คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 232 โค่นล้มอำนาจ
อวี๋จวินซานกัดฟันกรอด มือทั้งสองกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาสองข้างจ้องเขม็งไปยังอวี๋จวินเหยาที่ยืนอยู่ข้างกายหลงจื้อ
“ท่านตาไม่จำเป็นต้องโกรธบุรุษขี้อิจฉาผู้นั้นหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พุ่งเข้ามายืนเคียงข้างจ้าวนครเมฆา ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้า….”
อวี๋จวินซานมองฉินอวี้โม่ ในตอนนี้ความรู้สึกผิดต่อนางก่อกำเนิดขึ้นอย่างเหลือล้น การที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปทำให้หลายปีที่ผ่านมาฉินอวี้โม่ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส และผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้นมาก็เป็นคนใกล้ตัวของเขานี่เอง เป็นคนในครอบครัวของตัวเขาเอง
ถ้าวันนั้นเขาเป็นคนได้รับจดหมายจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋น หรือถ้าเขาคิดการณ์ให้รอบคอบมากกว่านี้ เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ทำให้เขาได้แต่โทษตัวเอง
“ท่านตาอย่าได้โทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นอวี๋จวินซานรู้สึกผิดจนแทบจะกล่าวอะไรไม่ออก ฉินอวี้โม่ก็รีบปลอบโยนเพื่อไม่ให้เขารู้สึกเสียใจมากจนเกินไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันซับซ้อนเป็นอย่างมากและมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน และความวุ่นวายในอดีตที่ผ่านมาส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีเรื่องของกายเทพมายาเข้ามาเกี่ยวข้อง หากจะให้อวี๋จวินซานแบกรับความผิดอยู่คนเดียวก็คงจะไม่ถูกต้องนัก
“น้องสาม ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริง ๆ พี่ใหญ่ก็ดีกับพวกเรามาโดยตลอด พวกเราสามพี่น้องช่วยกันดูแลนครแห่งนี้มาด้วยกัน ที่ผ่านมาไม่ว่าเจ้าเรียกร้องอะไรเขาก็ไม่เคยปฏิเสธ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็เป็นหลานของเจ้า แล้วเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ?!”
เหวินเปียวยังไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของน้องชาย เพราะที่ผ่านมาพี่ใหญ่ดีต่อพวกเขามาก อีกทั้งยังจริงใจจากใจจริงแท้เสมอ
ผู้อาวุโสสองไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดอวี๋จวินเหยาถึงได้มีความคิดที่ชั่วร้ายเช่นนี้ แม้ว่าพี่ใหญ่ของเขากับน้องชายผู้นี้จะมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่ก็คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะกล้าทำร้ายกันมากถึงขั้นนี้ได้
“เหอะ ! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตำแหน่งจ้าวนครเมฆาก็ควรจะเป็นของข้า”
อวี๋จวินเหยากล่าวอย่างเย็นชา เขาจดจำเรื่องราวได้ในอดีตได้เป็นอย่างดี
พวกเขาสามคนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาติด ๆ ความสามารถและพรสวรรค์ของทั้งสามคนต่างก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ทว่าอวี๋จวินเหยาเป็นบุตรชายที่จ้าวนครเมฆาคนก่อนรักและโปรดปรานมากที่สุด ตัวเขาเองก็สู้อุตส่าห์เฝ้าอดทนฝึกฝนจนกลายเป็นบุคคลคนที่เฉิดฉายที่สุดในสามพี่น้อง ในตอนนั้นอวี๋จวินเหยาคิดอยู่เสมอว่าเขาคือผู้ที่จะได้ขึ้นรับตำแหน่งจ้าวนครเมฆาคนต่อไปถัดจากบิดา แต่ประหนึ่งสวรรค์กลั่นแกล้งเมื่อผู้ที่ถูกเลือกกลับกลายเป็นพี่ชายคนโตของเขาแทน
