คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 237 สิ่งที่ต้องแลก
ต้องทราบก่อนว่า วิญญาณของอสูรมายาที่ทรงพลังนั้นไม่อาจถูกทำลายได้ไม่ว่าจะด้วยจากการโจมตีใด ๆ นอกเหนือจากเผามันด้วยเพลิงที่แข็งแกร่งแล้วก็ไร้ซึ่งวิธีอื่น
มังกรดึกดำบรรพ์ตรงหน้านี้ตอนมีชีวิตเคยเป็นอสูรมายาที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณก็ยังมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว
หากต้องการจะทำลายวิญญาณนี้ให้ดับสูญ ต้องอาศัยเปลวเพลิงที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งแต่ต้องทรงพลานุภาพอย่างยิ่งยวดเท่านั้น แต่เปลวเพลิงระดับนั้นก็แทบไม่อาจหาได้ในแผ่นดิน ฉะนั้นวิญญาณมังกรในรูปลักษณ์นี้จึงเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า ‘วิญญาณมังกรอมตะ’ การรับมือกับมันแบบปกติมีแต่จะสร้างความเสียหายให้ตัวเอง เพราะถึงจะพยายามต่อสู้ต่อไปอย่างไรก็ไม่มีทางทำอะไรมันได้
ทว่าน่าเสียดายที่ครั้งนี้วิญญาณร้ายได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างฉินอวี้โม่ เพราะเปลวเพลิงแข็งแกร่งทรงพลานุภาพดังกล่าว นางมีอยู่ในครอบครองแล้ว เปลวเพลิงของซิวนั้นเป็นเปลวเพลิงที่ทรงพลังอย่างยากจะหยั่งถึง คุณหนูตระกูลฉินเชื่อมั่นว่ามันต้องทำลายวิญญาณที่ว่าเป็นอมตะนี้ได้โดยไร้ปัญหา
‘นายหญิง หากท่านใช้เพลิงของข้าหลอมวิญญาณมังกรตัวนี้ มันจะส่งผลต่อพลังของข้าอย่างมหาศาล ข้าเกรงว่าข้าคงจะต้องเก็บตัวและไม่อาจจะออกมาให้ความช่วยเหลือท่านได้เป็นเวลานาน’
เสียงของซิวดังขึ้น เทพอสูรล่วงรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนและคาดเดาสถานการณ์เอาไว้แล้ว แต่ก่อนหน้านี้เพราะฉินอวี้โม่กำลังตั้งสมาธิอยู่กับการรับมือหลิงซาน มันจึงไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมา
ในเมื่อหลิงซานพ่ายแพ้ไปแล้ว ลำดับต่อไปก็คือการจัดการกับศัตรูที่สำคัญที่สุดก่อน และอุปสรรคชิ้นใหญ่ในการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามก็คือวิญญาณมังกรดึกดำบรรพ์ตัวนี้ อย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน ซิวได้แต่บอกวิธีการในการจัดการรวมทั้งผลกระทบที่จะตามมา …เวลานี้นายหญิงของมันต้องเลือกแล้ว
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ซิวกล่าว ฉินอวี้โม่ก็เกิดความลังเล นางรู้จักซิวดี หากอสูรแห่งโชคชะตาของนางกล่าวเช่นนั้นนั่นก็แสดงว่าการจะทำลายวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์คงจะต้องใช้พลังอย่างมหาศาลเกินกว่าที่นางจินตนาการไว้
‘ซิว การใช้พลังของเจ้ามากขนาดนั้นมันจะส่งผลกระทบอย่างอื่นหรือไม่ ?’
