คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 228 ความจริงครึ่งหนึ่ง
เผ่าโบราณคือหนึ่งในขุมกำลังที่ลึกลับและเข้าถึงได้ยากที่สุดในแผ่นดิน
ว่ากันว่าคนจากเผ่าโบราณนั้นจะมีสายเลือดที่พิเศษเฉพาะตัวจึงทำให้พรสวรรค์ของพวกเขาเหนือกว่ายอดฝีมือทั่วไปมาก อีกทั้งความเร็วในการฝึกฝนก็จะรวดเร็วเหนือคนปกติธรรมดาอย่างไม่อาจเทียบชั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาคนจากเผ่าโบราณเอาแต่เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยยอมเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนในแผ่นดิน ทว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกปรากฏตัวก็มักจะทำให้เกิดความโกลาหลตามมาเป็นอย่างมาก
แม้ว่าจำนวนประชากรโดยรวมของเผ่าโบราณจะมีน้อยแสนน้อย แต่พวกเขาก็ถือเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งและหยั่งรากลึกในดินแดนจนหลายขุมกำลังต้องหวาดหวั่น
อย่างไรก็ตามด้วยความลึกลับสุดจะหยั่งของขุมกำลังนี้ เป็นผลให้แม้แต่ยอดฝีมือแห่งวิหารทมิฬที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างอู่ซิงก็ยังไม่รู้มากนัก
ตั้งแต่ได้สนทนาปราศรัยกันมาจนตอนนี้ คุณหนูตระกูลฉินสัมผัสได้ว่า อู่ซิงไม่เคยคิดจะปกปิดข้อมูลใด ๆ กับนาง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาอยากจะเป็นสหายกับนางจากใจจริงแท้ และแน่นอนว่าในเรื่องของเผ่าโบราณที่สหายผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยถามสหายจากดินแดนหนเหนือก็บอกเล่าตามตรงเช่นกัน
“เกี่ยวกับเรื่องเผ่าโบราณเรามีข้อมูลไม่มากนัก เท่าที่เราทราบก็มีเพียงในดินแดนเทพมายามี ‘ชนเผ่าลับอันแสนเก่าแก่โบราณ’ อยู่ทั้งหมดสี่ตระกูลได้แก่ ตระกูลหาน ตระกูลหลิว ตระกูลไป่หลี่ และตระกูลเหมย พวกเราไม่รู้สถานที่ตั้งของตระกูลทั้งสี่ ไม่ทราบเลยว่าพวกเขาอยู่ ณ ที่แห่งใดในแผ่นดินนี้ และไม่อาจล่วงรู้ด้วยว่ามีใครบ้างที่เป็นคนจากเผ่าโบราณเหล่านั้น สิ่งที่รู้แน่นชัดมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือในบรรดาสี่ตระกูลโบราณนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดก็ล้วนมีความแข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าวิหารทมิฬของเราทั้งสิ้น”
ข้อมูลที่ฉินอวี้โม่ได้รับนับเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก ต้องทราบก่อนว่าวิหารทมิฬถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่ใหญ่โตที่สุด มีกำลังพลมากมายนับไม่ถ้วน ทว่ามาบัดนี้ยอดฝีมือจากขุมกำลังขนาดใหญ่กลับบอกกล่าวว่า ตระกูลลับเพียงตระกูลเดียวก็มีพลังอำนาจเทียบเท่าพวกเขาแล้ว นี่เรียกได้ว่า ‘น่ากลัวสุดประมาณ’
ทว่าจากเรื่องนี้ชี้ให้เห็นข้อสังเกตอย่างหนึ่ง นั่นคือ ถึงแม้จะเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดก็ยังไม่สามารถครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในดินแดนเทพมายาได้ นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าขั้วอำนาจในดินแดนอันเรืองรองแห่งนี้มีความซับซ้อนเพียงใด
มีตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนมีกลุ่มยอดฝีมือขวัญกล้าคิดจะท้าทาย ‘ตระกูลหลิว’ หนึ่งในตระกูลโบราณ ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เป็นที่ทราบกันดีว่ายอดฝีมือกลุ่มนั้นทรงพลังเพียงพอจะต่อกรกับขุมกำลังใหญ่ทั้งเจ็ดได้ พวกเขาทั้งกลุ่มจึงทะนงตนและเลือกประกาศสงครามกับเผ่าโบราณทันที ในบัดนี้ยอดฝีมือกลุ่มนั้นก็ยังคงเป็นผู้หายสาบสูญ พวกเขาไม่ปรากฏตัวอีกเลยนับแต่นั้น
เมื่อได้ยินเรื่องที่อู่ซิงเล่า ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็พยักหน้า ดวงตาของสองหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกแสนซับซ้อน พวกเขาเริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะหากเป็นดังเช่นที่อู่ซิงกล่าวจริง นั่นแสดงว่าเผ่าโบราณทรงพลังมากกว่าที่พวกนางจินตนาการเอาไว้เสียแล้ว
เรื่องราวที่เพิ่งรับรู้มานี้ทำให้ฉินอวี้โม่บีบมือของหานโม่ฉือแน่นขึ้นกว่าเดิมอย่างลืมตัว ดวงตาเนื้อทรายเจือแววกังวล
ศัตรูของหานโม่ฉือก็คือ ‘ตระกูลหาน’ หนึ่งในตระกูลโบราณดังกล่าว หากคิดจะแก้แค้นหรือเอ่ยทวงความเป็นธรรมให้แก่บิดามารดาของบุรุษน้ำแข็ง หนทางข้างหน้านับว่าเต็มไปด้วยหุบเหวแห่งอันตรายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งสองคนไม่อาจทราบเลยว่าวันข้างหน้าจะต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงใด
หานโม่ฉือยิ้มให้ฉินอวี้โม่ เขารู้และเข้าใจดีถึงสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ในใจ
ฉินอวี้โม่เคยบอกเขาไว้ว่าไม่ว่าศัตรูของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดนางก็จะอยู่เคียงข้างเขาและร่วมฝ่าฟันทุกสิ่งอย่างไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตามหานโม่ฉือก็ไม่ได้กังวลเรื่องนี้มากนัก แม้ว่าตระกูลหานในดินแดนเทพมายาจะแข็งแกร่งจนน่ากลัว แต่เขายังมีเวลาอีกมาก แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาจะอ่อนแอกว่าศัตรูอยู่หลายเท่า แต่สักวันเขาก็จะแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะอีกฝ่ายและทวงความเป็นธรรมกลับมาให้ได้
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบกลับคนข้างกายขณะที่ใจดวงน้อยหวนระลึกถึงเรื่องของเสี่ยวโร่ว นับถึงเวลานี้สาวใช้น้อยของนางหายตัวไปเนิ่นนานแล้ว ไม่เคยมีวี่แววหรือข่าวคราวใด ๆ และสาวน้อยก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหา
คุณหนูตระกูลฉินเริ่มเป็นกังวลในบางอย่าง
นางรู้ว่าเสี่ยวโร่วคือคนของตระกูลโบราณ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตระกูลหาน ดูแล้วสาวน้อยน่าจะเป็นคนจากหนึ่งในสามตระกูลที่เหลือมากกว่า การที่เสี่ยวโร่วถูกทอดทิ้งไว้ในดินแดนหวนหลิงนั่นก็แสดงว่าในตระกูลของนางคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายบางอย่างขึ้น และเวลานี้เสี่ยวโร่วอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยก็เป็นได้ ยิ่งคิดฉินอวี้โม่ก็ยิ่งเป็นกังวล
“เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี ทุกคนต้องไม่เป็นอะไร”
หานโม่ฉือเอ่ยวาจาปลอบประโลมสตรีข้างกาย ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน เมื่อมองเห็นว่าดวงตาคู่งามมีแต่ความว้าวุ่น มนุษย์น้ำแข็งก็พอจะคาดเดาความคิดของนางได้
คำพูดของหานโม่ฉือช่วยเรียกสติฉินอวี้โม่กลับคืนมา วาจาดังกล่าวทำให้นางสงบใจลงได้ หลังจากสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจนหมด ฉินอวี้โม่ก็ตั้งมั่นอีกครั้ง ลึก ๆ แล้วใจนางก็เชื่อเช่นกันว่าเสี่ยวโร่วจะต้องปลอดภัย สาวใช้น้อยกำลังรอให้นางไปหา และแน่นอนว่านางจะต้องไปพบหน้าบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้งให้ได้
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือสหายน้อย ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะสนใจเรื่องของเผ่าโบราณไม่น้อยเลยนะ”
อู่ซิงสัมผัสได้ถึงท่าทีที่แปลกเปลี่ยนของฉินอวี้โม่ เขาจึงกล่าวถามด้วยความสงสัย
“เรื่องนั้นเป็นเพราะว่า สหายข้าที่จากไปนานเป็นคนของเผ่าโบราณ ข้าจึงอยากรู้เรื่องราวของพวกเขาให้มาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าวอธิบายสั้น ๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว แต่คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะมีสหายเป็นคนจากเผ่าโบราณเช่นนี้ด้วย”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่ยินดีจะเอ่ยถึงเรื่องนี้มากนัก อู่ซิงจึงไม่กล้าซักไซ้ เขาเพียงพยักหน้าแล้วกล่าว
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่ยังไม่มั่นใจอย่างสมบูรณ์ว่าหากทราบว่านางคือผู้สืบทอดของเทพมายาและถือครองกายเทพมายาแล้ว ทัศนคติของคนตรงหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เห็น มิเช่นนั้นนางก็คงยินดีบอกเรื่องของเสี่ยวโร่วกับอู่ซิงผู้นี้ เพื่อฝากเขาสืบหาข่าวคราวเกี่ยวกับน้องสาวตัวน้อยของนางให้
ระหว่างที่ผู้ร่วมงานทั้งหลายกำลังสนทนากันอย่างออกรสนั้น จ้าวนครเมฆาและเหล่าผู้ติดตามก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณลานกว้าง ณ จุดกึ่งกลางของพื้นที่จัดเลี้ยง
“ฮ่า ๆ ๆ ขออภัยที่ให้รอ ข้าในฐานะเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงนี้รวมไปถึงงานชุมนุมเมฆาที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ขอเอ่ยคำว่า สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกท่านสู่นครเมฆาของเรา !”
อวี๋จวินซานแย้มยิ้มแล้วกล่าวทักทายผู้เข้าร่วมงานด้วยเสียงอันดังก้อง ทว่าประโยคที่เขาใช้ก็ฟังดูเรียบง่ายได้ใจความ