หากไม่ใช่เพราะอวี๋จวินซานคือลูกชายคนแรก เรื่องราวก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าบางทีอวี๋จวินซานอาจจะกระทำการบางอย่างที่ทำให้สามารถแย่งชิงเอาตำแหน่งสำคัญนี้ไปจากเขาได้ เรื่องนี้อวี๋จวินเหยาเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของผู้เป็นพี่ชาย
ด้วยความคิดที่ว่าพรสวรรค์และความสามารถทุกด้านของตัวเองเหนือกว่าอวี๋จวินซานทำให้อวี๋จวินเหยาไม่อาจจะยอมรับผลลัพธ์อันขมขื่นนี้ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากอวี๋จวินซานได้ขึ้นเป็นจ้าวนคร พี่ชายผู้น่าชังก็ครอบครองทรัพยากรทั้งหมด ไม่นานนักความแข็งแกร่งของอวี๋จวินซานก็แซงหน้าเขาไปมาก เรื่องนี้ทำให้อวี๋จวินเหยายิ่งโกรธแค้น แน่นอนว่าความผิดทั้งหมดพี่ชายที่น่ารังเกียจของเขาสมควรเป็นผู้รับผิดชอบ
ดังนั้นแล้วหลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างอวี๋จวินเหยาและอวี๋จวินซานจึงย่ำแย่เหลือหลาย หากมองจากสายตาของคนภายนอก ผู้คนอาจคิดว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากความ ‘ริษยา’ แต่สำหรับบุรุษที่คิดว่าตนถูกแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างอวี๋จวินเหยาเขามองว่ามันคือความอยุติธรรมสำหรับตนเอง
ดังนั้น สิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ไม่ต่างจากการสนองความอยุติธรรมคืนกลับไปให้แก่พี่ชายของเขาบ้าง ถึงแม้เมื่อพิจารณาด้วยมุมมองของเครือญาติแล้วนั่นจะเลวร้ายมากแต่เขาก็ไม่นึกสนใจ อย่างไรอวี๋จวินเหยาก็มองว่าเขาทำสิ่งที่สมควร ด้วยการลงมือกำจัดสายเลือดที่แปดเปื้อนออกไปก็เท่านั้น
“หากจะเท้าความหลังอะไรให้ยืดยาวก็เอาไว้ทำวันอื่น ตอนนี้พวกเจ้าต้องเลือกว่าจะส่งฉินอวี้โม่มาให้ข้าหรือไม่ ถ้าผู้ครอบครองกายเทพมายายินยอมกลับไปกับข้าเสียดี ๆ ข้ารับรองว่า อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็จะยังคงมีลมหายใจอยู่ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
หลงจื้อมองฉินอวี้โม่ขณะเสนอต่อรอง มุมปากของเขายกยิ้มอย่างเป็นต่อ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์เจ้าจะไปกับพวกมันไม่ได้เด็ดขาด !”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของบุรุษจากนิกายหงส์มังกร อวี๋จวินซานก็กล่าวปฏิเสธทันที
หากฉินอวี้โม่ถูกหลงจื้อพาตัวไป นางต้องไม่มีจบจุดที่ดีแน่ และยังชัดเจนด้วยว่าเขาจะไม่สามารถปกป้องหลานสาวตัวน้อยของเขาได้อีกแล้ว อย่างไรจ้าวนครเมฆาก็จะไม่มีวันยอดให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
“ขอท่านตาโปรดวางใจ”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มบาง ถ้อยคำข่มขู่ของหลงจื้อไม่เป็นผลกับนางแม้แต่น้อย
แม้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างที่ฝ่ายนั้นว่ามาจริง แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเวลานี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในนิกายหงส์มังกรจริงหรือไม่ ไม่มีใครทราบว่าท่านแม่มีความเป็นอยู่อย่างไรหรือสภาพการณ์ของนางจะเลวร้ายมากแค่ไหน ดังนั้นการจะให้เชื่อเพียงวาจาของหลงจื้อผู้นี้เพียงคนเดียวนั้น ดูเหมือนจะง่ายดายมากไปสักหน่อย
