คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 239 หลังสงคราม
“สหายน้อยอวี้โม่ ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้ว พวกเราก็คงต้องขอตัวก่อน”
อู่ซิงและคนอื่น ๆ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูลของผู้อื่น พวกเขาจึงตัดสินใจเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่เพื่อบอกลา
“ใช่ พวกเราคงต้องรีบกลับขุมกำลังเป็นการด่วนเพื่อรายงานเรื่องราวทั้งหมด”
ขงชิงเองก็เดินเข้ามาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากการต่อสู้ในวันนี้ นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ วิหารทมิฬและนครเวหาก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว วันข้างหน้าไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นขุมกำลังทั้งสามก็ต้องร่วมกันเผชิญหน้า ร่วมมือร่วมใจกันฝ่าฟันให้ผ่านพ้น
“วันนี้ข้าต้องขอขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างสูง หากข้าไปยังดินแดนเทพมายาในอนาคต ข้าสัญญาจะไปเยี่ยมเยือนทุกท่าน รวมถึงเข้าไปคารวะท่านผู้นำทั้งสามอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่เอ่ยคำขอบคุณจากใจจริง บนใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มจริงใจ
“พวกเราจะรอคอยการมาถึงของเจ้านะสหายน้อยอวี้โม่ เอ..แต่ถึงเวลานั้นข้าคิดว่าคงไม่อาจเรียกเจ้าอย่างเอ็นดูแบบนี้ได้อีกแล้ว เพราะในตอนนั้นเจ้าก็คงจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนเทพมายาแล้วเป็นแน่”
อวิ๋นเฟิงกล่าวคำคล้ายหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มกว้าง
เขาไม่สงสัยในพรสวรรค์ของสตรีผู้ถือครองกายเทพมายาตรงหน้า แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่านางจะไปเยือนดินแดนเทพมายาเมื่อใด แต่เขาก็กล้าออกปากทำนายเลยว่า หลังการไปเยือนดินแดนเทพมายาของฉินอวี้โม่เพียงไม่นาน ชื่อเสียงของสหายน้อยผู้นี้จะต้องโด่งดังไปทั่วเป็นแน่แท้
ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ คุณหนูตระกูลฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ ถ้าพวกท่านไม่ว่าอะไร ในตอนที่พวกท่านกลับไปแล้ว ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยหาข่าวคราวของคนสองคนได้หรือไม่ ?”
อู่ซิงและคนอื่น ๆ พยักหน้ารับในทันที “เชิญสหายอวี้โม่พูดมา”
ฉินอวี้โม่รีบกล่าวอย่างไม่ลังเล “คนแรกคือพี่ชายของข้าเอง เขามีนามว่าฉินอี้เฟย ก่อนหน้านี้เขาล่วงหน้าเดินทางไปยังดินแดนเทพมายาด้วยตัวคนเดียว พี่ชายของข้าเป็นผู้หลอมโอสถฝีมือสูงส่ง ข้าคิดว่าการจะสืบหาตัวเขาจากหมู่ผู้หลอมโอสถคงไม่ยากนัก พวกท่านพอจะช่วยสืบหาข่าวของพี่ชายให้ข้าได้หรือไม่ ในตอนที่ข้าไปถึงดินแดนเทพมายาข้าจะไปขอบคุณพวกท่านด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินคำขอร้องของฉินอวี้โม่ อู่ซิงและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่คิดเลยว่าพี่ชายของสหายอวี้โม่จะเป็นผู้หลอมโอสถที่มีพรสวรรค์ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะช่วยตามหาตัวเขาอย่างแน่นอน ถ้าเขาเป็นผู้หลอมโอสถฝีมือสูงจริง ขุมกำลังใหญ่คงจะรีบรับตัวเขาไว้แน่ การจะหาตัวผู้ที่โดดเด่นเช่นนั้นคงไม่ยากนัก ขอสหายอวี้โม่โปรดวางใจ”