ฉินอวี้โม่ถามกลับ และครั้งนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำตอบของซิว ถ้าเรื่องนี้มีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเทพอสูรนางจะไม่ใช้วิธีนี้โดยเด็ดขาด
‘นายหญิงวางใจได้ เรื่องเพียงเท่านี้ไม่มีผลกระทบกับตัวข้าแม้เพียงเสี้ยว หากเป็นข้าในสมัยก่อน แค่กระดิกนิ้วครั้งเดียวก็จัดการเจ้านั่นให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่พลังของข้ายังไม่กลับมา การจะทำลายมันคงไม่มีวิธีอื่นแล้ว ยิ่งกว่านั้นการเก็บตัวสักระยะถือเป็นประโยชน์ต่อตัวข้าเองไม่น้อยเลยด้วย สิ่งเดียวที่ข้ากังวลคือไม่อาจปกป้องท่านได้สักระยะ’
ซิวกล่าว แม้น้ำเสียงจะสงบราบเรียบ แต่วาจาของมังกรทองผู้เคยยิ่งใหญ่ในอดีตก็มิวายฟังดูคล้ายคุยโม้โอ้อวด
อย่างไรก็ตาม การที่ซิวกล่าวเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าการหลอมวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์จะต้องสร้างประโยชน์ให้กับมันมากมายเป็นแน่ แม้ว่าจะต้องใช้พลังมหาศาลและยังต้องเก็บตัวในสภาวะหลับใหลเป็นเวลานาน แต่ซิวก็รู้ดีว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งพลังของมันจะต้องไม่น้อยกว่า ‘ระดับจ้าวสุริยะ’ และหากเป็นเช่นนั้นมันก็จะปกป้องฉินอวี้โม่ได้ดียิ่งขึ้น
— ปัง ! —
ในขณะที่ฉินอวี้โม่ยังคงลังเลอยู่ มู่อวิ๋นก็ถูกมังกรดึกดำบรรพ์จู่โจมจนกระเด็นออกไปไกล
ในตอนนี้สถานการณ์อยู่ช่วงวิกฤต ความอันตรายเพิ่มขึ้นทุกขณะ การตัดสินใจโดยเร่งด่วนจะเป็นผลดีมากที่สุด อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูรู้ว่านางจะลังเลไม่ได้อีกแล้ว
‘ซิวบอกทีว่าข้าต้องทำอย่างไร ?’
ฉินอวี้โม่สื่อสารกับเทพอสูรทางจิต
‘ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนั้น ท่านแค่รอรับชมก็พอ’
ซิวหัวเราะชั่วร้าย เสี้ยวลมหายใจต่อมาฉินอวี้โม่ก็เห็นบุรุษรูปงามในชุดสีแดงเพลิงปรากฏอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของคนผู้นี้หล่อเหลางดงาม รูปร่างกำยำสมส่วน รอยยิ้มของเขามีเสน่ห์ชวนหลงใหลแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้หวาดหวั่นชวนขนลุกราวกับรอยยิ้มของมารร้าย
“หึ ๆ ๆ รู้สึกตกใจที่เห็นข้าอย่างนั้นหรือ ? จริง ๆ แล้วท่านควรจะรู้สึกเป็นเกียรติจะถูกต้องมากกว่า”
ซิวมองฉินอวี้โม่พลางเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ
ต้องยอมรับว่า รูปลักษณ์ในร่างมนุษย์ของซิวดูงดงามมาก แม้จะแฝงแววชั่วร้ายแต่ก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสูงส่ง ทรงพลัง ความสง่างามของบุรุษชุดสีเพลิงผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าหานโม่ฉือของนางเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลับให้บรรยากาศที่แตกต่างกันมาก หานโม่ฉือดูเย็นชา สงวนท่าที ขณะที่ซิวดูเปิดเผย น่าเกรงขาม สายตากดต่ำราวกับสรรพสิ่งทั้งโลกหล้าต่ำต้อยกว่า มันดูหยิ่งทะนงถึงขีดสุด
เมื่อได้ยินวาจาที่ดูมั่นใจอย่างเหลือล้นของเทพอสูรตรงหน้าในตอนนี้ มุมปากของฉินอวี้โม่ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ที่ผ่านมา นักฆ่าในร่างคุณหนูพอจะสัมผัสได้ว่าซิวเป็นอสูรที่มีนิสัยหยิ่งยโสและมั่นใจในตัวเองมาก แต่ตอนนี้เมื่อนางได้เห็นเขาในรูปร่างมนุษย์จริง ๆ ก็พบว่า แท้จริงแล้ว อย่างซิวเรียกว่า ‘หลงตัวเอง’ เลยก็ยังได้
ฉินอวี้โม่เริ่มเกิดข้อสันนิษฐานในใจว่า ที่มังกรน้อยหานอวี้ของนางชอบวางท่าหยิ่งยโสเกิดจากสายเลือดมังกรอันสูงส่งของมันหรือเป็นเพราะมีมังกรหยิ่งผยองตนนี้คอยเสี้ยมสอนกันแน่ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะสายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์มังกรจึงทำให้พวกมันทั้งสองดูจองหองเช่นนี้// ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดหานอวี้ของนางถึงชอบวางท่าหยิ่งยโส หากไม่ใช่เพราะเป็นไปตามสายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์มังกรอันสูงส่ง ก็คงเพราะมีมังกรรุ่นพี่ที่หยิ่งผยองเช่นนี้คอยเสี้ยมสอนเป็นแน่
ซิวหันไปมองเหล่าจอมยุทธ์ไป๋อวิ๋นที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้า มังกรทองในรูปลักษณ์มนุษย์แสนหยิ่งทะนงไม่กล่าวสิ่งใดอีก ฉับพลันมันก็ปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้ามังกรดึกดำบรรพ์
“เจ้ากิ้งก่าต่ำต้อย เป็นแค่เศษวิญญาณ กล้าดีอย่างไรมาโอหังต่อหน้าข้า คิดจะรังแกนายหญิงของข้ารึ มันจะบังอาจเกินไปแล้ว !”