ที่สำคัญหากพิจารณาจากพฤติกรรมที่ผ่าน ๆ มาของคนจากนิกายหงส์มังกรแล้ว ถ้าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในนิกายหงส์มังกรจริง นางก็อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วเป็นแน่ มีหรือคนเหล่านี้จะมีใจเมตตาให้การดูแลผู้ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อขุมกำลังของตนต่อไปอีก
“แค่เจ้าบอกว่าท่านแม่ของข้าอยู่ในนิกายหงส์มังกร คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าง่าย ๆ อย่างนั้นรึ หึ ฝันไปเถอะ ! แต่ถ้าอยากจะให้ข้าไปกับเจ้าก็จริง ๆ ก็ง่ายมาก พาตัวท่านแม่มาให้ข้าได้เห็นก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้ามั่นใจว่านางปลอดภัยและกลับมาอยู่กับท่านตาแล้ว ข้าจะไปกับเจ้าทันที”
ฉินอวี้โม่จ้องมองหลงจื้อพลางประกาศข้อต่อรองของตนอย่างฉะฉาน
หากอีกเสี่ยวอวิ๋นอยู่ในนิกายหงส์มังกรจริง แม้ว่าการไปกับพวกหลงจื้อจะเสี่ยงมากแต่นางก็ไม่มีทางเลือกเพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยเหลือท่านแม่ให้พ้นภัยได้ แต่อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ค่อนข้างเชื่อมั่นว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้อยู่ที่นั่น
“กลับไปกับเรา แล้วเจ้าจะได้เห็นหน้าแม่ของเจ้าเอง ตอนนี้พวกเราอยู่ในดินแดนหวนหลิง เราไม่มีวิธีที่จะติดต่อกับทางนิกายโดยเร่งด่วนได้”
หลงจื้อกล่าวตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“โกหก ! หลงจื้อ ถ้าเจ้าติดต่อกับนิกายหงส์มังกรไม่ได้จริง ๆ มีหรือที่พวกเจ้าจะกล้ามาที่ดินแดนนี้”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้ว นางไม่เชื่อถือในวาจาของอีกฝ่าย ในเมื่อคนเหล่านี้กล้ามาที่ดินแดนหวนหลิง พวกเขาก็สมควรมีวิธีการติดต่อกับขุมกำลังของตัวเอง และเมื่อลองคิดว่าสิ่งที่หลงจื้อกระทำเพราะกำลัง ‘บ่ายเบี่ยง’ นั่นทำให้ความเป็นไปได้ที่ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้อยู่ในนิกายหงส์มังกรชัดเจนขึ้น
“พี่อู่ซิง ทางวิหารทมิฬของพวกท่านมีวิธีการติดต่อกับขุมกำลังของท่านในดินแดนนู้นหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปถามอู่ซิงด้วยความสงสัย
“มีแน่นอน ผู้ที่ส่งเรามาก็คือขุมกำลังของเราเอง จะไปหรือกลับใช้วิธีพิเศษที่ควบคุมจากดินแดนเทพมายา ถ้าไม่มีวิธีติดต่อพวกเราก็ไม่อาจกลับบ้านได้”
อู่ซิงตอบตรงไปตรงมา ตอนที่เขาได้ยินว่ามารดาของฉินอวี้โม่อยู่ในนิกายหงส์มังกร เขาก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน
แม้ว่าจะรู้จักกันไม่นาน แต่หากมารดาของสหายน้อยผู้นี้อยู่ในนิกายหงส์มังกรจริง อู่ซิงเชื่อว่านางจะตัดสินใจไปพร้อมกับหลงจื้ออย่างไม่ลังเล แต่เมื่อได้ฟังคำถามของฉินอวี้โม่ เขาก็เข้าใจในทันทีว่าสตรีผู้โดดเด่นไม่เชื่อว่ามารดาของตนจะอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูตามที่อีกฝ่ายอ้าง และนางกำลังสงสัยในคำพูดของคนฝ่ายนั้น
“หึ ๆ หลงจื้อ ข้าเชื่อว่าเจ้ามีวิธีการติดต่อกับนิกายของเจ้า ข้าจะบอกอีกครั้ง ถ้าอยากจะให้ข้าตามเจ้าไปให้ข้าได้เห็นหน้าท่านแม่ก่อน หลังจากนั้นข้าจะยอมไปกับเจ้าโดยไม่ขัดขืน เพียงเท่านี้ย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเจ้าหรอกจริงไหม ?”
