คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 264 ความแค้น
บุรุษในชุดขาวที่สวมหน้ากากสีทองอำพรางใบหน้าปรากฏตัวขึ้น ผมถูกมัดไว้หลวม ๆ แล้วปล่อยไปด้านหลัง การแต่งงานดูเป็นผู้ดีมาชาติตระกูล กลิ่นอายสูงศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ไม่ว่าจะไปใครก็จับจ้องเขาเป็นตาเดียว
“เป็นคนผู้นี้ไม่ผิดแน่”
ซูเสี่ยวจวิ้นพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้น ภายในดวงตามีรูปหัวใจปรากฏ แม้ว่ามองไม่เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากของฉินอวี้โม่ แต่นางก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นหนุ่มรูปงามอย่างแน่นอน
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ผงะไป บรรยากาศและกลิ่นอายที่ดูมีเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเรา?”
จูตี๋จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอาฆาต พลางตะคอกใส่อย่างดุดัน
ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่ วันนี้พวกเขาก็คงจะจัดการสั่งสอนฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ไปได้แล้ว
“เมื่อเห็นพวกเศษสวะรังแกผู้อื่น ไฉนเลยบุรุษผู้มีใจรักคุณธรรมอย่างข้าจะเพิกเฉยโดยไม่เข้าช่วยได้เล่า เจ้าโง่”
ฉินอวี้โม่กล่าวโต้ตอบไปด้วยรอยยิ้มเย้ย ประโยคนี้คงจะทำให้อีกฝ่ายสะอึกเป็นแน่
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ทุกคนที่ดูอยู่ก็อดหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ น่าสนใจยิ่งนัก บุรุษผู้นี้น่าสนใจเกินไปแล้ว
พรวด!
“ฮ่า ๆ ๆ…”
แม้แต่ซูเสี่ยวจวิ้นยังหลุดหัวเราะออกมา จะเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่
“พี่ชายท่านนี้ ข้าขอขอบคุณท่านมาก”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่ชื่นชม นางเองก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ของแผ่นดิน ฉะนั้นแล้วนางจึงมีความรู้กว้างขวาง เพียงแค่เห็นฉินอวี้โม่ก็พอจะรู้ว่าจอมยุทธ์ลึกลับผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่
แม้ว่าจะสัมผัสถึงพลังของฉินอวี้โม่ไม่ได้ว่าอยู่ในระดับ หรือแม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่นางก็มั่นใจว่าอายุของอีกฝ่ายคงไม่แก่กว่านางมากนัก
“แม่นางน้อยไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เมื่อเห็นสาวงามที่น่ารักอย่างแม่นางถูกรังแก บุรุษอย่างข้าคงยากจะนิ่งดูดายได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
เมื่อได้ยินที่พี่ชายตรงหน้าพูด ซูเสี่ยวจวิ้นก็หน้าแดงดั่งลูกพุทราสุก ตัวนางในตอนที่เขินอายก็ยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก
“น้ำใจของท่านจอมยุทธ์วันนี้ พวกเรากลุ่มราชาสวรรค์จะขอจดจำเอาไว้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเดินเข้ามา ก่อนจะประกบกำปั้นกับฝ่ามือพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแทนการขอบคุณ
“มิได้ จริง ๆ แล้วแค่ข้าเห็นเจ้าพวกสวะพวกนั้นแล้วรู้สึกรกหูรกตาแล้วเข้าไปสั่งสอน ไม่ได้คิดว่าเป็นบุญคุณอะไรกับพวกท่านหรอก”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ แม้ว่าวันนี้ผู้ที่มีเรื่องกับอีกฝ่ายจะไม่ใช่กลุ่มราชาสวรรค์ แต่ด้วยความบาดหมางระหว่างนางกับพญายมก็มาพอจะทำให้ฉินอวี้โม่ลงมือได้แล้ว ขอเพียงทำให้พวกพญายมเจ็บช้ำได้ นางก็จะลงมืออย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินวาจาที่กล่าวด้วยท่าทีที่สงบของฉินอวี้โม่ก็มั่นใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้แค่เสแสร้งแน่ ทำให้ฉีอวิ๋นเหล่ยอดยิ้มออกมาอีกครั้งไม่ได้ เขาเองก็เริ่มจะชื่นชอบจอมยุทธ์ลึกลับผู้นี้ขึ้นมาแล้ว
“เหอะ แม้ว่าจะพอมีฝีมือแต่ก็อย่าทำเป็นอวดดีนัก รู้ว่านี่เป็นเรื่องของตระกูลเฟิงแล้วยังกล้ายื่นมาเข้ามาสอด เจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นศัตรูกับพวกเราอย่างนั้นรึ?!”
