คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 222 จุดประสงค์ของฉินเทียนตัวปลอม
“เทียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วอย่างนั้นรึ ?”
ภายในห้องรับรองของเรือนหลัก ฉินเทียนยืนมองบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าคารวะตัวเขาอยู่ที่พื้น บุรุษผู้เฒ่าแสร้งใช้น้ำเสียงและท่าทีตื่นเต้น
ถึงแม้จะทราบดีว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ฉินเทียนบุตรชายของเขาจริง ๆ แต่ทว่าฉินเฟินก็ไม่คิดจะเผยเรื่องนี้ออกไปให้ผู้ใดล่วงรู้
ก่อนที่เขาจะได้ทราบว่าฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้มาเยือนตระกูลฉินในไป๋อวิ๋นด้วยเหตุผลใด เขาจะยังไม่ฉีกกระชากหน้ากากของจอมลวงโลกตรงหน้าเและปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นไปตามบทบาทที่ตระเตรียมมา แน่นอนว่าเฒ่าผู้นี้จะขอลองร่วมเล่นละครไปด้วย
“บุตรที่ไม่รักดีฉินเทียนขอคารวะท่านพ่อ หลายปีมานี้ข้าไม่สามารถมาอยู่เคียงข้างท่านพ่อและคอยช่วยเหลือกิจการงานของตระกูลได้ นี่ทำให้ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก ข้าอยากขอให้ท่านพ่ออภัยให้และโปรดอย่าตำหนิที่ข้าเป็นลูกอกตัญญู”
ฉินเทียนตัวปลอมแสร้งตีหน้ารู้สึกผิดพลางคุกเข่าขอขมาฉินเฟิน
ฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้ไม่ทราบเลยว่าแท้จริงแล้วการออกจากตระกูลไปของฉินเทียนตัวจริงนั้นเป็นแผนการที่ผ่านการปรึกษาหารือกับฉินเฟินมาแล้ว เพราะหากเขาทราบก็คงจะไม่พูดเรื่องเช่นนี้ออกมาในเวลาที่อยู่กันตามลำพังกับบิดาของตน
ยิ่งกว่านั้น หากเป็นฉินเทียนตัวจริงกลับมา ปฏิกิริยาความตื่นเต้นของบุรุษผู้เฒ่าคงไม่ใช่เพียงเท่านี้แน่
“เทียนเอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
ผู้เฒ่าฉินเฟินยิ้มพลางก้าวเข้าไปประคองร่าง ‘ฉินเทียน’ ให้ลุกขึ้น
“ข้าเป็นบิดาย่อมเข้าใจถึงความทุกข์ของบุตรดี ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร หลายปีมานี้เจ้าเองก็คงลำบากไม่น้อย”
ฉินเฟินลูบไหล่ของ ‘ฉินเทียนตรงหน้า’ อย่างเอื้ออารีพลางกล่าววาจาปลอบประโลม
“แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ข้าก็ไม่ได้ลำบากมากนักขอรับ อันที่จริงข้าคิดถึงท่านพ่อมาโดยตลอด แต่มีเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่อาจจะกลับมาหาท่านได้ คราวนี้ ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้พบท่านพ่ออีกครั้ง”
‘ฉินเทียน’ มองฉินเฟินด้วยแววตาเป็นประกายคล้ายตื่นเต้นยินดี
เมื่อเห็นสองบุรุษผู้กำลังเล่นไปตาม ‘บทบาทสมมติ’ ของตัวเองดูสนิทสนมรักใคร่กันเป็นอย่างมาก ฉินหยางที่กำลังเดินเข้ามาก็ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ บุตรชายคนรองของผู้นำตระกูลฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่าก็แทบจะอดทนไม่ให้กลอกตาขึ้นสูงไม่ได้
“น้องหยาง !”