ฉินอวี้โม่จ้องมองหลงจื้อพลางแล้วยืนยันข้อเสนอเดิม …ทว่าปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาของฝ่ายตรงข้ามกลับดูอ้ำอึ้ง !
‘เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่ผิดแน่’ บัดนี้ นางมั่นใจกว่าเจ็ดส่วนว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้อยู่กับนิกายหงส์มังกร แต่ถ้าหากมารดาของนางอยู่ที่นั่นจริง นางก็จะยอมตามเขากลับไป ที่นี่มีคนจากนครเวหา วิหารทมิฬและนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมสังเกตการณ์อยู่ ทุกคนเป็นพยานให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ถึงจะเดินทางไป แต่คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ยังมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าสังหารนางทิ้งโดยง่าย เพราะจะสร้างความบาดหมางที่บานปลายยิ่งขึ้น
“หลงจื้อ ในเมื่อมารดาของแม่นางอวี้โม่อยู่ในนิกายของพวกเจ้า พวกเจ้าก็รีบติดต่อกับนิกายและให้นางได้เห็นหน้ามารดาก่อน เพียงเท่านั้นนางก็จะตามเจ้าไป เหตุใดเจ้ายังมัวลังเลอยู่อีก หรือว่ามารดาของนางไม่ได้อยู่ในนิกายหงส์มังกรจริง ๆ กันแน่ ?”
อู่ซิงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทีของหลงจื้อ เขาเองก็เริ่มเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคนจากนิกายหงส์มังกรกำลังโป้ปด
เพราะวิหารทมิฬและนิกายหงส์มังกรนับเป็นศัตรูกันมาช้านาน ภายในขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามย่อมมีสายลับของวิหารทมิฬแฝงตัวอยู่ด้วย ถ้าหากสตรีจากนครเมฆาแห่งดินแดนหวนหลิงอย่างอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกจับกุมอยู่ที่นั่นจริง มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางปกปิดเรื่องนี้ได้อย่างหมดจดจนเหลือเชื่อเช่นนี้ได้แน่
ที่สำคัญ ครั้งนี้อู่ซิงเตรียมแผนการบางอย่างไว้ในใจแล้ว
หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในมือนิกายหงส์มังกรหรือขุมกำลังใด ๆ ในฝ่ายตรงข้ามและฉินอวี้โม่ยอมตามอีกฝ่ายกลับไปจริง เขาก็จะรีบส่งข้อความแจ้งท่านประมุขทันที ถึงตอนนั้นแม้ฉินอวี้โม่จะตกไปอยู่ในมือของศัตรู แต่พวกเขาจะไม่มีวันยอมให้นางเป็นอะไรไป
เมื่อได้ยินคำท้าทายแกมเร่งเร้าของฉินอวี้โม่และอู่ซิง หลงจื้อก็ขมวดคิ้ว บุรุษจากนิกายที่เต็มไปด้วยอสูรมายาได้แต่นิ่งเงียบราวกับอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก
เดิมทีเขาคิดว่าขอเพียงยกเรื่องนี้ขึ้นมาต่อรอง ฉินอวี้โม่ก็จะตามพวกเขากลับไปทันที
เหตุการณ์เกิดขึ้นว่องไว ตัวเขาเองก็อุตส่าห์เค้นสมองจนหาข้อต่อรองนี้ขึ้นมาได้อย่างทันท่วงที นี่เป็นไพ่ที่เขาคิดว่าทรงพลังแล้วโดยแท้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายเองก็ฉลาด สามารถคิดเฉลียวใจในวาจาของเขาอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
และที่นางสงสัยก็ไม่ผิด เพราะตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่ได้อยู่ในมือพวกเขาแล้วจริง ๆ
จริงอยู่ที่ตอนแรกพวกเขาเป็นคนที่พาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับไปดินแดนหนเหนือ ทว่าหลังจากนั้นกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น…
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็จะฉินอวี้โม่รู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
“เหอะ ! จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า ในเมื่อเจ้าไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของมารดาตัวเอง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก มารดาของเจ้าทุกข์ทรมานอย่างไรไม่คิดสนใจเลยหรือ ? เป็นบุตรีมิกตัญญูรู้คุณผู้ให้กำเนิด นี่หรือผู้ที่เทพมายาเลือกให้เป็นผู้สืบทอด”
หลงจื้อกล่าวเสียงแข็งหวังจะกดดันให้อีกฝ่ายไขว้เขว
ทว่ายิ่งเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลงจื้อ ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งเชื่อว่าตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้อยู่ในมือพวกเขา
อย่างไรก็ตาม แต่เรื่องที่นิกายหงส์มังกรเป็นผู้ลักพาตัวมารดาของนางไป คงไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ‘แล้วตอนนี้ท่านแม่ไปอยู่ที่ใดเสียและนางจะปลอดภัยจริงหรือไม่ ?’
