คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 259 กลายเป็นคนมีชื่อเสียง
“เป็นวาสนาสำหรับโรงเรี๊ยมของเรายิ่งนักที่จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ให้เกียรติมาเข้าพัก ค่าห้องที่เราเก็บก่อนหน้านี้ พวกเราจะขอคืนให้”
เถ้าแก่กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่งแก่นมายาของอสูรระดับจักรพรรดิที่ฉินอวี้โม่ใช้เพื่อจ่ายเป็นค่าห้องพักคืนให้นาง
ต้องทราบก่อนว่าเงินตราที่ใช้กันในดินแดนแห่งนี้จะแตกต่างจากในดินแดนหวนหลิง
ในดินแดนหวนหลิงนั้น ตัวกลางที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนจะเป็นเหรียญทองและเหรียญเงิน แต่ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้จะใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘ผลึกวิญญาณ’
ผลึกวิญญาณคือไข่มุกที่มีขนาดและรูปร่างคล้ายหยดน้ำ ภายในจะอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณ ของสิ่งนี้สามารถใช้ในการฝึกฝนพลังได้
เมื่อเปรียบเทียบกับเหรียญทองแล้ว ผลึกมายาถือว่าล้ำค่ากว่าหลายเท่า
เมื่อวาน ตอนที่ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวเหยียนเข้ามาที่โรงเตี๊ยม พวกนางไม่ทราบถึงเรื่องนี้และไม่มีผลึกวิญญาณที่ว่าด้วย ดังนั้นจึงขอจ่ายเป็นแก่นมายาแทน
แก่นมายาของอสูรระดับจักรพรรดิ แม้ว่าจะไม่ใช่ของที่หายากในดินแดนอ้างว้างแต่ก็ถือว่าเป็นของที่มีมูลค่าสูง
ความล้ำค่าของแก่นมายาของอสูรระดับจักรพรรดิมีค่ามากพอสำหรับค่าเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแห่งนี้เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน
“อย่าเลย ท่านเก็บเอาไว้เถิด”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะปฏิเสธ ในเมื่อเข้าพักไปแล้วหากจะรับมันคืนคงไม่เหมาะสมนัก
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือเถ้าแก่ ? เหตุใดท่านถึงดูนอบน้อมกับข้าถึงเพียงนั้น แล้วที่เรียกข้าว่าท่านจอมยุทธ์มันเป็นเพราะอะไรกัน ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ เถ้าแก่ก็อึ้งงันไปก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ข้าพนันว่าท่านคงยังไม่ทราบ แต่ข่าววีรกรรมของท่านที่หุบเขาหงส์ร่วงแพร่กระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้ทุกคนในเมืองลั่วหยางต่างก็ทราบว่าท่านคือผู้ที่สังหารลั่วเยาเซียนด้วยตัวคนเดียว และยังเล่นงานจูฉีอัจฉริยะอันดับสี่แห่งทำเนียบรุ่นเยาว์จนต้องหนีอย่างน่าอนาถ ที่สำคัญที่สุด ท่านสามารถทำลายร่างจิตของจูอวิ๋นชางผู้นำแห่งพญายมลงได้”
หลังจากหยุดไปชั่วอึดใจ เถ้าแก่ก็กล่าวต่อ “ตอนนี้ท่านมีชื่ออยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์แล้ว ข้าเกรงว่าอีกไม่นาน ขุมกำลังมากมายคงพยายามมาแย่งชิงตัวท่านแน่”
ตอนนี้เรื่องที่เถ้าแก่เล่ามาได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองแล้ว