เสียงอันน่าเกรงขามและทรงพลังของซิวดังก้องขึ้น ขณะนี้เทพอสูรในร่างมนุษย์กำลังยืนจ้องหน้ามังกรดึกดำบรรพ์ด้วยสายตาเหยียดหยาม
มังกรดึกดำบรรพ์ขมวดคิ้ว คราแรกที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและสภาวะพลังจากร่างของซิว วิญญาณมังกรโบราณก็หวาดกลัวจนตัวสั่นโดยไร้สาเหตุ
ทว่าเมื่อได้พิจารณาระดับพลังของคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดแจ้ง มันกลับพบว่าอสูรท่าทางจองหองตนนี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอยู่ดี
“บังอาจนัก ! อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าพ่นวาจาโอหัง เจ้าหาที่ตายแล้ว !”
มังกรดึกดำบรรพ์ตวาดลั่นด้วยความโกรธ ขณะเดียวกันมันก็พยายามสยบความหวาดกลัวที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ
มันไม่เชื่อว่าในดินแดนแห่งนี้จะยังหลงเหลือผู้ใดที่มีพลังเหนือกว่ามันได้
แม้ว่าอสูรร่างมนุษย์ตรงหน้าจะทำให้มันรู้สึกกลัวได้ แต่พลังของอีกฝ่ายก็ยังด้อยกว่ามันอยู่หลายส่วน มันจึงพยายามกดข่มความกลัวเอาไว้
“หึ ๆ กล้าดีนี่เจ้าอสูรต่ำต้อย เจ้าเป็นอสูรตัวแรกที่ขวัญกล้ากล่าวกับข้าว่า ‘หาที่ตาย’ !”
ซิวกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง พร้อมกันนั้นเปลวเพลิงน่าหวาดหวั่นก็ปรากฏขึ้นมาที่ปลายนิ้ว
“มังกรดึกดำบรรพ์ ตัวเจ้าควรจะสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว มังกรที่ชั่วร้ายอย่างเจ้าไม่ควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อก่อกรรมทำชั่วอีก !”
ซิวกล่าวเสียงดังก้อง น้ำเสียงที่ใช้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเองเปลวเพลิงบนปลายนิ้วของเทพอสูรก็พุ่งเข้าใส่มังกรขนาดยักษ์ตรงหน้า
เมื่อมังกรดึกดำบรรพ์สัมผัสได้ถึงพลังจากเปลวเพลิงของซิวความพยายามที่เคยใช้ข่มกลั้นความกลัวก็สูญสลายไปไม่เหลือ ความหวาดหวั่นเกาะกินจิตใจของมันจนหมดสิ้น
ทว่า เมื่อคิดจะหนีก็เป็นเวลาที่สายไปเสียแล้ว ในตอนที่มังกรดึกดำบรรพ์กำลังจะหันหลังกลับก็ถูกเปลวเพลิงร้ายแรงนั้นพุ่งเข้าล้อมเงาร่างใหญ่โตเอาไว้เสียก่อน เวลานี้ไม่มีหนทางให้มันหนีอีกต่อไป
“เป็นไปได้อย่างไร ? เหตุใดเพลิงของเจ้าถึงได้ทรงพลังถึงเพียงนี้ !”