อู่ซิงกล่าว เขาตกลงจะตามหาพี่ชายให้ฉินอวี้โม่ทันที เรื่องเพียงเท่านี้ไม่ได้ลำบากหนักหนาสำหรับคนจากวิฬารทมิฬ
ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อฉินอวี้โม่กล้าออกปากว่าพี่ชายของนางเป็นผู้หลอมโอสถฝีมือสูง นั่นแสดงว่าพรสวรรค์ในด้านนี้ของเขาจะต้องไม่ธรรมดา การเป็นผูกไมตรีเป็นสหายกับผู้หลอมโอสถระดับสูงนับเป็นเรื่องที่วิเศษ
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างอย่างยินดีก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนคนที่สองเป็นสตรี นางคือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโบราณ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตระกูลโบราณ’ เหล่ายอดฝีมือจากดินแดนเทพมายาก็ขมวดคิ้วทันที ตระกูลโบราณจัดเป็นขุมกำลังทั้งลึกลับและซ่อนเร้น คนเหล่านี้เต็มไปด้วยปริศนา มีตัวตนอยู่เสมือนไม่มี โดดเด่นแต่ก็กลมกลืนจนไม่อาจระบุตัวบุคคลได้ การจะตามหาข่าวของคนเหล่านี้นับเป็นงานที่ยากแสนยาก
“ฮ่า ๆ ๆ พวกท่านอย่างห่วงไปเลย ข้าทราบดีว่าการจะหาข่าวของตระกูลโบราณไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้ ข้าเพียงหวังว่าหากพวกท่านบังเอิญได้ทราบข่าวอะไรเกี่ยวกับพวกเขา ก็ช่วยเก็บมาบอกกล่าวแก่ข้าที”
หลังจากนั้นคุณหนูตระกูลฉินก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเสี่ยวโร่วอย่างคร่าว ๆ
เมื่อฟังจบอู่ซิงและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าและตอบตกลงจะช่วยนาง
“ว่าแต่สหายอวี้โม่ ถ้าพวกเราบังเอิญไปได้ข่าวเรื่องนี้มาแล้วจะให้พวกเราแจ้งเจ้าด้วยวิธีใด ?”
ขงชิงถามด้วยใบหน้าฉงน
แม้ว่าพวกเขาจะหาข่าวได้ แต่ต้องทำอย่างไรเล่าถึงจะแจ้งให้นางรู้ได้?
“หึ ๆ ๆ เมื่อใดที่ข้าได้ไปดินแดนเทพมายา ข้าจะไปหาพวกท่านเอง เรื่องนี้พวกท่านทั้งสามวางใจได้”
ฉินอวี้โม่รีบกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม เรื่องนี้นางไม่ได้เร่งรีบนัก เรื่องของเสี่ยวโร่วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เวลา แน่นอนว่านักฆ่าในร่างคุณหนูเข้าใจดี ส่วนเรื่องของฉินอี้เฟยขอเพียงรู้ว่าเขาปลอดภัยดีก็เพียงพอแล้ว ด้วยความเฉลียวฉลาดของพี่ชาย นางคิดว่าเขาน่าจะเอาตัวรอดได้
“เช่นนั้นพวกเราจะรอการมาถึงของเจ้า สหายน้อยอวี้โม่”
กล่าวจบ อู่ซิงและคนอื่น ๆ ก็หันหน้ามองกันก่อนจะพยักหน้า พวกเขาไม่กล่าวสิ่งใดอีก พลันรีบเรียกอสูรคู่ใจออกมาก่อนจะใช้พวกมันเป็นพาหนะบินจากไปอย่างรวดเร็ว
การมาเยือนดินแดนหวนหลิงนั้น แต่ละขุมกำลังจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายพิเศษที่ติดตั้งไว้ในสถานที่ลับเฉพาะของตน พวกเขาทุกคนจำเป็นต้องไปที่นั่นแล้วติดต่อกับขุมกำลังฝั่งมาตุภูมิเพื่อขอให้คนทางนั้นเคลื่อนย้ายพวกเขากลับไป นอกเหนือจากนี้ ไม่มีวิธีอื่นที่จะพาพวกเขากลับบ้านได้อีกแล้ว