ตามข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ ฉินอวี้โม่ได้บุกเดี่ยวเข้าไปถล่มหุบเขาหงส์ร่วงจนราบเป็นหน้ากลอง ไล่ต้อนเหล่าคนชั่วไม่ต่างจากลูกไก่ ระเบิดศึกกับจูอวิ๋นชางจนในที่สุดก็เอาชนะมาได้
และเช้านี้ทำเนียบรุ่นเยาว์ก็มีการเปลี่ยนแปลง โดยชื่อของฉินอวี้โม่ได้ขึ้นมาแทนที่ชื่อของจูฉี
เมื่อได้ยินคำพูดของเถ้าแก่ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปชั่วครู่ นางรีบนำม้วนกระดาษที่หลัวซิงมอบให้ขึ้นมาดู
ในตอนนี้อันดับที่สี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์มีชื่อของนางปรากฏอยู่จริง ๆ ทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้นนางก็อึ้งไป
สงครามที่เกิดขึ้นที่หุบเขาหงส์ร่วงไม่น่าจะมีคนนอกรู้เห็น ทางด้านจูอวิ๋นชางก็คงจะไม่กระจายข่าวเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียหน้าออกไปแน่ ลั่วเสวี่ยเหินเองก็ดูไม่ใช่คนที่จะทำอะไรเช่นนี้ได้เลย เช่นนั้นก็น่าแปลกไม่น้อยที่ข่าวนี้กลับหลุดออกมาได้เร็วถึงเพียงนี้
ที่สำคัญการที่ชื่อของนางไปอยู่ในทำเนียบรุ่นเยาว์ได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
“เถ้าแก่ ขุมกำลังใดทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดอันดับทำเนียบต่าง ๆ อย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่มองเถ้าแก่พลางกล่าวถามด้วยความสงสัย
นางสงสัยในเรื่องนี้มาก การนำชื่อของนางมาใส่บนทำเนียบในเวลาอันสั้นได้นั้น ขุมกำลังที่ทำหน้าที่นี้คงจะมีเครื่อข่ายที่กว้างขวางจนน่ากลัว
“เอกพิภพ”
เถ้าแก่กล่าวตอบโดยไม่ปกปิด
เอกพิภพ?
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเบา ๆ เรื่องของเอกพิภพนางพอจะเคยได้ยินมาบ้าง
เอกพิภพคือหนึ่งในขุมกลังที่ลึกลับที่สุดในดินแดนนี้
แม้ว่าขุมกำลังนี้จะไม่ได้เป็นขุมกำลังที่มีชื่อเสียงหรือมีกำลังรบมากมายนัก แต่ก็เป็นขุมกำลังที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน
ว่ากันว่าผู้นำแห่งขุมกำลังเอกพิภพเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก มีข่าวลือว่าเขาเข้าใกล้ขอบเขตเซียนแล้ว ผู้ที่ใกล้จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นราชันในหมู่ยอดฝีมือของดินแดนอ้างว้างเลยก็ว่าได้
ดังนั้นแล้วจึงมีน้อยขุมกำลังนักที่กล้ามีเรื่องกับเอกพิภพหรือทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ
ฉินอวี้โม่เริ่มอยากจะรู้เรื่องราวของขุมกำลังเอกพิภพนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว สักวันนางจะต้องหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้
“ขอบคุณเถ้าแก่มาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณเถ้าแก่ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างเงียบ ๆ
ในตอนนี้นางขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สี่แห่งทำเนียบรุ่นเยาว์ ส่วนเรื่องสงครามระหว่างนางกับหุบเขาหงส์ร่วงคนก็รับรู้กันทั่วแล้ว สำหรับนาง นี่ถือเป็นเรื่องดีแต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้าง