มังกรดึกดำบรรพ์จ้องมองซิวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
วิญญาณมีส่วนผสมของธาตุแห่งความมืดมิด มันพ่ายแพ้ต่อความร้อนแรงและโชติช่วงของไฟ มังกรดึกดำบรรพ์รู้ดีว่าเปลวเพลิงนี้อาจจะเผาผลาญวิญญาณของมันให้สูญสลายไปได้ แม้แต่ในยุคโบราณมันก็ยังไม่เคยพบเจอเปลวเพลิงที่ทรงพลังระดับนี้มาก่อน
“รอให้วิญญาณเจ้าถูกหลอม เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง”
ซิวเหยียดยิ้มแล้วกล่าวตอบสั้น ๆ โดยไม่คิดอธิบาย
“นายหญิง หลังจากถูกข้าหลอม วิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์ตัวนี้จะกลายสภาพเป็น ‘โอสถมังกร’ ท่านเอาโอสถนี้ให้มังกรเกล็ดกิน หลังจากกินเข้าไปแล้วมังกรเกล็ดจะสามารถวัฒนาการกลายเป็นมังกรที่แท้จริงได้โดยสมบูรณ์ อีกทั้งโอสถมังกรยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับมันได้อีกขั้นหนึ่ง ไม่แน่ว่ามังกรเกล็ดอาจเปลี่ยนกลายเป็นมังกรที่มีสายเลือดระดับสูงก็ได้ ต่อไปมันจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของท่าน”
ขณะที่วิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์กำลังถูกแผดเผาอยู่นั้น ซิวก็หันมาบอกข้อมูลสำคัญกับสตรีผู้เป็นนาย
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ นางเข้าใจสิ่งที่ซิวบอก
“ไอ้พวกสารเลว ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีกเรอะ!”
เมื่อรู้สึกว่าวิญญาณของตนกำลังเริ่มหลอมละลายไปทีละน้อย สีหน้ามังกรดึกดำบรรพ์ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สัตว์ร้ายตัวยักษ์ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งให้พวกพ้องผู้มาจากนิกายหงส์มังกรเข้ามาช่วย
ในเวลานี้หลงจื้อและยอดฝีมือจากนิกายหงส์มังกรคนอื่น ๆ กำลังพัวพันอยู่กับการรับมืออวิ๋นเฟิงและจอมยุทธ์จากนครเวหา การต่อสู้ของพวกเขากำลังอยู่ในช่วงสูสี ทว่าเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมังกรดึกดำบรรพ์ พวกเขาก็ชะงักไปทันที
เมื่อหันไปยังจุดที่มังกรดึกดำบรรพ์อยู่หลงจื้อก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่า ขณะนี้ไพ่ตายไร้เทียมทานที่เขาภูมิใจหนักหนากำลังถูกเปลวเพลิงแดงฉานลุกท่วมทั้งร่างจนเห็นร่างของมันเป็นเพียงเงาพร่าเลือนเท่านั้น
ในตอนนี้มังกรดึกดำบรรพ์เริ่มสูญเสียพลังไปเรื่อย ๆ มันไม่สามารถต่อต้านเปลวเพลิงแสนร้อนร้ายของซิวได้เลย
บัดนี้ดวงตาของมันมืดบอดไปจนหมด ส่วนลำตัวเริ่มกลายเป็นโปร่งใส วิญญาณของมันกำลังค่อย ๆ สลายไป
หลงจื้อและคนของเขาต้องการจะเข้าไปช่วย ทว่าอวิ๋นเฟิงที่เห็นสถานการณ์ทางด้านนั้นเช่นกันก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดเอาไว้
เป็นเรื่องปกติที่หลงจื้อรวมถึงผู้มาจากนิกายหงส์มังกรทุกคนจะกระวนกระวาย เพราะถ้าหากวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์ถูกทำลายไป ตัวพวกเขาเองก็จะมีโทษถึงตายหลังกลับไปยังที่ตั้งของนิกายแล้ว นี่ไม่ใช่เพียงโทษทัณฑ์จากความล้มเหลวในภารกิจ แต่ยังรวมถึงโทษที่ทำให้ขุมกำลังสูญเสียไพ่ตายใบสำคัญไปอย่างไม่อาจเรียกคืน
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของพวกเขาก็ยังตึงเครียด เพราะฝ่ายนครเวหาเองก็ไม่ธรรมดาทำให้หลงจื้อและพวกพ้องไม่สามารถผละออกจากจุดนี้แล้วเข้าไปช่วยมังกรดึกดำบรรพ์ได้เลย
“บัดซบที่สุด !”