‘ฉินเทียน’ ก้าวเข้าไปหาน้องชายร่วมสายเลือดและเอื้อมมือจับบ่าทั้งสองของเขา “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าจริง ๆ”
เมื่อฉินหยางได้ยินวาจาของ ‘ฉินเทียน’ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาทันที “พี่ใหญ่ ตัวข้านั้นไม่ลำบากอะไรเลย เป็นพี่ใหญ่เองมากกว่าที่ทนลำบากมามาก”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ส่งยิ้มให้กันราวกับเป็นพี่น้องที่เกื้อกูลและ ‘เข้าอกเข้าใจกัน’ อย่างดี ทว่าภายในใจของทั้งสองกลับกำลังคิดบางอย่างที่ไม่สามารถกล่าวให้อีกฝ่ายได้ยินได้
ผู้เฒ่าฉินเฟินจ้องมอง ‘ฉินเทียน’ และฉินหยางสองพี่น้องที่ดูรักใคร่ปรองดองด้วยใบหน้าพึงพอใจ แน่นอนว่านั่นก็ยังคงเป็นหนึ่งใน ‘บทบาทสมมติ’
“เทียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงกลับมานครไป๋อวิ๋นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ? หรือว่าเจ้ามีเรื่องด่วนอะไรอย่างนั้นรึ ?”
ฉินเฟินมอง ‘ฉินเทียน’ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ประโยคที่บุรุษผู้เฒ่ากล่าวเป็นคำถามที่ออกมาจากใจจริงเพราะเขาไม่ทราบและต้องการจะทราบว่าเพราะเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ได้
“ที่ข้ามาก็หาใช่เพื่อเรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะอีกไม่นานที่นครเมฆาก็จะมีงานสำคัญแล้ว ตัวข้าเองก็ต้องการจะเข้าร่วมงานที่ยิ่งใหญ่นี้เช่นกัน”
‘ฉินเทียน’ พยักหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ แล้วเสี่ยวโม่เอ๋อร์เล่า ? แท้จริงแล้วที่ข้ามาที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะขอโทษนางด้วย”
‘ฉินเทียน’ ผู้นี้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าฉินอวี้โม่อยู่ที่แห่งใด แต่ก็ยังคงแสร้งถามคำถามนี้
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ไปที่นครเมฆาแล้ว”
ฉินเฟินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นด้วย เจ้าควรจะขอโทษเสี่ยวโม่เอ๋อร์ แสดงความจริงใจให้บุตรสาวได้เห็น ข้าได้ยินมาว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยเหลียวแลและยังปฏิบัติกับนางอย่างไม่ไยดี”
“ท่านพ่อ ข้าทราบดีถึงความผิดในข้อนี้ ข้าได้ทบทวนตัวเองแล้ว ครั้งนี้ข้าอยากจะมาขอโทษเสี่ยวโม่เอ๋อร์จากใจจริง ๆ และหวังว่านางจะอภัยให้ข้า”
‘ฉินเทียน’ แสร้งตีหน้าเศร้ายอมรับการกระทำอันผิดพลาดของตัวเองในขณะที่กล่าวกับฉินเฟินอย่างนอบน้อม
“ดี ลูกผู้ชายเมื่อสำนึกรู้ความผิดพลาดของตัวเองแล้วก็สมควรรีบแก้ไขให้ถูกต้อง”
ฉินเฟินพยักหน้าอย่างพึงพอใจอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ในเมื่อตอนนี้เสี่ยวโม่เอ๋อร์ไปที่นครเมฆา เช่นนี้ข้าคิดว่าข้าควรติดตามคนของตระกูลฉินไปร่วมงานชุมนุมเมฆาด้วยจะดีกว่า หากข้าได้พบบุตรสาวที่นั่น ข้าจะได้ถือโอกาสขอโทษนาง”
‘ฉินเทียน’ เอ่ยก่อนจะจ้องมองผู้เฒ่าฉินเฟินด้วยสายตาคาดหวัง
ฉินเฟินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“ย่อมได้ เจ้าเองก็เป็นคนของตระกูลฉิน ตามหลักแล้วก็ควรจะไปกับพวกเรา”
ฉินเฟินหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่..เจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้สักหน่อย เพราะคนที่นครเมฆาดูเหมือนจะไม่ชอบเจ้าเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะท่านจ้าวนครเมฆา ท่านโกรธเจ้ามากที่พาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปโดยไม่ขออนุญาต ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทราบเลยว่าตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่ใด ข้าไม่อาจจินตนาการได้เลยจริง ๆ ว่าหากเขาพบเจอเจ้า เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิน ‘ฉินเทียน’ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอให้ท่านพ่อวางใจ ในเมื่อข้าตัดสินใจว่าจะไปที่นครเมฆาแล้ว ข้าย่อมเตรียมใจมาก่อน ข้าจะใช้โอกาสในครั้งนี้ขอขมาต่อท่านจ้าวนครเมฆาด้วย”
ฉินเฟินมอง ‘ฉินเทียน’ พร้อมกับพยักหน้าโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บุรุษผู้เฒ่าเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจข้อหนึ่ง ฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้มาที่ตระกูลฉินอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังขอติดตามพวกเขาไปร่วมงานชุมนุมเมฆาที่นครเมฆาด้วย ชัดเจนว่าเขาจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างเป็นแน่
ตัวตนของ ‘ฉินเทียน’ ผู้นี้เป็นปริศนามาโดยตลอด ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าเขามีจากขุมกำลังใด หากดูจากท่าทางที่มั่นใจของเขาในตอนนี้ เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้
“ว่าแต่ ข้าได้ยินว่าเจ้าแต่งฮูหยินรองเข้าจวนและยังมีบุตรกับนางอีกถึงสองคน ข้าอยากทราบว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเด็กสองคนนั้นไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดใด ๆ กับตระกูลฉิน ทว่าฉินเฟินก็ยังคงแสร้งถามออกไปด้วยท่าทีห่วงหา
หากจะ ‘เล่นละคร’ แล้ว เขาก็ต้องทำให้แนบเนียนและมบูรณ์แบบ เขาจะให้ ‘ฉินเทียน’ ที่อยู่ตรงหน้าระแคะระคายว่าตัวเขารู้ความจริงทั้งหมดเป็นอย่างดีไม่ได้ มิฉะนั้นก็จะไม่มีวันได้เห็นความจริงที่อีกฝ่ายปิดบังไว้ รอให้คนผู้นี้โผล่หางออกมาเพื่อจะได้จัดการให้หมดจด
“ขอท่านพ่อโปรดวางใจ นางและลูกสบายดี ในยามนี้ยังไม่สะดวกที่จะพาพวกนางมาที่นี่ ข้าจึงให้พวกนางรออยู่เมืองหลิงซี ไว้รอให้จบงานชุมนุมเมฆาข้าสัญญาจะหาโอกาสพาพวกนางมาคารวะท่านและผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูล”
‘ฉินเทียน’ กล่าวตอบอย่างลื่นไหล
ผู้เฒ่าฉินเฟินพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรอีก
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด พวกเราจะออกเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า”
ฉินเฟินพยักหน้า ก่อนจะบอกให้ ‘ฉินเทียน’ ไปพักผ่อน
บุรุษจอมลวงโลกพยักหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาเดินตรงไปยังเรือนเดินที่เคยเป็นของฉินเทียนก่อนจะเข้าไปพักผ่อน
หลังจากที่ ‘พี่ชายจอมปลอม’ ออกไปได้สักพัก ฉินหยางก็กล่าวกับผู้เป็นบิดาด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ ครั้งนี้มันกล้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยตัวเอง ท่านคิดว่ามันมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ?”
ฉินเฟินส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ข้าเองก็ยังไม่ทราบ”
“ในเมื่อยังไม่แน่ชัดแล้วเหตุใดท่านพ่อถึงอนุญาตให้มันตามพวกเราไปที่นครเมฆาเล่า ?”