ข้อดีก็คือเรื่องนี้จะทำให้หานโม่ฉือได้ยินข่าวของนางและตามหานางพบง่ายขึ้น
แต่ข้อเสียก็คือเรื่องนี้อาจจะนำพาปัญหามาให้นางได้
ถ้าเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป จูอวิ๋นชางก็จะยิ่งเสียหน้ามาก อีกไม่นานขุมกำลังพญายมคงจะบุกมาเอาเรื่องนางอย่างแน่นอน
หรือบางทีอาจจะมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องเลยแต่อยากจะเข้ามาหาเรื่องเพราะต้องการทดสอบพลังของนางก็เป็นได้
หลังจากครุ่นคิดในเรื่องนี้แล้ว ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจจะปกปิดตัวตนเพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ นางจะทำภารกิจที่ตั้งใจไว้ได้อย่างยากลำบาก
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งเพื่ออำพรางรูปโฉมภายนอกเสียหน่อย
หลังจากผ่านไปหลายเฟิน บุรุษร่างบางสวมชุดสีขาวรัดกุมพร้อมด้วยหน้ากากสีเงินที่อำพรางใบหน้าก็เดินออกมาจากร้าน
บุรุษผู้นี้ก็คือฉินอวี้โม่ที่ปลอมเป็นชายนั่นเอง
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากระหว่างการเดินทางในช่วงนี้ นางจึงตัดสินใจอำพรางรูปโฉม เพราะหากแต่งกายเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดจำนางได้อย่างแน่นอน
อย่างไรคนในดินแดนนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่รู้จักหรือคุ้นเคยกับนาง แม้ว่าจะเคยได้ยินชื่อหรือเคยฟังลักษณะรูปร่างหน้าตาตามข่าวลือ แต่คงยากจะมองออกถ้าเห็นนางในตอนนี้
หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เรียกเสี่ยวเฮยออกมา หนึ่งคนหนึ่งอสูรทะยานออกไปจากเมืองลั่วหยางและมุ่งไปทางทิศบูรพาอย่างรวดเร็ว
…
ในป่าแห่งหนึ่ง
ทันทีที่หานโม่ฉือเห็นการเปลี่ยนแปลงในรายชื่อของทำเนียบรุ่นเยาว์ รอยยิ้มก็ปรากฏที่มุมปากของเขา
สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นโม่เอ๋อร์ของเขา เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน นางก็สร้างชื่อจนติดในทำเนียบจนได้
“นายท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าด้วยนิสัยของคุณหนู ไม่นานเราคงได้ยินข่าวของนางแน่ ฮิ ๆ”
กิเลนอัคคีกล่าวด้วยใบหน้าภาคภูมิ การคาดการณ์ของมันไม่ผิดเลยสักนิด
หานโม่ฉือเพียงยิ้มตอบเท่านั้นก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป บุรุษในชุดขาวพร้อมด้วยอสูรมายาคู่ใจพุ่งทะยานไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อหาข่าวคราวของฉินอวี้โม่ทันที
……
ณ ฐานที่มั่นของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายฉินอี้เฟยกำลังนั่งดื่มชาพลางเปิดตำราอ่านอย่างสงบ
“คารวะท่านผู้นำ”
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มชุดดำอายุราว ๆ ยี่สิบก็เดินเข้ามา
“จ้านเอ๋อร์ เจ้าออกจากการเก็บตัวแล้วอย่างนั้นรึ ?”