หลังจากเหล่าตัวแทนขุมกำลังที่ผูกไมตรีเป็นพันธมิตรกับผู้สืบทอดกายเทพมายากลับไปแล้ว เหล่ายอดฝีมือคนอื่นจากดินแดนหนเหนือที่ซึ่งเป็นตัวแทนของขุมกำลังต่าง ๆ ทั้งใหญ่น้อยก็ทยอยแยกย้ายกันกลับบ้านเช่นกัน
ก่อนลาจากคนจากเกาะวายุนิ่งมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาชื่นชมอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด พวกเขาเรียกใช้อสูรมายาของตัวเองและเตรียมตัวเดินทางกลับเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดคิดจะหยุดพวกเขา ทุกคนทราบดีว่าวัตถุประสงค์การมาเยือนที่แห่งนี้ของคนจากดินแดนหนเหนือไม่ใช่เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเวลานี้ปริศนาเรื่องกายเทพมายาถูกคลี่คลายพวกเขาก็ไม่มีเหตุผลใดต้องอยู่ต่อ ที่สำคัญข่าวใหญ่นี้ขุมกำลังของพวกเขาต้องรู้ให้เร็วที่สุด
ฉินอวี้โม่คิดว่า หลังจากนี้นางมีเรื่องต้องทำอีกไม่น้อยเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายรอให้นางสะสางไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบิดาและมารดา เรื่องพี่ชายและเสี่ยวโร่ว เรื่องของหานโม่ฉือและตระกูลลับหาน นอกจากนี้ยังมีเรื่องชาติกำเนิดของซิวที่ยังเป็นเพียงข้อมูลขาดวิ่นคลุมเครือ
เมื่อเห็นว่าท่านตาของตนปลอดภัยทุกประการ ฉินอวี้โม่ก็โล่งใจ ในตอนนี้นางไม่มีเวลาพอจะให้ความสนใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสสามอวี๋จวินเหยา คุณหนูตระกูลฉินและคนอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังที่พัก
หลังจากนั้นไม่นาน อวี๋จวินซานก็กลับมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง ใบหน้าของเขามีร่องรอยความปวดร้าวและโศกเศร้าฉายชัด ผู้ที่ตามเขามาด้านหลังคือเหวินเปียว ทว่าฉินอวี้โม่ไม่เห็นเงาของอวี๋จวินเหยาและอวี๋เฟิง
เหวินเปียวบอกฉินอวี้โม่ว่า อวี๋จวินเหยารวมถึงคนในครอบครัวของเขาถูกเนรเทศออกจากนครเมฆาแล้ว นี่คือการตัดสินใจของจ้าวนครเมฆา จะอย่างไรอวี๋จวินเหยาก็เป็นน้องชายแท้ ๆ อวี๋จวินซานจึงไม่อาจตัดใจใช้วิธีการรุนแรงกับเขาได้
เขาคิดว่าครั้งนี้อวี๋จวินเหยาคงจะได้รับบทเรียนแล้ว และดูจากท่าทางก็คล้ายว่าเขาจะสำนึกได้จริง หลังจากนี้พวกเขาก็คงจะไปตั้งถิ่นฐานใหม่และคงจะไม่กลับมาสร้างปัญหาให้ทางนครเมฆาอีกแน่
ไม่ใช่เพียงแต่ครอบครัวของอวี๋จวินเหยาเท่านั้น แต่ทุกคนที่เลือกฝ่ายเข้ากับฝ่ายผู้อาวุโสสาม ลงมือทรยศจ้าวนคราต่างก็ถูกขับไล่ออกจากนครเมฆาทั้งหมด และนั่นก็เป็นผลให้จำนวนประชากรของนครเมฆาหายไปกว่าครึ่ง
แน่นอนว่า ด้วยความวุ่นวายจากการเมืองภายในและสงครามที่กำเนิดขึ้นอย่างเฉียบพลันในงานเลี้ยง งานชุมนุมเมฆาที่แสนยิ่งใหญ่จึงเป็นอันเลิกราไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
…หลังจากพักผ่อนไม่กี่วัน ทุกคนต่างก็ลงมือทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น…
อารามในตอนนี้ตกอยู่ใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของลั่วเฉิน ผู้นำคนใหม่ได้ปรับความเข้าใจกับทุกขุมกำลัง เขาแสดงความจริงใจโดยประกาศว่ายินดีชดใช้สำหรับเรื่องวุ่นวายที่มีสาเหตุจากอาราม ซึ่งนั่นก็ทำให้ความขัดแย้งสลายไปในพริบตา