เวลานี้ฉินอวี้โม่นั่งอยู่ตรงที่นั่งที่ถูกจัดไว้สำหรับแขกจากจักรวรรดิไป๋อวิ๋น อดีตนักฆ่าสาวไม่ได้เลือกที่นั่งทางฝั่งเดียวกับครอบครัวและเครือญาติฝ่ายมารดา เพราะในครั้งนี้นางตั้งใจมาในนามของคุณหนูตระกูลฉินไม่ใช่หลานสาวของจ้าวนครเมฆา
“ท่านจ้าวนครเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างเป็นเกียรติของพวกเรายิ่งนัก”
ผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากยิ้มรับคำทักทายของอวี๋จวินซานพลางกล่าวตอบอย่างอ่อนน้อม
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าตั้งใจจะทำให้งานชุมนุมเมฆาในครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา ครานี้ไม่เพียงคนจากดินแดนหวนหลิงเราเท่านั้นที่ให้เกียรติตอบรับคำเชิญ แต่ขุมกำลังจากดินแดนเทพมายาเองก็ยังส่งคนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ช่างน่าประทับใจและเป็นเกียรติสำหรับนครของเรายิ่งนัก”
อวี๋จวินซานกล่าว สายตาของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เหลือบแลไปยังคนจากดินแดนหนเหนือมากเป็นพิเศษ
จุดประสงค์ที่คนเหล่านี้เข้ามาในหวนหลิง ตัวเขาทราบเป็นอย่างดี ทว่าเพื่อดูปฏิกิริยาของพวกเขา อวี๋จวินซานจึงจงใจกล่าวเช่นนั้นออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ แม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่ชาวหวนหลิง แต่พวกเราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่างานชุมนุมเมฆาของดินแดนหวนหลิงคืองานชุมนุมจอมยุทธ์อันยิ่งใหญ่ที่สมควรเข้าร่วมให้ได้สักครั้ง ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นกับตา ข้าก็ยอมรับว่าช่างสมคำร่ำลือจริง ๆ”
ผู้นำของคณะยอดฝีมือจากเกาะวายุนิ่งที่ซึ่งมีนามว่า–เนี่ยเจ๋อ กล่าวตอบจ้าวนครเมฆาด้วยน้ำเสียงแสดงความเลื่อมใส
ตามปกติแล้วคนจากเกาะวายุนิ่งมักจะปลีกตัวจากโลกภายนอก แต่ในครั้งนี้ที่พวกเขามายังดินแดนหวนหลิงเหตุผลหนึ่งก็เกี่ยวกับกายเทพมายา ส่วนอีกเหตุผลก็เป็นเพราะอยากเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาเพื่อเปิดหูเปิดตา อย่างไรก็ตาม แม้จะรักสันโดษไม่ชอบสมาคมกับผู้ใดมากนักแต่ผู้คนในขุมกำลังนี้ก็มักจะมีอัธยาศัยไมตรีดีและสุภาพอ่อนน้อมเสมอ
“ถูกต้อง แม้ว่าดินแดนหวนหลิงจะเป็นดินแดนที่ต่ำชั้นกว่า แต่ก็มีคนที่มีพรสวรรค์อยู่มากมายโดยแท้ ได้มาเยือนในครานี้ ถือว่าเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก ที่ผ่านมาข้าประเมินพวกท่านต่ำเกินไปต้องขออภัยแล้ว”
ยอดฝีมือแห่งนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นามว่า–ขงชิง เอ่ยวาจาด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม แม้ถ้อยคำของเขาจะฟังขัดหูแต่สีหน้าท่าทางก็ไม่มีร่องรอยของความเป็นศัตรูให้เห็นแม้แต่น้อย
“ท่านจ้าวนครเมฆา ครั้งนี้ที่พวกเรามาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาก็เนื่องมาจาก ‘เหตุผลสำคัญอย่างยิ่งยวด’ ข้อหนึ่ง ไม่ทราบว่าเพื่อความสะดวกของพวกเราท่านพอจะให้ข้อมูลบ้างเรื่องได้หรือไม่ ?”
บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยถาม เขามีนามว่า–ว่านเจียง และเป็นผู้นำคณะยอดฝีมือจากนครหมื่นอสูรกล่าวถามเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
เมื่อได้ยินคำถามของว่านเจียงสีหน้าของคนอื่น ๆ จากดินแดนหนเหนือก็เปลี่ยนไปทันที ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรออกมา ที่สำคัญไม่มีใครคิดจะห้ามปรามคนผู้นี้ เสมือนว่าทุกคนกำลังรอคอยผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
“เชิญว่ามา หากข้าสามารถช่วยไขข้อข้องใจให้พวกท่านได้ ข้ายินดีให้ความร่วมมือ”
อวี๋จวินซานพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามภายในใจกลับจ้าวนครเมฆาไม่ใคร่ชื่นชอบคนผู้นี้เท่าใดนัก เพราะไม่ต้องคาดเดาก็ทราบได้ว่าเขาจะต้องถามถึงเรื่องกายเทพมายาอย่างแน่นอน
ทว่าเรื่องที่ฉินอวี้โม่คือผู้ถือครองกายเทพมายานั้น หากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจนต่อความปลอดภัยของหลานสาว ต่อให้เขาต้องตายก็จะไม่มีวันใดให้ผู้ใดล่วงรู้
“ท่านจ้าวนครเมฆา ข้าได้ยินว่ามีเทพมายาคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนหวนหลิง และคนผู้นี้ก็มีกายเทพมายาดังเช่นที่ตำนานเล่าขาน ข้าไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ? แล้วคนผู้นั้นเป็นใคร ท่านพอจะทราบหรือไม่ ?”
ว่านเจียงผู้นี้กล่าวถามตรง ๆ โดยไม่ลังเล ในเมื่อมาที่นี่เพื่อเรื่องนี้ บุรุษผู้มีนิสัยขวานผ่าซากอย่างเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องอ้อมค้อม
เมื่อได้ยินคำถามของว่านเจียง อวี๋จวินซานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ต้องขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องกายเทพมายาในหวนหลิงเลย แต่ถ้าหากว่าผู้ที่มีวาสนาสูงส่งเช่นนั้นถือกำเนิดในหวนหลิงจริง ข้าก็ถือว่าเป็นเกียรติสำหรับพวกเรา”
แน่นอนว่าอวี๋จวินซานรู้ดีแก่ใจว่าหลานสาวของตนคือคนที่พวกเขาตามหา แต่สิ่งที่เขากล่าวตอบไปนั้น แม้จะโกหกแต่ก็มีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งความจริงดังกล่าวคือเขารู้สึกเป็นเกียรติโดยแท้ที่ผู้สืบทอดกายเทพมายาคือฉินอวี้โม่
อย่างไรก็ตามต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีวันบอกว่านเจียงผู้นี้
เมื่อได้ยินคำตอบอันแน่วแน่เสียจนดูไม่คล้ายเป็นคำโกหกของอวี๋จวินซาน ว่านเจียงก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงบางอย่าง
เรื่องที่มีผู้สืบทอดกายเทพมายาปรากฏตัวในดินแดนหวนหลิงทุกขุมกำลังใหญ่ในดินแดนหนเหนือต่างก็ได้รับข้อมูลตรงกัน ฉะนั้นไม่มีทางจะผิดพลาดได้
อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของจ้าวนครเมฆาผู้ที่ถือเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งและน่าจะล่วงรู้ข้อมูลภายในมากที่สุดในหวนหลิงกลับไม่ทราบเรื่องราวที่ว่ามาก่อนเลย นี่ถือว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
แท้จริงแล้ว พวกเขาเองก็มาเยือนดินแดนหวนหลิงได้กว่าครึ่งปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามสืบเสาะค้นหากันมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอเรื่องเกี่ยวกับกายเทพมายาในดินแดนแห่งนี้เลยสักครั้ง
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้อมูลที่พวกเขาได้มาจะผิดพลาด ?’
