ายังสำนึกรู้อยู่ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้จ้าวนครเมฆาก็คือท่านปู่ของพวกข้า ?”
อวี๋ปิงมองอวี๋เฟิงแล้วกล่าวเสียงเรียบนิ่ง แม้ว่าน้ำเสียงจะฟังดูธรรมดา ทว่าสายตาและวาจานั้นกลับทำให้คนรอบข้างรู้สึกกดดันจนไม่อาจเพิกเฉยต่อเขาได้
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ปิง แม้จะกล้ำกลืนฝืนทน แต่อวี๋เฟิงก็จำต้องพยักหน้า
เพราะจ้าวนครเมฆาในตอนนี้ก็คืออวี๋จวินซานจริง หาใช่ท่านปู่ของเขา–อวี๋จวินเหยาไม่
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์คือบุตรีของธิดาจ้าวนครเมฆา นางคือหลานสายตรงของท่านจ้าวนครซึ่งมีสถานะสูงกว่าเจ้า นั่นถูกต้องหรือไม่ ?”
อวี๋ปิงยิ้มพลางกล่าวต่ออีกหนึ่งประโยค
แม้ว่าอวี๋เฟิงจะรู้สึกไม่สบอารมณ์เพียงใด ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ หรือแม้ว่าจะมีหลายคนในนครเมฆาไม่อยากยอมรับแต่ก็เปลี่ยนความจริงในเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี
“ในเมื่อที่ข้ากล่าวมาไม่มีสิ่งใดผิด แล้วเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงคิดว่าเจ้าสูงส่งกว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์”
อวี๋ปิงกล่าวต่อ แต่ในครั้งนี้คล้ายเสียงของเขาจะผสมความโกรธลงไปบ้างแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ปิง อวี๋เฟิงก็นิ่งงันไป เวลานี้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวถึงขีดสุด หากว่ากันตามลำดับญาติสถานะของเขาก็ด้อยกว่าฉินอวี้โม่จริง นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจคัดค้าน
แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจของเขาก็ยังคงนึกต่อต้านอยู่ดี
ต้องทราบก่อนว่า อวี๋เฟิงนั้นคิดเสมอว่าผู้ที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในนครเมฆาก็คือปู่ของเขา เป็นท่านปู่ต่างหากที่ดูแลกิจการงานในบ้านเมือง และธำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีที่ถูกต้อง แม้แต่บิดาของเขาเองก็มีตำแหน่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งนั่นต่างจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เป็นเพียงธิดานอกคอกผู้หายสาบสูญ ฉินอวี้โม่เป็นหลานสายตรงของอวี๋จวินซานแล้วอย่างไร ? เขาไม่เคยมองว่าเด็กสายเลือดแปดเปื้อนจะสูงส่งกว่าตนได้
“อวี๋เฟิง สถานะของเสี่ยวโม่เอ๋อร์ไม่ใช่เจ้าเป็นคนตัดสิน เรื่องนี้ท่านปู่ของข้าจะเป็นผู้ตัดสิน แม้ว่าบิดาของนางจะเป็นคนนอกนครแต่ก็ถือเป็นอาเขยของเรา กล่าวหาอาเขยเป็นขยะ ไม่ว่าเจ้าไปเอาความกล้าที่น่าอายนี้มาจากไหน แต่หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของท่านจ้าวนคร ตัวข้าเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร”
อวี๋ปิงจ้องมองอวี๋เฟิงพลางกล่าววาจาที่รุกไล่และกดดันอีกฝ่ายมากขึ้น
เมื่อได้ยินคำขู่ของอวี๋ปิง ในที่สุดท่าทีของอวี๋เฟิงก็เปลี่ยนไป เขาคิดว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่เป็นใจให้เขาอีกแล้ว
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตัวเขาอาจจะเดือดร้อนขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้
แม้ว่าเขาจะเป็นหลานรักของอวี๋จวินเหยาผู้ทรงอำนาจ แต่หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปโดยที่ผู้คนรับรู้ว่าเขาเป็นคนหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน ใครจะรับประกันได้ว่าท่านปู่ของเขาจะคุ้มครองเขาได้เต็มร้อย
“เช่นนั้น วันนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปก่อน !”