หลังจากนั้นไม่นานนัก ในที่สุดลั่วเฉินก็ตัดสินใจสลายขุมกำลัง เขาประกาศตัดขาดความสัมพันธ์กับอารามรุ่งโรจน์แล้วเพิกถอนการมีตัวตนของอารามแห่งหวนหลิงจากโลกหล้า นับแต่นี้ไปจึงไม่มีอารามอีกแล้ว
ทางวิหารทมิฬเองก็ตัดสินใจในเรื่องเช่นนั้น ด้วยมติจากทั้งสองสาขา พวกเขายุบวิหารแห่งความมืดซึ่งเป็นสาขาในดินแดนหวนหลิง ซึ่งเหตุผลก็เพื่อให้ทุกขุมกำลังในดินแดนหวนหลิงสามารถรวมเป็นปึกแผ่นได้
หลังจากนี้จึงไม่มีทั้งนามว่า ‘อาราม’ และ ‘วิหารแห่งความมืด’ ในดินแดนหวนหลิงอีก
ขณะเดียวกันทั้งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและจักรวรรดิชิงเฟิงต่างก็ร่างสัญญาพันธมิตร ในตอนนี้ดินแดนหวนหลิงถือว่าใกล้จะรวมกันเป็นหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว
ทั้งสองจักรวรรดิมีแผนจะสร้างนครที่เป็นศูนย์กลางหรือก็คือนครหลวงแห่งหวนหลิงภายใต้นามเรียกขานว่า ‘นครมายา’ นครศูนย์กลางนี้เป็นเมืองที่จะต้อนรับทุกผู้คนไม่ว่าจะไร้สังกัดหรือมีที่มาจากขุมกำลังใด เป็นเมืองที่ไม่มีการแบ่งแยก เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นหนึ่งแห่งหวนหลิง
ทันทีที่การสร้างนครมายาแล้วเสร็จ จะมีการเลือกสรรจ้าวนครขึ้นมาปกครอง วิธีการเลือกของพวกเขานั้นถือว่าชวนตกตะลึงปนสนเท่ห์สำหรับฉินอวี้โม่อย่างมาก เพราะพวกเขาใช้ระบบที่คล้ายวิธีที่เรียกว่า ‘การเลือกตั้ง’ ในโลกเดิมที่สาวนักฆ่าจากมา พวกเขาจะนับจากคะแนนเสียงของประชากร ผู้ใดมีคะแนนมากที่สุดจะได้รับการสถาปนา โดยจ้าวนครมายานี้ถือเป็นประมุขสูงสุดแห่งดินแดนหวนหลิงผู้ซึ่งจะคอยกำกับดูแลความผาสุกของขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลายอีกทอด
และผู้ที่ได้รับความวางใจให้ดำรงตำแหน่งใหญ่นี้ก็คือฉินอวี้โม่ แม้ว่านครมายาจะยังอยู่ในระหว่างดำเนินการสร้าง แต่ทุกขุมกำลังกลับมีมติเป็นเอกฉันท์ ที่สำคัญไม่มีใครเสนอชื่อผู้อื่นลงรับเลือกตั้งนอกเหนือจากฉินอวี้โม่อีก
แน่นอนว่าคุณหนูตระกูลฉินปฏิเสธทันควัน แต่ทว่าเป็นเพราะถูกทุกคนทั้งขอร้องแกมวิงวอน นางจึงไม่อาจจะปฏิเสธได้ แม้ว่านางจะไม่สนใจในตำแหน่งหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้ แต่ก็จำต้องเป็นไปชั่วคราวก่อน ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าทุกขุมกำลังจะรวมกันได้แต่ก็ถือเป็นช่วงที่เปราะบางมากที่สุดของความสัมพันธ์ด้วย หากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทรงพลังอย่างผู้สืบทอดของเทพมายาเป็นตัวเชื่อมผสานและปิดกั้นทุกรอยร้าว ทุกอย่างก็อาจจะพังทลายไปตั้งแต่เพิ่งเริ่ม
ในตอนนี้ทุกขุมกำลังไม่ว่าใหญ่น้อยต่างก็ยอมจำนนและแสดงความจำนงขอเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาคีหวนหลิง
ในเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน ขุมกำลังเกือบทั้งหมดของดินแดนหวนหลิงก็รวมกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จ นี่คือการรวมตัวกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายพันปีก็ว่าได้