ฉินหยางยังคงถามต่ออย่างใคร่รู้
ทุกคนต่างก็ทราบแน่ชัดว่าฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ดี ทว่าเหตุใดฉินเฟินถึงยอมทำตามคำรอขอของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายเช่นนั้น
“แทนที่จะปล่อยศัตรูไว้ในที่ลับ สู้ให้มันอยู่ใกล้สายตาเราจะดีกว่า ไม่ว่ามันจะมีอุบายอะไร อีกไม่นานมันก็คงจะโผล่หางออกมาแน่ ถึงตอนนั้นเราค่อยจัดการก็ยังไม่สาย”
ผู้เฒ่าฉินเฟินอธิบายถึงสิ่งที่เขาคิดออกไปตรง ๆ
ในเมื่อยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของฉินเทียนตัวปลอม เช่นนั้นก็นำอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้ตัวเพื่อง่ายต่อการจับตามอง ขณะเดียวกันในระหว่างนี้ก็จะต้องเฝ้าระวังทุกย่างก้าว
ซึ่งการทำเช่นนี้หากทางฉินเทียนตัวปลอมเคลื่อนไหวหรือมีพฤติกรรมผิดแปลกอย่างไร พวกเขาก็จะได้หาทางรับมือได้ทันการและเป็นการหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย
ที่สำคัญ เมื่อยังไม่ทราบถึงเบื้องหลังของคนผู้นั้น การปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในที่มืดถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด นี่คือสิ่งที่ผู้นำตระกูลฉินคิดอยู่
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าฉินเฟิน ฉินหยางก็พยักหน้าเห็นด้วย
สิ่งที่บิดาของเขากล่าวมาไม่ผิดแม้แต่น้อย หากคิดดูให้ดี เวลานี้ฉินเทียนตัวปลอมก็แทบไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือพวกเขาเลยสักนิด
รอให้ดึงข้อมูลสำคัญออกมาได้ก่อน จากนั้นค่อยจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย
“เจ้าเองก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม งานชุมนุมเมฆาครั้งนี้ไม่เพียงแต่คนจากดินแดนเราเท่านั้นที่จะมาเข้าร่วม แม้แต่คนจากดินแดนหนเหนือก็อาจจะมาด้วยเช่นกัน ในงานนี้อาจจะมีผู้ไม่หวังดีกระทำการบางอย่าง หากเราไม่เตรียมตัวป้องกันไว้ก่อน ข้ากลัวว่างานนี้พวกเราเองก็อาจจะถึงฆาตได้เลย”
ผู้นำตระกูลฉินหันไปกล่าวกับบุตรชายคนรองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
บุรุษผู้เฒ่ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีว่าที่งานชุมนุมเมฆาในครั้งนี้กำลังจะมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม จับตาดูความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติทุกฝีก้าว
ที่สำคัญ ตอนนี้คนจากดินแดนหนเหนือกำลังออกตามหาผู้ถือครองกายเทพมายากันอย่างเปิดเผย ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะรู้ระแคะระคายแล้วก็ได้ว่าฉินอวี้โม่คือผู้สืบทอดกายเทพมายาคนใหม่
หากเรื่องที่หลานสาวของพวกเขาเป็นผู้สืบทอดกายเทพมายารั่วไหลออกไป เห็นทีว่าคงเกิดความโกลาหลครั้งมโหฬารขึ้นแน่และเกรงว่าพวกเขาอาจจะปกป้องเสี่ยวโม่เอ๋อร์ไว้ไม่ได้
อย่างไรก็ตามการจะกังวลจนเกินไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ในตอนนี้พวกเขาสมควรต้องหนักแน่นเข้าไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเขาก็จะต้องปกป้องหลานสาวคนสุดท้องผู้นี้ให้ได้
….
