คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 234 การต่อสู้อันดุเดือด
เมื่อได้เห็นสิ่งที่อวิ๋นเฟินนำออกมา ฉินอวี้โม่ก็อึ้งไปเช่นกัน
ทว่านั่นมิได้เกิดจากความน่าเกรงขามของไม้ตายแห่งนครเวหา แต่เป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้มันดูคล้ายกับ ‘หุ่นกระป๋องขนาดเล็กจิ๋ว’ ในยุคสมัยที่เธอ จากมาไม่ผิดเพี้ยน
“หุ่นกลโลหะ”
อู่ซิงและคนอื่น ๆ จ้องมองสิ่งของในมือของอวิ๋นเฟินตาเบิกกว้าง พวกเขาทั้งหมดอุทานพร้อมกันเสียงดังลั่น
“ว่ากันว่าจ้าวนครเวหาอวิ๋นซื่อเทียนเป็นช่างฝีมือระดับอัจฉริยะแห่งแผ่นดิน อีกทั้งยังเก่งกาจในด้านการเล่นแร่แปรธาตุ นางสามารถสรรค์สร้างสิ่งของที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อขึ้นมาได้มากมาย สิ่งประดิษฐ์ที่นางสร้างขึ้นแทบทุกอย่างล้วนแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร หุ่นกลโลหะนี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น”
ขงชิงกล่าวอธิบาย เพราะเข้าใจดีว่าสหายรุ่นเยาว์ทั้งหลายจากดินแดนหวนหลิงไม่น่าจะมีความรู้ในเรื่องนี้
“เห็นขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านี้แต่อย่าได้คิดดูแคลนพลังของมันล่ะ ที่จ้าวนครของเราสร้างมันขึ้นมาให้มีขนาดเล็กเพื่อความสะดวกในการขนย้าย พลังที่แท้จริงของหุ่นกลโลหะตัวนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดฝีมือขอบเขตจ้าวพิภพเลย แม้ว่าหุ่นตัวนี้จะไม่สามารถใช้นภายุทธ์หรือทำพันธสัญญากับอสูรได้ แต่พลังทางกายภาพของมันก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากยอดฝีมือมนุษย์ ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าตัวจิ๋วนี่ไม่มีวันบาดเจ็บล้มตายและทำลายได้ยากมาก”
สำหรับสมบัติล้ำค่าทว่าหน้าตาคล้ายของเด็กเล่นชนิดนี้ แม้แต่ผู้คนในดินแดนหนเหนือเองก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นมากนัก มันจัดเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่ทรงพลังมาก มูลค่าของมันจึงสูงลิบลิ่วจนยากจะจับต้องได้
หุ่นกลโลหะ ที่อวิ๋นเฟิงถืออยู่นี้ เป็นเพียงหุ่นระดับกลางเท่านั้น หากเป็นหุ่นระดับสูงของนครเวหาจะสามารถต่อกรกับยอดฝีมือในขอบเขตเซียนได้เลย
อย่างไรก็ตาม กระบวนการสร้างหุ่นกลโลหะ นั้นทั้งซับซ้อนและต้องการส่วนประกอบที่หายากยิ่ง การจะได้สมบัติประหลาดนี้มาสักชิ้นเรียกได้ว่ายากเย็นแสนเข็ญ ในร้อยปีที่ผ่านมาอวิ๋นซื่อเทียนสามารถสร้างพวกมันขึ้นมาได้เพียงสามตัวเท่านั้น
น่าเสียดายที่ตัวหนึ่งถูกทำลายไปในศึกระหว่างนครเวหาและนิกายหงส์มังกรเมื่อหลายสิบปีก่อน ส่วนอีกตัวถูกใช้เป็นผู้พิทักษ์แห่งนครเวหา มันคือยุทโธปกรณ์ระดับสูงที่ทุกขุมกำลังต่างก็ต้องยำเกรง