อวี๋เฟิงมองอวี้โม่อย่างเย็นชาก่อนจะสะบัดตัวหันหลังกลับแล้วเตรียมจะเดินจากไปพร้อมกับบ่าวรับใช้
“เดี๋ยวสิน้องชาย ใครอนุญาตให้เจ้าไป ?!”
แม้ว่าอวี๋ปิงจะนิ่งไปแล้ว ทว่าร่างของอวี๋หยางกลับโผล่เข้ามาขวางทางของพวกเขา
“อวี๋หยาง เจ้าต้องการอะไร ?!”
เมื่อเห็นอวี๋หยางปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า อวี๋เฟิงก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาปั้นยากขึ้นเรื่อย ๆ
ความแข็งแกร่งของอวี๋หยาง ตัวของเขารู้เป็นอย่างดี
ถ้านับกันเฉพาะทายาทรุ่นนี้ของตระกูลจ้าวนคร ไม่มีใครมีพรสวรรค์มากไปกว่าอวี๋หยาง ความแข็งแกร่งของเขายากที่ใครในรุ่นเดียวกันจะเทียบได้ ส่วนอวี๋ปิงก็ด้อยกว่าอวี๋หยางเพียงครึ่งขั้นเท่านั้น หากทั้งคู่ลงมือพร้อมกันจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
จริงอยู่ที่อวี๋เฟิงพาคนมาด้วยจำนวนไม่น้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี๋หยางและอวี๋ปิง เกรงว่าคนของเขาคงเป็นได้เพียงท่อนไม้เท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็คงจะถูกจัดการได้หมด
“ขอโทษซะ !”
อวี๋หยางกล่าวเสียงแข็ง แม้ว่าจะเป็นวาจาสั้น ๆ แต่ทุกคนรับรู้ถึงเจตนาของเขาได้เป็นอย่างดี มันหมายความตรงตามนั้นและมันไม่ใช่การบอกกล่าวแต่คือการบังคับ
อวี๋หยางกำลังจะทำให้อวี๋เฟิงขอโทษฉินอวี้โม่เรื่องที่ลบหลู่บิดาของนาง ตัวเขานับเป็นพี่ชายคนหนึ่ง หากยอมปล่อยอันธพาลผู้นี้ไปง่าย ๆ ก็ไม่ทราบว่าจะสมควรให้น้องน้อยเรียกขานว่าพี่ชายอยู่ได้อย่างไร
“อวี๋เฟิง เจ้ากล้ารังแกน้องสาวคนเดียวของเราและยังเหยียดหยามท่านอาหญิงและอาเขย ถ้าเจ้าไม่ขอโทษก็อย่าคิดว่าจะได้กลับไปง่าย ๆ !”
อวี๋ปิงกล่าวเสริมขึ้นมาบ้าง เขาเดินไปอยู่ข้างกายคู่แฝด ดวงตาสองข้างจับจ้องอวี๋เฟิงด้วยสายตาพร้อมเอาความ เสียงของเขาดุดันยิ่งนัก มันเป็นเสียงที่น้อยคนนักจะเคยได้ยินเขากล่าวเช่นนี้
อวี๋ปิงนั้น โดยปกติแล้วจะเป็นบุรุษอ่อนโยน นิสัยสุภาพนุ่มนวลดั่งหยกเนื้องาม ตัวเขาแทบไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้กล้ามารังแกน้องน้อยของเขา เช่นนี้จะให้เขาปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ ได้อย่างไร
“อวี๋หยาง อวี๋ปิง พวกเจ้าอย่ามากดดันข้าให้มันมากนัก !”