มังกรดึกดำบรรพ์โกรธจนแทบจะคุมสติไม่อยู่ ทันใดนั้นร่างของมันก็ขยายขนาดขึ้นราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ
“เหอะ ! ต้องการจะหลอมวิญญาณของข้าเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์เรอะ ฝันไปเถอะ ! ถึงข้าจะต้องตายข้าก็จะลาดเจ้าไปด้วย ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เรามาลงนรกไปด้วยกันเถอะ ฮ่า ๆ ๆ”
มังกรดึกดำบรรพ์กำลังจะระเบิดตัวเองและอาศัยผลพวงจากแรงระเบิดนั้นทำลายฝ่ายตรงข้าม สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นมังกรผู้มีสายเลือดอันชั่วร้าย เมื่อถึงเวลาเข้าตาจน มันก็พร้อมจะทำลายล้างทุกอย่างเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ตกตายตามไปด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ซิวเท่านั้นเพราะถ้ามันระเบิดตัวเองจริง ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้ผลกระทบ จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายอย่างนับไม่ถ้วนแน่
“คิดว่าข้าจะให้โอกาสเช่นนั้นกับเจ้ารึ ?! ผู้ใดกันแน่ที่ฝันไป”
ซิวคำรามตอบโต้ ในพริบตาตราผลึกก็ปรากฏบนฝ่ามือของเทพอสูร
“ผนึกมหามายา !”
ม่านพลังขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและตรงเข้าห่อหุ้มร่างกายขนาดยักษ์ที่มีไฟลุกท่วมของมังกรดึกดำบรรพ์เอาไว้ภายใน
“บีบอีด !”
ซิวเปล่งเสียงเย็นชา ก่อนที่ร่างของมังกรดึกดำบรรพ์ที่แต่เดิมกำลังขยายขนาดอย่างรวดเร็วกลับหดย่อลงในชั่วพริบตา
และแม้ว่าจะหดย่อลงมาจนมีขนาดเท่ากับร่างกายเดิมแล้ว แต่ผนึกของซิวก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันยังบีบอัดร่างของเจ้ามังกรต่อไป
“ผนึกมหามายา !”
ซิวเรียกใช้ผลึกพิสดารอีกครั้ง และในครั้งนี้มันจงใจจะเผด็จศึก
มังกรดึกดำบรรพ์ได้แต่จ้องมองซิวด้วยสายตาแตกตื่น บัดนี้ไม่มีความรู้สึกอื่นใดในแววตาของวิญญาณสัตว์ร้ายจากบรรพกาลอีกแล้ว นอกเสียจากความกลัวที่กำเนิดจากจิตใจเบื้องลึก
“เจ้าก็คือ…”
ดูเหมือนว่ามังกรดึกดำบรรพ์จะคาดเดาตัวตนของซิวได้แล้ว มันมองอสูรในร่างมนุษย์ชุดแดงตรงหน้าด้วยสายตาที่ตกตะลึงถึงขีดสุด
“ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาก่อนหน้านี้ มันน่าขำแค่ไหน”
ซิวยิ้มเย้ยหยันวิญญาณมังกรยักษ์
“ไม่ ! ข้ายังไม่อยากจากไป ข้ายังไม่อยาก…”
มังกรดึกดำบรรพ์คำรามอย่างไม่ยินยอม และนั่นคือพลังเฮือกสุดท้ายที่มันมี ยังไม่ที่ประโยคจะจบสิ้นร่างของมันก็สูญสลาย
หลังจากที่ร่างของวิญญาณร้ายสลายไป ณ จุดที่มันเคยอยู่ก็ปรากฏเป็น ลูกแก้วกลมใสเปล่าประกายแวววาวลอยอยู่ในอากาศ นี่มันคือสิ่งที่สกัดจากพลังวิญญาณที่ถูกเผาผลาญและถูกบีบอัดไว้ในรูปทรงกลม มันคือโอสถมังกรที่ซิวพูดถึงก่อนหน้านี้
“ต่อไปนายหญิงคงต้องพึ่งพาพลังของตัวเองแล้ว ตอนนี้ข้าต้องขอพักผ่อนก่อน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าครานี้จะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่หากข้าตื่นขึ้นอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าตอนนั้นท่านคงจะอยู่ในดินแดนอ้างว้างและสร้างชื่อเสียงไว้เรียบร้อยแล้ว !”