ตัวที่อวิ๋นเฟิงถืออยู่นี้เป็นตัวที่มีพลังน้อยที่สุดในทั้งสามตัว ในตอนที่ส่งอวิ๋นเฟิงและคณะมายังดินแดนหวนหลิง จ้าวนครเวหาได้มอบหุ่นตัวนี้ไว้ให้เขาสำหรับใช้ยามฉุกเฉิน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางพอจะเข้าใจถึงความล้ำค่าของหุ่นกลโลหะแล้ว เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นซื่อเทียนเป็นช่างฝีมืออัจฉริยะและยิ่งได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ของนาง คุณหนูตระกูลฉินก็ยิ่งคิดว่าจ้าวนครเมฆาเป็นบุคคลที่ที่น่าสนใจอย่างมาก
“หึ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะนำไพ่ตายติดตัวมาอย่างพร้อมพรั่งถึงเพียงนี้ ราวกับพวกเจ้าคิดการณ์จะเปิดศึกไว้ล่วงหน้าเสยอย่างนั้น”
เมื่อเห็นเหล่าตัวแทนจากขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามล้วงเอาไพ่ตายของตนออกมาใช้ หลงจื้อก็ยิ้มเย้ยแล้วเอ่ยคำเสียดสี ใบหน้าท่าทีไม่มีอาการตื่นตระหนกให้เห็นแม้แต่น้อย
แม้ว่าไพ่ตายที่อีกฝ่ายมีจะทรงพลังน่าเกรงขาม แต่เขาก็ไม่นึกหวาดกลัวเลยสักนิด เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรดึกดำบรรพ์ที่แข็งแกร่งกว่ามากเช่นนี้ สิ่งของเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากของเล่นเด็กหัดขวบ เขามั่นใจมากว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีวันเอาชนะมังกรดึกดำบรรพ์ได้
ยิ่งกว่านั้นนอกเหนือจากนิกายหงส์มังกรแล้ว อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรเองก็มีไพ่ตายของตัวเองเช่นกัน
แน่นอนว่านั่นเป็นความจริง เพราะตอนนี้เหยาปิงได้หยิบเอาโอสถของพวกเขาออกมาก่อนจะกล่าว ท่วงท่าลีลาที่เขาใช้คล้ายอัญเชิญสิ่งล้ำค่า ความภาคภูมิใจปรากฏบนใบหน้าชัดเจน “นี่คือโอสถสูตรเฉพาะของอารามโชติช่วงที่ท่านจ้าวอารามมอบให้พวกเราก่อนจะมาที่นี่ ผลของมันไม่ต่างจากโอสถของวิหารทมิฬ นั่นคือช่วยเพิ่มพลังให้ถึงขอบเขตจ้าวพิภพเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ข้าเกรงว่าโอสถของเราอาจจะเห็นผลดีกว่า ฮ่า ๆ ๆ”
กล่าวจบ บุรุษจากอารามโชติช่วงก็แบ่งโอสถให้กับสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรที่อยู่โดยรอบ หลิงซานที่ได้รับมาหนึ่งเม็ดรีบกลืนมันเข้าไปไม่รอช้า
“เช่นนั้นนครหมื่นอสูรของเราก็ต้องขอเผยไพ่ตายของเราบ้าง”
ว่านเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเองบุรุษในชุดสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา
“เหอะ ! คิดไม่ถึงว่านครหมื่นอสูรจะมีอสูรระดับนั้นในครอบครอง”
เห็นได้ชัดว่าอู่ซิงทราบว่าบุรุษชุดดำที่อยู่ด้านหลังว่านเจียงคือใคร
‘นายหญิง เจ้าชุดดำนั่นก็คือ ‘ซวนหนี*’…. ’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ เทพอสูรบอกเล่าถึงตัวตนของบุรุษปริศนาให้สตรีผู้เป็นนายฟัง
แท้จริงแล้วนั่นไม่ใช่มนุษย์แค่เป็นอสูรมายาที่ทรงพลัง ซวนหนี*
*ซวนหนีคือหนึ่งใน ‘ลูกมังกรทั้งเก้า’ ตามตำนานเทพเจ้าของจีนโบราณ ลูกมังกรทั้งเก้านี้ประกอบไปด้วย ปี้ซี่(赑屃), ปี้อ้าน(狴犴), เทาเที่ย(饕餮), ผูเหลา(蒲牢), ฉิวหนิว(囚牛), เจียวถู(椒图), ชือเหวิ่น(鸱吻), ซวนหนี(狻猊) และ หยาจื้อ(睚眦) ซึ่งแต่ละตัวจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป ซวนหนีตัวที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องนี้มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ครึ่งมังกร