ในตอนนี้คนจากดินแดนหนเหนือต่างก็หันหน้ามองกันอย่างเลิ่กลั่ก
วูบแรกที่ได้ยิน อู่ซิงก็มีสีหน้าที่สงสัยและสับสน ทว่าหลังจากนั้นเพียงชั่วลมหายใจเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้น
ครั้งนี้พวกเขาได้รับคำสั่งมาจากท่านประมุขให้หาทางปกป้องผู้สืบทอดเทพมายา หากคิดดูให้ดีการที่ไม่มีฝ่ายใดมีข้อมูลของกายศักดิ์สิทธิ์เลยก็เท่ากับว่าจะไม่มีใครทำอันตรายผู้สืบทอดได้ ฉะนั้นพวกเขาก็ไม่ถือว่าล้มเหลว
เมื่อคิดได้ดังนั้นตัวแทนจากวิหารทมิฬก็ดูจะผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้พอสมควร
อย่างไรก็ตามการที่จะไม่มีโอกาสได้ผูกไมตรีเป็นสหายกับผู้สืบทอดกายเทพมายาก็ทำให้อู่ซิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
เพราะสาวกทุกคนทราบดีว่าท่านประมุขให้ความสำคัญกับผู้สืบทอดมาก
แม้ว่าตัวผู้สืบทอดอาจจะยังไม่แข็งแกร่งนักในตอนนี้ แต่ในอนาคตคนผู้นั้นจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าที่เหนือกว่าคนทั้งใต้หล้า หากได้ผูกไมตรีกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นไว้ในเวลานี้จะถือเป็นผลดีกับวิหารทมิฬอย่างมาก
ขณะที่ทางฝ่ายนิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรต่างก็ไม่พอใจกับคำตอบของอวี๋จวินซาน พวกเขาแสดงท่าทางผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกระหายอยากได้ตัวผู้สืบทอดของเทพมายามาก และเหตุผลที่อยากจะได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ท่านจ้าวนครไม่เคยได้ยินจริง ๆ หรือ ?”
หลงจื้อถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่เชื่อว่านครเมฆาซึ่งเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในหวนหลิงจะไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ หากคิดว่า แท้จริงแล้วพวกเขามีข้อมูลแต่ไม่ยอมเปิดเผยให้รู้ นั่นดูจะมีความเป็นไปได้เสียมากกว่า
อวี๋จวินซานบอกแม้กระทั่งว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ สำหรับหลงจื้อแล้วเรื่องนี้แทบไม่น่าเชื่อถือ
“ต้องขออภัย เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินจริง ๆ ไม่ทราบว่าพวกท่านไปได้ยินข่าวลือที่ไหนมา หรือเหตุใดพวกท่านถึงได้ตามหาตัวคนผู้นั้น ?”
อวี๋จวินซานยิ้มก่อนจะถามกลับ ใบหน้าและท่าทางยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง จ้าวนครเมฆากำลังคิดจะล้วงเอาข้อมูลที่ตนต้องการบ้าง
เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินซาน หลงจื้อก็ขมวดคิ้ว เขาดูไม่ออกเลยว่าอวี๋จวินซานผู้นี้โกหกหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะจับสังเกตอย่างไรสีหน้าและปฏิกิริยาของเขาก็ยังคงเรียบนิ่งคงเดิมโดยตลอด และเมื่อไม่รู้แน่ชัดเขาจึงไม่ดันทุรังถามต่อ ส่วนหนึ่งก็เพราะจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าภาพงาน
อย่างไรก็ตามผู้มาจากนิกายแห่งอสูรมายาก็ไม่ได้ตอบคำถามของจ้าวนครเมฆา เขาแสร้งละเลยแล้วหันกลับไปถามคนอื่น ๆ ที่อยู่ในงานแทน
“ไม่ทราบว่ามีผู้ใดได้ยินเรื่องกายเทพมายาบ้างหรือไม่ ถ้ายอมบอกเบาะแสให้เรา พวกเรามีรางวัลให้อย่างงาม”
ไม่มีคำตอบใด ๆ จากเหล่าผู้เข้าร่วมงาน แน่นอนว่าผู้ที่รู้คำตอบไม่มีผู้ใดยอมเปิดปากบอก ส่วนคนอื่น ๆ ก็ทำเพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
ปฏิกิริยาตอบกลับจากบรรดาแขกในงานเลี้ยงทำให้หลงจื้อและคนอื่น ๆ ในพันธมิตรจากขั้วอำนาจแห่งอารามโชติช่วงเกิดอาการผิดหวัง ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
สิ้นเสียงนั้นผู้คนในงานต่างก็พากันแตกตื่น