ฉินอวี้โม่ที่อยู่ในนครเมฆาไม่ทราบเลยว่าบิดาตัวปลอมของนางกำลังจะมาร่วมงานชุมนุมเมฆาในครั้งนี้ด้วย
ในช่วงวันสองวันมานี้ ในนครเมฆามีผู้คนหนาตามากขึ้น บรรดาสหายคุ้นหน้าของฉินอวี้โม่ก็ทยอยปรากฏตัวแล้ว
ตัวอย่างเช่นบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวาง–ลั่วอวิ๋น สามพี่น้องแซ่สือ และสหายที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนานอย่างนายน้อยแห่งกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียน–ชื่อเซียว
“ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าอีกครั้ง”
เมื่อลั่วอวิ๋นเห็นฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ เขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลังจากกาลเวลาผ่านพ้นไป ความแข็งแกร่งของบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวางก็เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด
ตอนนี้ลั่วอวิ๋นเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว และดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าหลินซิวหยาเลย
ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าในตอนที่เริ่มเข้าโรงเรียนราชสำนักวันแรก ลั่วอวิ๋นถือเป็นผู้ที่อยู่อันดับรั้งท้ายในกลุ่มสหาย มาวันนี้เขากลับก้าวขึ้นมายืนอยู่ในแถวหน้าได้แล้ว
“เสี่ยวอวี้โม่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
บิดาของลั่วอวิ๋น เจ้าเมืองเยว่กวางลั่วชิงซานยิ้มพลางกล่าวทักทายฉินอวี้โม่
ในตอนที่เห็นฉินอวี้โม่ที่เมืองเยว่กวาง ลั่วชิงซานรู้ได้ทันทีว่าสตรีน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา ในเวลาเพียงแค่สองปีชื่อเสียงของนางก็โด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนหวนหลิงแล้ว ตอนนี้นางกลายเป็นที่กล่าวขานของคนทั้งแผ่นดิน ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของสาวน้อยผู้นี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าใกล้สุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าของแผ่น และอีกไม่นานก็คงจะแซงหน้าทุกคนจนหมดเป็นแน่
เมื่อเห็นเช่นนี้ลั่วชิงซานก็อดเสียดายไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยสนับสนุนให้บุตรชายพิจารณาสตรีผู้นี้และเอ่ยเตือนให้รีบลงมือหากอยากได้นางเป็นคู่ชีวิต แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหมดหวังเสียแล้ว บุตรชายไร้วาสนาของเขาเป็นได้เพียงสหายสนิทของนางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่ลั่วอวิ๋นได้เป็นสหายสนิทของฉินอวี้โม่บิดาอย่างเขาก็ภาคภูมิใจมากพอแล้ว
“ไม่ได้เจอกันนาน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของท่านลุงลั่วจะพัฒนาขึ้นมาทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ลั่วชิงซาน นางมีความรู้สึกที่ดีให้กับท่านเจ้าเมืองผู้นี้ เจ้าเมืองเยว่กวางเป็นบุรุษที่น่านับถือคนหนึ่ง นางจึงเรียกขานเขาอย่างสนิทสนมว่าท่านลุง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้ายังสู้คนรุ่นใหม่อย่างพวกเจ้าไม่ได้หรอก”
ลั่วชิงซานเอ่ยตอบกลั้วเสียงหัวเราะ
แน่นอนว่าตัวเขาย่อมเทียบฉินอวี้โม่ไม่ได้ เวลานี้ตัวเขาเองก็มีอายุไม่น้อยซึ่งก็ล่วงเลยจุดที่ดีที่สุดของการฝึกยุทธ์ไปเสียแล้ว ในชีวิตนี้ ขอเพียงแค่บุตรชายของเขามีพรสวรรค์สูงส่งและก้าวหน้ามายังจุดนี้ได้เขาก็ภูมิใจเหลือประมาณแล้ว
“แม่นางอวี้โม่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
เมื่อชื่อเซียวเห็นฉินอวี้โม่ก็รีบเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม
“หัวหน้าชื่อเซียวไม่ได้พบกันนาน ท่านสบายดีใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ชื่อเซียวแล้วกล่าวทักทาย ชื่อเซียวถือเป็นสหายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของนาง นางกับเขาได้พบกันหลายครั้ง และทั้งสองต่างก็นับถืออีกฝ่ายอย่างมาก
ในตอนนั้นเองเสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์นักก็ดังมาเข้าหูฉินอวี้โม่และผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนั้น
.