ซวนหนีเป็นอสูรมายาที่หายากมาก เหตุผลเพราะเมื่อมันถือกำเนิดขึ้นในโลกหล้าจะมีอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำ ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามธรรมชาติของอสูรชนิดนี้ อย่างไรก็ตามหากซวนหนีมีชีวิตรอดได้ก็จะเติบโตขึ้นเป็นอสูรที่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด
แม้ว่าซวนหนีที่อยู่ตรงหน้าจะยังดูอ่อนวัยแต่กลับมีพลังถึง ‘ระดับจ้าวพิภพ’ แล้ว
ในนครเมฆามียอดฝีมือที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรอยู่ไม่น้อย ซวนหนีตัวนี้ถูกคนของนครหมื่นอสูรสยบได้และทำพันธสัญญาด้วยตั้งแต่ยังตัวเล็ก ๆ หลังจากได้รับการเลี้ยงดูและส่งเสริมความแข็งแกร่งด้วยวิธีพิเศษจากนครครึ่งอสูรแห่งนี้ มันก็เติบโตขึ้นและกลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่น่ากลัวของขุมกำลัง
ในครั้งนี้จ้าวนครหมื่นอสูรยอมมอบซวนหนีให้ว่านเจียงนำติดตัวมาด้วยเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งก็เพราะเพื่อให้มั่นใจว่าภารกิจตามล่าตัวผู้สืบทอดของเทพมายาจะประสบผลสำเร็จ
“เป็นซวนหนีที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้วหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ”
เมื่อได้เห็นอสูรครึ่งมังกรปรากฏตัว มังกรดึกดำบรรพ์ก็ประหลาดใจมากจนอดอุทานออกมาไม่ได้ เพราะแม้แต่ในยุคสมัยที่ยังมีลมหายใจ มันก็แทบจะไม่เคยเห็นซวนหนีเลย ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงในยุคนี้
หากเทียบกันแล้วซวนหนีตัวนี้มีศักยภาพในการเติบโตที่สูงส่งไม่ต่างจากมังกรดึกดำบรรพ์ เพียงแต่พวกมันมีจำนวนน้อยและหาได้ยากมาก
ในยุคสมัยโบราณ นานแสนนานมาแล้ว ตั้งแต่โลกยังอยู่ในยุคสมัยที่บรรพบุรุษของมังกรดึกดำบรรพ์ตัวนี้มีชีวิตอยู่ ได้มีสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ซวนหนีกับเผ่าพันธุ์มังกรดึกดำบรรพ์เกิดขึ้น ในตอนนั้นแม้ว่าเผ่าซวนหนีจะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่ฝ่ายมังกรดึกดำบรรพ์กลับไม่สามารถเอาชนะได้
เมื่อวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์ที่หลงเหลือพลังอยู่เพียงเศษเสี้ยวได้เห็นซวนหนีตัวเป็น ๆ ต่อหน้า มันจึงรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกอีกฝ่ายคุกคาม เป็นไปได้ว่าผลพวงจากสงครามแต่ครั้งโบราณกาลนั้นได้ทำให้พลังทางสายเลือดของซวนหนีสามารถกดดันมังกรดึกดำบรรพ์ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ดูอย่างไรพวกเจ้าก็ด้อยกว่าฝ่ายเราชัดเจน ยังคิดจะอวดความกล้าท้าความตายกันอีกหรือ ? เอาล่ะ ฉินอวี้โม่ หมดเวลาเฉไฉแล้ว รีบตัดสินใจเสีย ว่าจะตามพวกเราได้แต่โดยดีหรือว่าจะเลือกทำสงครามแล้วรอดูฆ่าสังหารเพื่อนของเจ้า !”