ชายวัยกลางคนฉีกยิ้มกว้างพลางกล่าวอย่างเอ็นดูพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเบาะรองนั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ก็คือผู้นำแห่งกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ บิดาของฉินอวี้โม่ — ฉินเทียน
ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งนั่งลงก็คือลูกศิษย์ของฉินเทียนและยังเป็นบุตรบุญธรรมที่เขารับมาเลี้ยง มีนามว่า — ฉินจ้าน
ฉินจ้านคือเด็กที่มีพรสวรรค์สูง เขามีชื่อติดอยู่ในอันดับที่สามของทำเนียบรุ่นเยาว์ ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์จ้าวพิภพที่เชี่ยวชาญด้านการใช้กระบี่และศาสตราวุธแทบจะทุกรูปแบบ เขาถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้
“ท่านผู้นำ การเก็บตัวครั้งนี้ทำให้รากฐานพลังในขอบเขตจ้าวพิภพของข้ามั่นคงขึ้นมาก”
ฉินจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มปีติยินดี เวลาที่เขายิ้มจะมีลักยิ้มทั้งสองข้างเผยให้เห็นอย่างเด่นชัด
“เจ้าก้าวหน้าก็ดีแล้ว ในงานชุมนุมที่กำลังจะมาถึง ข้าหวังว่าเจ้าจะแสดงศักยภาพของตัวเองออกมา”
ฉินเทียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในเมื่อบุตรบุญธรรมก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่างเขาย่อมภูมิใจเป็นธรรมดา
“ขอบคุณท่านผู้นำที่ชมเชย ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ฉินจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
“หึ ๆ ๆ แม้ว่าจะก้าวหน้าแล้วก็อย่าเพิ่งมั่นใจจนเกินไป เจ้าต้องหมั่นฝึกฝนอย่าหยุดเป็นอันขาด ขอบเขตจ้าวพิภพถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพขั้นกลางเท่านั้น อีกสองคนในทำเนียบรุ่นเยาว์เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้า เจ้าจะประมาทไม่ได้”
ฉินเทียนกล่าวย้ำเตือนฉินจ้านเพื่อไม่ให้เขาได้ใจจนเกินไป
“คู่ต่อสู้ที่ต้องระวังก็คือเฟิงอู๋ชางที่อยู่อันดับหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันสมบูรณ์แบบ วิชาการโจมตีเฉียบขาด เหวินซื่อชู่ที่อยู่ในอันสองก็มีทักษะที่ลึกลับยากจะหยั่งถึง หากไม่ระวังให้ดีอาจถูกคนผู้นี้เผด็จศึกได้ในชั่วอึดใจ ส่วนคนที่อยู่ในอันดับที่สี่…”
เมื่อเลื่อนมาถึงรายชื่อในอันดับที่สี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ ฉินเทียนก็หยุดชะงักไป
ฉินจ้านที่กำลังฟังฉินเทียนวิเคราห์อยู่ทันใดนั้นก็เห็นบิดาของตนเองแข็งค้างไป เขาจึงอดถามออกไปด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“ผู้ที่อยู่ในอันดับสี่ไม่ใช่จูฉีอย่างนั้นหรือขอรับ ? ฝีมือของเขาก็ทั่ว ๆ ไป ข้าไม่คิดว่าจำเป็นต้องระวังคนผู้นี้”
ฉินจ้านจดจำรายชื่อของผู้ที่ติดหนึ่งในสิบได้เป็นอย่างดี ผู้ที่อยู่ในอันดับสี่ก็คือจูฉีบุตรชายของจูอวิ๋นชางแห่งขุมกำลังพญายม
ที่จูฉีขึ้นมาอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบได้ก็เป็นเพราะอิทธิพลที่สนับสนุนเขาอยู่ บิดาของเขาคงใช้เส้นสายช่วยจนเขาได้อันดับนี้มาครอง ส่วนในด้านฝีมือนั้นเขายังด้อยกว่าทุกคนในห้าอันดับแรกอยู่มาก
“ฉินอวี้โม่… คงไม่ใช่เสี่ยวโม่เอ๋อร์หรอก… คงไม่…”
ฉินเทียนพึมพำออกมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความสงสัยและความไม่อยากเชื่อ
“ฉินอวี้โม่อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินจ้านประหลาดใจอีกครั้ง เขาคลานเข้าไปใกล้บิดาและดูอันดับในทำเนียบรุ่นเยาว์ก่อนจะพบว่าตอนนี้อันดับที่สี่ไม่ใช่จูฉีอีกต่อไปแต่เป็นสตรีนามว่าฉินอวี้โม่ซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะเข้ามามีชื่อติดในทำเนียบเป็นครั้งแรก
เมื่อเห็นชื่อของฉินอวี้โม่ ฉินจ้านก็รู้สึกคุ้น ๆ หลังจากลองนึกดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นความประหลาดใจก็ฉายอยู่บนใบหน้าของเขา
“ท่านผู้นำ หากข้าจำไม่ผิด ธิดาของท่านที่อยู่ในดินแดนหวนหลิงมีนามว่าฉินอวี้โม่มิใช่หรือขอรับ ?”