“หลงจื้อ หยุดเฉไฉให้มากความได้แล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ไม่ยอมให้เจ้าพาเสี่ยวโม่เอ๋อร์ไป ถ้าคิดจะพรากหลานสาวข้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน !”
ผู้เฒ่าฉินเฟินตะโกนก้องอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงที่ผู้นำตระกูลฉินใช้จริงจังและหนักแน่นยิ่งนัก
ถึงแม้ตัวเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ายอดฝีมือหลายคนที่อยู่ที่นี่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้เฒ่าผู้นี้จะยอมให้ใครพาหลานสาวของตัวเองไปต่อหน้าต่อได้
“ใช่แล้ว พวกเราจะยืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่ ถ้าเจ้าจะพานางไปก็ไม่ต้องพูดให้เสียเวลา ดาหน้าเข้ามาได้เลย !”
วาจาท้าทายดังจากปากของผู้นำตระกูลเหล่ย แม้ว่าจะเคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน แต่ในตอนนี้ทุกขุมกำลังในนครไป๋อวิ๋นนับว่าสามัคคีกลมเกลียวกันเป็นหนึ่ง
ด้วยว่าฉินอวี้โม่มีกายเทพมายาในครอบครอง อนาคตของนางจึงไร้ขีดจำกัด กอปรกับการที่นางเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงจึงทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการหาทางผูกไมตรีกับสตรีผู้เก่งกล้าผู้นี้ให้ได้
ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่ถือเป็นความหวังของทุกคนในไป๋อวิ๋น การมีนางอยู่ก็เสมือนเป็นหลักประกันว่านครแห่งนี้จะสามารถรับมือกับทุก ๆ ภัยคุกคามในอนาคตได้อย่างแท้จริง
เมื่อเห็นความสามัคคีของชาวไป๋อวิ๋น หลงจื้อก็ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปดูเหมือนว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ชาวนครเมฆาจงฟัง ถ้าพวกเจ้ายังยอมให้อวี๋จวินซานปกครองนครแห่งนี้ต่อไป อนาคตของพวกเจ้าก็จะเหมือนกับนกในกรงขัง ขอเพียงเจ้าเลือกยืนอยู่ข้างข้า หากข้าชนะศึกครั้งนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากคนของดินแดนหนเหนือ แผ่นดินหวนหลิงทั้งหมดจะต้องตกเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน !”