หลงจื้อยื่นข้อเสนอครั้ง ตอนนี้ฝ่ายพวกเขาเหนือกว่าอย่างชัดเจน หากทำสงครามกันจริง ๆ เขามั่นใจว่าฝ่ายตนมีโอกาสชนะถึงเจ็ดส่วน
“หลงจื้อ เจ้าอย่าฝันไปหน่อยเลย พวกเจ้าจะมีกำลังเข้มแข็งแค่ไหนเราก็ไม่สนใจ แต่หากจะพาตัวฉินอวี้โม่ไป ก็ต้องเอาชนะพวกเราให้ได้ก่อน”
อู่ซิงกล่าวโต้ตอบด้วยท่าทีไม่ยอมแพ้
ไม่ว่าอย่างไร วันนี้พวกเขาก็จะยอมให้อีกฝ่ายได้ตัวฉินอวี้โม่ไปไม่ได้ แม้ว่าหากทำศึกพวกเขาจะมีโอกาสชนะอยู่น้อยนิดก็ตาม แต่พวกเขาก็ยินดีจะต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด
“สหายน้อยอวี้โม่ หากสถานการณ์วิกฤตจริง ๆ ก็ขอให้เจ้าหาจังหวะหนีไปก่อน ไม่ต้องห่วงพวกเรา ถึงคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งแต่พวกเราก็พอจะเอาตัวรอดได้”
อู่ซิงหันไปกระซิบบอกฉินอวี้โม่
เมื่อได้ฟังสิ่งที่อู่ซิงกล่าว ฉินอวี้โม่ก็อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะยิ้มออกมาพลางส่ายศีรษะ
นางไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่วิ่งหนีเอาตัวรอดโดยทิ้งพวกพ้องไว้ด้านหลัง ในเมื่อสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นโดยมีกายวิเศษที่นางครอบครองอยู่เป็นต้นเหตุ คุณหนูตระกูลฉินก็จะไม่หนีไปไหนและจะขอใช้ไพ่ในมือทุกใบเพื่อเอาชนะให้ได้
ที่สำคัญในตอนนี้นางมีซิวอยู่ด้วย ขอเพียงมีซิวอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนักหนาเพียงใด คุณหนูผู้ครอบครองกายเทพมายาก็ไม่คิดหวั่นเกรง
“เหอะ รนหาที่ตาย !”
หลงจื้อตวาดลั่น เขาโบกมือส่งสัญญาณในฉับพลัน ทันใดนั้นยอดฝีมือจากฝ่ายของเขาก็พุ่งเข้าจู่โจมฝ่ายตรงข้ามทันที
ฉินอวี้โม่และเหล่าพันธมิตรของนางก็ไม่ลังเลตรงเข้ารับมือฝ่ายศัตรูไม่รอช้า
บัดนี้ จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายต่างบุกตะลุยเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ทว่าในตอนที่อวี๋จวินซานกำลังจะพุ่งออกไปนั้น เขาก็ถูกอวี๋จวินเหยาหยุดเอาไว้เสียก่อน
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่ได้ประลองกันมาหลายปีแล้วนะ ถึงท่านจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพไปแล้วครึ่งก้าว แต่อย่าคิดว่าข้าจะกลัวท่าน วันนี้ข้าจะขอสะสางบัญชีแค้นระหว่างเราให้จบสิ้น !”