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเป็นจ้าวนครมายา แต่นางก็ไม่ต้องกำกับดูแล หรือบริหารจัดการสิ่งใดเลย เพราะหน้าที่นี้มีอวี๋จวินซานท่านตาของนางเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้ก็ยังมีมู่อวิ๋น จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวย จักรพรรดิแห่งชิงเฟิงผู้เป็นบิดาของปิงเสวียน และผู้นำของขุมกำลังอื่น ๆ คอยช่วยเหลือในด้านนี้อยู่
ในช่วงนี้แม้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินจะดูยุ่งวุ่นวายไปสักเล็กน้อยจากการก่อร่างสร้างนครใหม่ แต่ฉินอวี้โม่กลับมีเวลาที่แสนสงบอันหาได้ยากยิ่ง
หานโม่ฉือเองก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเช่นกัน ช่วงเวลาแสนสงบของมนุษย์น้ำแข็งผู้นี้หาได้ยากแสนยากยิ่งกว่านางเสียอีก ในตอนนี้หานโม่หยวนหวาดกลัวหานโม่ฉือมาก หลังจากได้รับรู้ความจริงทั้งหมด เขาก็ไม่กล้าสร้างเรื่องยุ่งยากให้บุรุษผู้ที่เขาคิดมาตลอดว่าเป็นพี่ชายต่างมารดาผู้นี้อีกเลย
ในตอนนี้ สองหนุ่มสาวจึงใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและอบอุ่นอย่างหาใดเปรียบ
“โม่ฉือ อีกไม่กี่วันข้าจะต้องเตรียมตัวไปที่ดินแดนอ้างว้างแล้ว ตอนนี้เรื่องของท่านแม่แทบจะมืดแปดด้าน ข้าจำเป็นต้องไปพบท่านพ่อก่อนเพื่อถามข่าวและวางแผน”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือเล่นขณะกำลังนั่งอยู่เหนือหลังคาหอคอยที่สูงที่สุดของนครเมฆา
หานโม่ฉือพยักหน้า ถึงสาวน้อยข้างกายจะไม่เอ่ยปาก เขาก็รู้อยู่แล้วว่านางจะทำอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตามครั้งนี้ตัวเขาเองก็ตัดสินใจได้เช่นกัน
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
หานโม่ฉือดึงร่างบางเข้ามาซบอก แขนทั้งสองข้างโอบกอดคนตัวเล็กกว่าไว้แล้วกล่าว น้ำเสียงที่เขาใช้ฟังดูนุ่มนวลละมุนละไม
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ฉินอวี้โม่จ้องมองเจ้าของอกกว้างก่อนจะตอบรับอย่างอ่อนหวาน
นางไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ในเมื่อหานโม่ฉือกล่าวเช่นนั้น นั่นแสดงว่าช่วงนี้เขาไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาทั้งสองก็ยากจะหาเวลาอยู่ด้วยกันได้ ฉินอวี้โม่จึงไม่อยากจะปฏิเสธช่วงเวลาที่พิเศษเช่นนี้
ที่สำคัญขอเพียงมีหานโม่ฉืออยู่ด้วยนางก็รู้สึกอุ่นใจ รู้สึกเสมือนมีที่ให้พักผ่อนเอนกายได้อย่างสนิทใจยามเหนื่อยล้า มีอกที่แข็งแกร่งให้ซบในเวลาที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรหากทั้งเขาและนางมีกันและกันเคียงข้าง ฉินอวี้โม่ก็เชื่อว่าพวกเขาจะผ่านพ้นมันไปได้แน่นอน
“ใครต่อใครต่างก็ยุ่งจนหัวหมุน แต่พวกเจ้าสองคนยังมีเวลาแอบมาพลอดรักกัน แหม ๆ ๆ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
ทันใดนั้น วาจาค่อนแคะที่มากับน้ำเสียงที่มีเพียงเจตนาหยอกล้อก็ดังเข้ามาขัดจังหวะในช่วงเวลาหวานล้ำของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ อย่างไรก็ตามนั่นก็ทำให้ทั้งคู่อดยิ้มออกมาไม่ได้
“จิ้งหง ในเมื่อทุกคนยุ่ง เจ้าก็รีบไปช่วยสิ จะมัวทำตัวเป็น ‘หลอดไฟฟ้า’*** อยู่ทำไม ?”