ฉินจ้านจำได้ว่าฉินเทียนเคยเอ่ยถึงชื่อนี้ให้เขาฟังและยังเล่าว่าตัวเองมีบุตรชายและบุตรสาวอยู่ในดินแดนหวนหลิง บุตรชายมีนามว่าฉินอี้เฟย ส่วนบุตรสาวมีนามว่าฉินอวี้โม่
เมื่อได้ยินคำถามของฉินจ้าน ฉินเทียนที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ก็ดึงสติกลับมาได้
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนนี้เสี่ยวโม่เอ๋อร์น่าจะอายุสิบแปดปี แม้ว่าพรสวรรค์ของนางจะสูงส่งอย่างไรแต่คงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กอายุสิบแปดจากดินแดนหวนหลิงจะมีชื่อติดทำเนียบเช่นนี้ หรือบางทีอาจจะมีคนที่ชื่อแซ่เหมือนนาง ?”
ฉินจ้านกล่าวถึงข้อสันนิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดออกไป
แม้เขาจะเชื่อว่าฉินอวี้โม่คงมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่นางก็เพิ่งอายุสิบแปด ต้องทราบก่อนว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในดินแดนหวนหลิงล้วนด้อยกว่าจอมยุทธ์ในดินแดนอ้างว้าง เมื่อนำทั้งสองอย่างมารวมกัน โอกาสที่นางจะมีชื่อติดในทำเนียบได้นั้นแทบไม่มีเหลือเลย แล้วถ้าเกิดเป็นฉินอวี้โม่จริง ๆ เหตุใดถึงไม่มาพบฉินเทียนแต่กลับไปสร้างชื่อจนมีชื่อในทำเนียบแทน ?
เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรบุญธรรม ฉินเทียนก็อดส่ายศีรษะไม่ได้
“ข้ารู้สึกว่านางคือเสี่ยวโม่เอ๋อร์จริง ๆ นางคือบุตรสาวของข้าไม่ผิดแน่”
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ฉินเทียนกลับมั่นใจมากว่าต้องเป็นฉินอวี้โม่บุตรีของเขาไม่ผิดแน่ เขาเชื่อว่านางมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้นางคงสืบเบาะแสจนตามมาถึงดินแดนอ้างว้างแล้วแน่ ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายของบิดาอย่างเขา
“ข้าจะไปพบนาง”
เมื่อนึกถึงใบหน้าของบุตรสาวที่ไม่ได้พบหน้ามานานมากกว่าสิบปี ฉินเทียนก็อดเป็นกังวลระคนตื่นเต้นไม่ได้ เขารีบร้อนลุกขึ้นและเตรียมจะออกไปตามหาฉินอวี้โม่
ไม่ว่าบุตรสาวของเขาจะอยู่ที่ใด เขาก็จะไปหานางด้วยตัวเอง
“ขอท่านผู้นำโปรดเย็นลงก่อนนะขอรับ พวกเรายังไม่รู้แน่ว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์อยู่ที่แห่งใด ตอนนี้กลุ่มเสื้อคลุมทมิฬของเรายังมีรากฐานที่เปราะบาง มีหลายขุมกำลังจับตามองพวกเราอยู่ทุกฝีก้าว ข้าว่าเราควรส่งคนไปสืบข่าวก่อนจะดีกว่า ไว้ได้ข่าวที่แน่ชัดแล้ว เราค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
ฉินจ้านกล่าวทัดทานเพื่อหยุดบิดาที่กำลังสูญเสียความสุขุมที่เคยมีเอาไว้
.