ซิวเอ่ยลา ในถ้อยคำนั้นฝากฝังแนวทางบางอย่าง ร่างมนุษย์ของเทพอสูรค่อย ๆ เลือนราง และก่อนที่จะจางหายไปทั้งหมด ฉินอวี้โม่มองเห็นรอยยิ้มและแววตาแห่งความเชื่อมั่นถูกส่งมาจากอสูรคู่ใจ
คุณหนูตระกูลฉินรับรู้ว่าซิวกลับมาอยู่ในห้วงจิตของนาง ทว่านางกลับไม่สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ของมันได้นั่นเพราะมีม่านพลังลึกลับบางอย่างมาป้องกันเอาไว้
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ซิวใช้พลังไปมาก เขาต้องหลับสักระยะ เกราะป้องกันนั่นคือ มิติพิเศษที่เขาสร้างขึ้นมา มันจะช่วยป้องกันสิ่งรบกวนจากภายนอก แม้ว่าท่านจะสัมผัสถึงภายในไม่ได้ แต่มั่นใจเถอะว่าพี่ซิวไม่เป็นอะไร”
หานอวี้บินกลับมาอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ก่อนจะเอ่ยคำปลอบโยน มังกรน้อยไม่อยากให้ท่านแม่ของมันกังวลมากเกินไป
การสร้างม่านพลังพิเศษเพื่อตัดการเชื่อมต่อกับฉินอวี้โม่อย่างสมบูรณ์เป็นสิ่งที่ซิวไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นคุณหนูตระกูลฉินจึงอดกังวลไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับอสูรระดับสูงที่ใช้พลังมากเกินกำจัด พวกมันต้องการเวลาในการพักฟื้นด้วยการหลับใหลซึ่งก็คล้ายกับการจำศีล
ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าซิวจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อใด แต่อย่างน้อย ๆ หากอยู่ภายในมิติพิเศษที่สร้างขึ้นนั้น เทพอสูรก็จะไม่มีอันตราย นอกจากนี้แล้วพลังของมันจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในตอนที่ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วย
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหานอวี้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกโล่งใจไปได้มาก
นางนึกในใจอย่างแน่วแน่ ‘ซิว ข้าจะพยายามแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด ในตอนที่เจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าจะต้องประหลาดใจ’
“ท่านแม่ รีบเรียกมังกรเกล็ดออกมาเพื่อกินโอสถมังกรเร็วเข้าเถอะ มิฉะนั้นพลังของมันจะค่อย ๆ สลายไปและผลลัพธ์จะไม่ดีเหมือนเดิมนะ”
หานอวี้หันไปมองโอสถมังกรที่ลอยขว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร้องเตือนฉินอวี้โม่อย่างร้อนรน
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเรียกหลิวหยาที่กำลังต่อสู้อยู่อีกจุดหนึ่งกลับมาทันที
สถานการณ์ในตอนนี้ของฝ่ายผู้ปกป้องผู้สืบทอดดูคลี่คลายขึ้นมา หลังจากที่ลั่วเฉินสังหารจ้าวอารามไปแล้ว ทางอารามหวนหลิงก็ตกอยู่ในความโกลาหลจนไม่อาจควบคุมได้
มีคนจำนวนมากที่นับถือและเชื่อมั่นใจตัวลั่วเฉิน ภายใต้คำสั่งของเขาทำให้คนจากอารามเกือบครึ่งหนึ่งหยุดมือจากการต่อสู้ไปแล้ว
.