ทันใดนั้นอวี๋จวินเหยาก็โพล่งวาจาปลุกระดมมวลชนเพื่อหวังเรียกกำลังสนับสนุนจากชาวนครเมฆา
คนที่เป็นฝ่ายเดียวกันหรือเป็นพันธมิตรกับอวี๋จวินเหยามีท่าทีลังเล ทว่าในที่สุดพวกเขาก็ก้าวไปยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสสามที่ตนเชื่อถือ
ต้องบอกเลยว่าที่ผ่านมาอวี๋จวินเหยาสร้างฐานอำนาจและขยายอิทธิพลไว้มากมายทีเดียว เพราะตอนนี้แม้แต่คนที่เป็นกลางบางคนก็ยังเลือกไปยืนอยู่ข้างเขา
จนกระทั่งตอนนี้ชาวนครเมฆากว่าหกส่วนเลือกข้างฝ่ายผู้อาวุโสสาม ขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือยังคงเชื่อมั่นในตัวจ้าวนครและเลือกยืนอยู่ข้างเขา
อวี๋จวินซานได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ เรื่องนี้ต้องโทษความอ่อนหัดของตัวเขาเองในหลายปีที่ผ่านมา จ้าวนครเมฆาเกิดความคิดที่ว่า ‘หรือครานี้จะถึงจุดที่ยุคสมัยของเขาสิ้นสุดลงเสียแล้ว’
อวี๋จวินซานเคยเชื่อมาโดยตลอดว่าที่ผ่านมาเขาปฏิบัติตนเป็นผู้ปกครองนครที่ดีและเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าในเรื่องนั้นเขาจะเข้าใจผิดพลาดไป จนทำให้เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ คนของเขาจึงเลือกยืนอยู่ข้างอวี๋จวินเหยาแทน
“พวกเจ้า !….”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เหวินเปียวก็ถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออก ไม่คิดเลยว่านครเมฆาจะดำเนินมาถึงจุดนี้ จุดที่นครแบ่งเป็นสองฝักฝ่าย จุดที่มีคนเลือกทรยศจ้าวนครของตัวเองมากเกินกว่าครึ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ใหญ่ ท่านเห็นแล้วใช่ไหม แม้ว่าท่านจะเป็นจ้าวนคร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนส่วนมากจะต้องเห็นด้วยกับท่าน จ้าวนครที่ดีแต่เห็นแก่เรื่องของตนเอง เที่ยวแต่ตามหาบุตรสาวที่ทำตัวน่ารังเกียจสร้างเรื่องราววุ่นวายไม่เป็นอันทำสิ่งใดเพื่อพัฒนาบ้านเมือง เท่านั้นไม่พอยังส่งคนในนครของเขาออกไปแต่งงานกับคนนอกทำสายเลือดแปดเปื้อน คนในแผ่นดินนี้ไม่อยากจะยอมรับนักหรอก”
อวี๋จวินเหยามองอวี๋จวินซานพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน และนี่คือเหตุผลที่ผู้อาวุโสสามพยายามใช้ปลุกปั่นและสั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้คนในนครเมฆาต่อจ้าวนครมานานหลายปี
และด้วยวาจาดังกล่าวของผู้อาวุโสสามก็ทำให้จ้าวนครเมฆาเคืองแค้นเป็นอย่างมาก
“เหอะ ! อวี๋จวินเหยา เจ้าอย่าเพิ่งคิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายชนะนะ คนอย่างเจ้าไม่มีวันได้ตายดี !”
อวี๋จวินซานตวาดลั่น ตัวเขาพร้อมจะจัดการกับน้องชายผู้นี้ในขั้นเด็ดขาด
“ฮ่า ๆ ๆ อวี๋จวินเหยา เจ้าทำได้ดีมาก ขอเพียงเจ้ายื้ออวี๋จวินซานไว้สักพักก็พอ พวกเราจะรีบชิงตัวฉินอวี้โม่มาให้ได้ หากงานนี้สำเร็จ ข้ารับรองเจ้าจะได้ผลประโยชน์อย่างงาม”
หลงจื้อหันไปกล่าวกับอวี๋จวินเหยาด้วยสีหน้าพึงพอใจ เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้พวกเขาคงต้องล้มเหลว ไม่คิดเลยว่าอวี๋จวินเหยาจะช่วยเขาได้มากถึงเพียงนี้
“ฉินอวี้โม่ อู่ซิง พวกเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าวันนี้พวกข้าจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ !”
หลงจื้อหันไปสาดสายตาเย็นชาใส่ฉินอวี้โม่และสหาย ทันใดนั้นสภาวะพลังอันรุนแรงของเขาก็ปะทุออกจากร่าง ก่อนจะพุ่งเข้ากดดันคนในฝ่ายตรงข้ามทันที
.