อวี๋จวินเหยาระเบิดสภาวะพลังที่แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอวี๋จวินซานออกมา เมื่อครู่เขาเพิ่งจะกลืนโอสถสูตรพิเศษของอารามโชติช่วงเข้าไป ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่ด้อยไปกว่าคนตรงหน้าอีกแล้ว
“รับมือกันเจ้าไม่จำเป็นต้องถึงมือพี่ใหญ่หรอก !”
เหวินเปียวกระโดดเข้ามาขวางอย่างไม่ลังเล
“น้องรอง เจ้าไปช่วยคนอื่น ๆ ดีกว่า ข้าจะรับมือกับน้องชายสารเลวผู้นี้เอง”
แน่นอนว่าอวี๋จวินซานรับรู้ได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของอวี๋จวินเหยาดี เขารู้ดีว่าเหวินเปียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายบอก เหวินเปียวก็ลังเลอยู่เล็กน้อย ทว่าในที่สุดเขาก็หันหลังกลับแล้วพุ่งเข้าไปจู่โจม ‘กลุ่มคนทรยศ’ คนอื่น ๆ ของนครเมฆา
ในตอนนี้เหลือเพียงอวี๋จวินซานและอวี๋จวินเหยาเผชิญหน้ากัน บุรุษสองพี่น้องยืนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแสนซับซ้อน
เพียงชั่วอึดใจต่อมาทั้งคู่ก็กระโดดเข้าปะทะกันโดยไม่ลังเล !
ที่อีกด้านหนึ่ง คนจากอารามโชติช่วงกำลังเปิดศึกกับคนจากวิหารทมิฬ
“ซวนหนีเจ้าไปรับมือกับหุ่นกลโลหะ”
ว่านเจียงกล่าวสั่งอสูรหายากที่อยู่ข้างกาย
อสูรครึ่งมังกรในร่างมนุษย์ชุดดำพยักหน้าก่อนจะหันไปมองหุ่นกลโลหะที่เวลานี้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ว่าจะดูอย่างไร บัดนี้เจ้าหุ่นโลหะที่เคยกะทัดรัดก็ดูคล้ายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เว้นแต่เพียงมีเกราะขนาดใหญ่สวมทับทั้งร่างกายไว้เท่านั้น
หุ่นกลโลหะเองก็ได้รับคำสั่งที่คล้ายคลึงกันจากอวิ๋นเฟิง มันพุ่งเข้าใส่ซวนหนีในทันที
— ปัง! —
หมัดของซวนหนีและหุ่นกลโลหะปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่น
ขณะเดียวกันนั้นเอง คนจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจากนครหมื่นอสูร ฝ่ายวิหารทมิฬต่อสู้อยู่กับศัตรูเก่าแก่อย่างอารามโชติช่วง ส่วนคนของนิกายหงส์มังกรกำลังปะทะกับคนของนครเวหา ดูราวกับว่าทุกอย่างถูกจัดแจงไว้ล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ณ พื้นที่ใจกลางอุทยานงดงามที่เปลี่ยนกลายเป็นสมรภูมิดุเดือดนั้นกำลังถูกครอบครองโดยมังกรดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดไม่ต่างจากภูเขาลูกย่อม ๆ และวิญญาณสัตว์ร้ายจากบรรพกาลตนนี้เองที่เป็นปัญหาใหญ่และน่าหนักใจที่สุดของฝ่ายฉินอวี้โม่
มู่อวิ๋น หานโม่ฉือและยอดฝีมือที่แข็งแกร่งจากกลุ่มพันธมิตรไป๋อวิ๋นพุ่งเข้ารับมือมังกรดึกดำบรรพ์พร้อมกันไม่คอยท่า
หากอยากจะควบคุมสถานการณ์ให้ได้ พวกเขาจะต้องสยบวิญญาณมังกรร้ายตัวนี้สถานเดียวเท่านั้น
ฉินอวี้โม่เรียกอสูรมายาทั้งหมดของตนออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสั่งให้พวกมันเข้าไปช่วยเหลือคณะนักรบจากไป๋อวิ๋นที่กำลังรับมือกับมังกรดึกดำบรรพ์
เดิมทีอดีตนักฆ่าสาวก็ตั้งใจจะเข้าไปช่วยรับมือกับ ‘เจ้าไดโนเสาร์เขี้ยวยาว’ เช่นกัน ทว่ายังไม่ทันได้ขยับร่างก็ถูกหลิงซานจ้าวอารามแห่งหวนหลิงขัดขวางไว้เสียก่อน
“ฉินอวี้โม่ การประลองของเรายังไม่รู้ผล วันนี้ข้าขอท้าดวลกับเจ้าอีกครั้ง ทุกคนจะต้องได้รู้ว่าข้าเหนือกว่าเจ้ามากเพียงใด !”