***หลอดไฟในภาษาจีนเรียกว่า 电灯泡 (เตี้ยนเติงเพ่า) ซึ่งคำว่า电灯泡 นี้ยังสามารถสื่อความหมายอื่นได้อีก นั่นก็คือ ก.ข.ค. หรือ ก้างขวางคอ
ฉินอวี้โม่ดึงหานโม่ฉือลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปหาหลินจิ้งหงที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพลางค่อนขอดกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“หลอดไฟฟ้าคืออะไรกัน ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ หลินจิ้งหงก็หยุดชะงัก ก่อนจะถามด้วยความงุนงง
“ของบางอย่างที่ส่องแสงได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขี้เล่นโดยไม่อธิบายเพิ่ม
หานโม่ฉือได้แต่ยืนยิ้ม เขาพอจะเข้าใจฉินอวี้โม่เพราะเขารู้ดีว่านางไม่ใช่คนของโลกนี้ ฉะนั้นถ้าจะมีคำศัพท์แปลก ๆ บ้างก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด
“ของบางอย่างที่ส่องแสงได้งั้นหรือ นั่นไม่ใช่ไข่มุกราตรีหรือไง ?”
หลินจิ้งหงยังคงมองฉินอวี้โม่และถามด้วยความฉงน
ฉินอวี้โม่หัวเราะออกมาพลางหันไปคว้ามือหานโม่ฉือก่อนจะพาเขาพุ่งหายไปจากสายตาของหลินจิ้งหงที่ยังคงงุนงงอยู่อย่างรวดเร็ว
สองหนุ่มสาวมุ่งตรงไปยังหอประชุมชั่วคราวของเมืองโดยไม่รอช้า ในตอนที่หลินจิ้งหงมาหา ทั้งสองก็รู้ในทันทีว่าคงมีเรื่องบางอย่างที่ทุกคนอยากจะหารือกับ ‘ผู้ปกครองของนครมายา’ จึงให้เขามาตาม
และก็เป็นดังที่คาดไว้ ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของหอประชุมพวกเขาก็เห็นคนจำนวนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
อวี๋จวินซาน มู่อวิ๋น เหวินเปียว ฉินเฟิน ปิงเสวียน หลินซิวหยา เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ อยู่กันอย่างพร้อมหน้า
เมื่อเห็นเก้าอี้ขนาดใหญ่ตรงกลางยังว่างอยู่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หันหน้ามองกัน ก่อนจะเดินไปนั่งในที่ของตัวเอง
หลังจากมีสติรู้ตัว หลินจิ้งหงก็รีบวิ่งตามสหายทั้งสองของเขามาในทันที แท้จริงนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างยังคาใจกับของที่ส่องแสงได้นั้นอยู่ ทว่าเมื่อเห็นคนหลายคนในห้องเขาก็รู้สึกอายหากจะออกปากคำถามนั้นกับฉินอวี้โม่ต่อจึงเดินไปนั่งในที่ของตัวเอง
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มกันเลยนะ”
มู่อวิ๋นแย้มยิ้มพร้อมกล่าวเปิดประเด็น
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ โม่ฉือ วันนี้ที่เรียกพวกเจ้าทั้งสองมาเพราะเราอยากจะหารือเรื่องของการจะไปยังดินแดนหนเหนือ”
อวี๋จวินซานมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ก่อนจะกล่าวเข้าเรื่องในทันที
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักหน้า พวกเขาคาดเดาเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นเครือญาติ หรือไม่ก็สหายสนิทของฉินอวี้โม่ทั้งสิ้น แม้ว่าทุกคนจะไม่เคยออกปากแต่พวกเขาก็คงอยากจะไปดินแดนหนเหนือพร้อมกับนางด้วย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์บอกว่าในป่าต้องห้ามของโรงเรียนเรามีเส้นทางสองสายที่จะนำเราไปยังดินแดนอ้างว้างและดินแดนหนเหนือได้ ข้าคิดว่าพวกเราจะต้องปิดเรื่องสองเส้นทางนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด จะให้คนที่ไม่อาจเชื่อใจได้ ล่วงรู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด”
มู่อวิ๋นกล่าวถึงวิธีการเดินทางไปยังสองดินแดนที่อยู่เบื้องบนเป็นอันดับแรก
ผู้ที่รับฟังอยู่ทั้งหมดพยักหน้า ทุกคนเห็นด้วยกับวาจาของท่านอธิการ
“ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุดในลำดับถัดไปก็คือ เราจะแบ่งคนไปที่ดินแดนอ้างว้างและดินแดนหนเหนืออย่างไรดี ?”
.