ความอดทนของอวี๋เฟิงขาดผึงไปในทันที หลานชายผู้อาวุโสสามตวาดเสียงดังลั่น ในเวลาเดียวกันหมัดของเขาก็พุ่งเข้าใส่อวี๋หยางที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด
— ปัง ! —
อวี๋หยางสวนกลับทันควัน หมัดของเขาตรงเข้ารับหมัดของญาติฝ่ายบิดา หมัดของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงทว่าผู้ที่กระเด็นออกไปคือฝ่ายอวี๋เฟิง
“เหอะ ! เจ้าคนไม่รู้จักเจียมตัว แค่น้องสาวข้าไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บสาหัสก็ถือว่าปรานีมากแล้ว”
อวี๋หยางกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
อวี๋เฟิงผู้นี้ช่างน่ารังเกียจโดยแท้ ไม่คิดเลยว่าจะกล้าลงมือก่อน ยังดีที่ตัวเขาปฏิกิริยาว่องไวจึงสวนกลับได้โดยไม่ลังเล
หากนับจนถึงตอนนี้ ถือว่าอวี๋เฟิงกระเด็นกลับไปกระแทกพื้นเป็นครั้งที่สามของวันนี้แล้ว บุรุษผู้ถูกความหยิ่งยโสบดบังปัญญากระอักเลือดออกมาคำโต สภาพดูน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายก็เป็นลูกหลานของจ้าวนครเมฆาเช่นกัน เกรงว่าอวี๋หยางอาจจะลงมือต่อ และแน่นอนว่าต้องหนักกว่านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสังหารฝ่ายนั้นทิ้งไปเลยก็เป็นได้
อวี๋เฟิงที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นอย่างมากค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นมา
จริงอยู่ที่พลังของเขาเป็นรองญาติฝาแฝด แต่เขาก็ไม่คิดว่าอวี๋หยางกับอวี๋ปิงจะกล้าทำถึงขนาดนี้ ที่สำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในสายตาเขาแฝดคู่นี้ไม่เคยกล้าหือกับตัวเขามาก่อนเลย และนั่นทำให้อวี๋เฟิงหลงคิดว่าทั้งสองหวาดกลัวเขา มาวันนี้เขาถึงได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของสองพี่น้องฝาแฝด
“ถ้าข้าไม่ยอมขอโทษล่ะ ?”
อวี๋เฟิงที่ลุกขึ้นมากัดฟันกล่าว เขายังคงดื้อดึง และยังคงไม่ยินยอมที่จะขอโทษ เขามองว่าการขอโทษฉินอวี้โม่ถือเป็นการลดเกียรติของตัวเองอย่างร้ายแรง ซึ่งคนอย่างเขาไม่มีวันยอมทำโดยเด็ดขาด
“เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยสงเคราะห์เจ้าสักหน่อย”
อวี๋ปิงกล่าวด้วยรอยยิ้มชวนขนลุกพลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
อวี๋เฟิงเข้าใจถึงความหมายในถ้อยคำนั้นดี
เห็นได้ชัดว่าหากวันนี้เขาไม่ยอมขอโทษ เขาคงไม่มีโอกาสจะได้กลับไปถึงบ้านแน่
ในเวลานี้ผู้เป็นหลานชายผู้อาวุโสคนสำคัญของนครเมฆาไร้ทางเลือกโดยสมบูรณ์ เพราะถ้าจะให้สู้กับสองคนนี้ หากไม่เจ็บสาหัสก็อาจจะถึงขั้นพิการได้
อวี๋เฟิงจ้องมองฉินอวี้โม่ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อข่มความรู้สึกของตัวเอง ในที่สุดบุรุษผู้คิดว่าตนสูงส่งก็ค่อย ๆ ก้มหัวลงต่ำแล้วเอ่ยคำขอโทษผ่านฟันที่กัดแน่น
“ขออภัย”
วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่กระนั้น ในตอนนี้ก็จำต้องทำเพื่อให้รอดพ้นสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปก่อน
เมื่อได้ยินคำขอโทษของอวี๋เฟิงและเห็นทัศนคติของอวี๋หยางและอวี๋ปิง ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
ในวันนี้นางได้รับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นผ่านการกระทำที่เรียกว่า ‘ปกป้อง’ จากผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายทั้งสอง ซึ่งมันได้ช่วยเยียวยาความรู้สึกย่ำแย่จากเหตุการณ์ที่นางถูกเหยียดหยามในวันนี้แล้ว
.