หลิงซานประกาศเสียงแข็งกร้าว ในตอนนี้กลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าครั้งสุดท้ายที่ฉินอวี้โม่เคยประมือด้วยไม่น้อย ดูเหมือนว่าโอสถที่อารามโชติช่วงมอบให้จะช่วยบุรุษผู้นี้ได้มากมาย เวลานี้เมื่ออยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพเป็นการชั่วคราวก็ทำให้จ้าวอารามแห่งหวนหลิงมั่นใจมากว่าต้องเอาชนะสตรีตรงหน้าได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็จะสนองให้ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชา
ในการต่อสู้ที่นครไป๋อวิ๋นครั้งนั้น หากอวี๋จวินซานไม่ปรากฏตัวขึ้น นางก็ตั้งใจจะใช้ไพ่ตายทั้งหมดและจัดการสังหารคนผู้นี้ทิ้งอยู่แล้ว ในวันนี้เมื่อเขาเสนอหน้ายื่นคอเข้ามาในเครื่องประหารเอง นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องจัดการคนผู้นี้ขั้นเด็ดขาดเสีย
ฉินอวี้โม่เรียกอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองซึ่งก็คือหานอวี้และซิวออกมา ก่อนจะใช้ท่าอสูรเสริมร่าง
ซิวเปลี่ยนร่างเป็นหอกงดงามเปล่งประกาย ขณะที่หานอวี้เปลี่ยนเป็นชุดเกราะสีทองอร่ามช่วยปกป้องร่างของฉินอวี้โม่
หลิงซานในตอนนี้ไม่เหมือนกับหลิงซานเมื่อสามเดือนก่อนอีกแล้ว ยิ่งเมื่อได้กินโอสถสูตรเฉพาะของอารามโชติช่วงเข้าไป ตอนนี้เขาก็อยู่ในระดับจ้าวพิภพเต็มตัวแล้ว
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์อย่างเต็มตัวแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์จ้าวพิภพนางก็ยังถูกแรงกดดันอันรุนแรงของอีกฝ่ายจู่โจมจนรู้สึกถึงความอึดอัดได้ชัดเจน
ร่างของฉินอวี้โม่หายวับไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิงซานในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันหอกที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงแรงกล้าในมือก็แทงเข้าสู่ตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่ายทันที
— เคร๊ง ! —
หลิงซานเองก็ไม่กล้าประมาทเขาเรียกอาวุธออกมาทันใดก่อนจะใช้มันปัดป้องหอกของฉินอวี้โม่ได้ทันเวลา
— เคร๊ง ! เคร๊ง ! เคร๊ง ! —
อาวุธของทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงหลายครั้ง ร่างของฉินอวี้โม่กระเด็นถอยหลังไปนับสิบก้าวก่อนจะยืนได้อย่างมั่นคง ขณะที่ทางฝั่งหลิงซานถอยกลับไปเพียงสามก้าวเท่านั้นก็ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พลังของหลิงซานเป็นต่ออยู่ส่วนหนึ่ง
นี่บ่งชี้ว่า พลังของจอมยุทธ์ในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์และขอบเขตจ้าวพิภพนั้น มีความห่างชั้นที่ไม่น้อยเลย
.