เฟิงอู๋กล่าวอย่างเย็นชา การปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ทำให้ตัวเขาดูหม่นหมองลงไปถนัดตา เรื่องนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่ยังเล่นงานคนของเขาหลายคนยิ่งทำให้เขาโกรธขึ้นไปอีก
“ก็แค่ตระกูลเฟิง ทำไมข้าจะต้องกล่าวด้วยเล่า”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม นางไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้นางอยากจะพูดอะไรก็พูดได้เต็มที่ คนพวกนี้ไม่รู้ตัวจริงของนาง แต่จริง ๆ ถึงจะรู้ว่านางคือฉินอวี้โม่ อดีตมือสังหารจากศตวรรษที่ 21 ก็ไม่กลัวอยู่ดี
“ถูกต้อง ก็แค่ตระกูลเฟิงเท่านั้น ไม่จำเป็นที่พวกเราจะต้องกลัวเจ้า”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าววาจาสนับสนุนก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่ชื่นชม
“เฟิงอู๋ เจ้าเป็นแค่จิ้งจอกอย่าแสร้งทำตัวเป็นเสือเลยจะดีกว่า ถึงตระกูลเฟิงจะเป็นตระกูลลึกลับที่มีรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่พวกเราไร้คู่เปรียบก็ไม่เคยกลัวใคร รู้เอาไว้เสียด้วย”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวขึ้นมาอีก
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเฟิงอู๋ก็ปั้นยาก เขากัดฟันแน่นด้วยความโกรธ
แต่คุณชายตระกูลเฟิงก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ในพริบตาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฮ่า ๆ ๆ เฟิงอู๋ ตอนนี้เจ้ายังจะให้พวกเราขอขมาอยู่อีกหรือไม่?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ยถาม เจตนาคือตั้งใจจะประชดประชันเฟิงอู๋และจูตี๋
เฟิงอู๋และจูตี๋หันมามองหน้ากัน ตอนนี้สถานการณ์ไม่เป็นใจให้พวกเขา ความต่างชั้นของพลังระหว่างทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้เคียงกันแล้ว เมื่อรวมกับบุรุษสวมหน้ากาก โอกาสที่ถ้าสู้ต่อแล้วพวกเจ้าเป็นฝ่ายชนะแทบจะไม่มีเลย
“ไปกันเถอะ วันนี้ข้าจะขอฝากความแค้นเอาไว้ก่อน ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ แน่”
เฟิงอู๋กล่าววาจาเย็นชา ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนจากตระกูลเฟิง เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้านาย คนของตระกูลเฟิงก็รีบช่วยกันช่วยเหลือผู้ที่บาดเจ็บและออกไปจากที่นี่ทันที
“เฟิงอู๋รอข้าด้วย พวกเราเป็นพันธมิตรกันนะ”
เมื่อเห็นเฟิงอู๋ชิงเดินกลับออกไปก่อน จูตี๋ก็ไม่กล้าจะอยู่ต่ออีก เขาหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาต ก่อนจะรีบวิ่งตามคนของตระกูลเฟิงไป
“ฮ่า ๆ ๆ …”
เมื่อเห็นสองขุมกำลังนั้นหนีกลับไป ฉีอวิ๋นเหล่ยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ข้าต้องขอขอบคุณท่านจอมยุทธ์จริง ๆ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยหันมากล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยความเคารพ
ถ้าครั้งนี้ฉินอวี้โม่ไม่ลงมือ ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะต้องเสียหายหนัก อาจจะถึงขั้นถูกฆ่าทิ้งที่นี่เลยก็ได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกขอบเขตฉินอวี้โม่จากใจ
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณหรอก ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะหันหลังกลับ นางเตรียมจะไปจากที่นี่
“ท่านจอมยุทธ์โปรดรอเดี๋ยวก่อน”
ฉีอวิ๋นเหล่ยรีบกล่าวเพื่อหยุดนางเอาไว้
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของคุณชายฉี ฉินอวี้โม่ก็หยุดทันที
“ครั้งนี้พวกเรามาที่ป่ารัตติกาลก็เพราะมาหาของล้ำค่าอย่างหนึ่ง ข้าไม่ทราบว่าท่านจะสนใจเข้าร่วมกับพวกหรือไม่ ถ้าได้ของสิ่งนั้นมา ถ้าต้องการพวกเราก็จะมอบให้ท่าน”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวถึงจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ออกไปโดยไม่ปกปิด
คนอื่น ๆ ที่อยู่รวม เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีเรื่องสนุกอะไรให้ดูแล้วก็แยกย้ายกันกลับ
ไม่นานนักบริเวณนี้ก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่ กลุ่มราชาสวรรค์และกลุ่มไร้คู่เปรียบเท่านั้น
“โอ้ ไม่ทราบว่าของสิ่งนั้นคืออะไรรึ?”
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่แอบได้ยินที่พวกเขาพูดกันแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีหลายขุมกำลังมาที่นี่เพื่อตามหาของสิ่งหนึ่ง
ดังนั้นแล้วนางจึงอยากจะรู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะขอบอกตามตรงโดยไม่ปิดบัง ในป่าแห่งนี้มีผลไม้หายากที่เรียกว่าผลจินหยินอยู่ ครั้งนี้ที่พวกเรามาก็เพื่อผลจินหยิน”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟังด้วยรอยยิ้ม
“ผลจินหยิน? มันคืออะไรอย่างนั้นรึ?”
ฉินอวี้โม่รีบค้นหาดูในความทรงจำทั้งหมด แต่ก็ไม่มีข้อมูลของผลจินหยินที่ว่านั่นเลย นางจึงถามออกไปเช่นนั้น
“ท่านไม่รู้หรือว่าผลจินหยินสามารถเพิ่มโอกาสให้จอมยุทธ์ระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพได้มากขึ้น ยิ่งกว่านั้นถ้าผู้ที่ใช้เป็นจอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพอยู่แล้วก็จะยิ่งเสริมสร้างให้รากฐานมั่งคงยิ่งขึ้นได้”
เมื่อได้ยินคุณประโยชน์ของผลจินหยิน ฉินอวี้โม่ก็อึ้งไปในทันที
ความห่างชั้นกันระหว่างจักรพรรดิทูตสวรรค์กับจ้าวพิภพนั้น แม้ว่าจะต่างแค่ขั้นเดียวแต่พลังก็ห่างกันอย่างมหาศาล ดังนั้นคงมีคนมากมายต้องการผลไม้วิเศษนี้เป็นแน่
ยิ่งกว่านั้นผลจินหยินนี้ยังสามารถช่วยเสริมสร้างรากฐานให้กับขอบเขตจ้าวพิภพได้อีกด้วย ต้องทราบก่อนว่าขอบเขตจ้าวพิภพนั้นเป็นขอบเขตที่สำคัญและเป็นรากฐานสำหรับการเป็นเซียนในขั้นต่อ ๆ ไป การทำให้ขอบเขตนี้มีรากฐานที่มั่นคงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ในเมื่อมีของวิเศษถึงเพียงนี้อยู่ตรงหน้า อย่างฉินอวี้โม่ไม่มีทางปล่อยมันไปเฉย ๆ แน่
“หึ ๆ ตอนนี้ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่พอดี ถ้าไม่รังเกียจข้าอยากจะตามพวกท่านไปดูผลจินหยินเสียหน่อย”
นางหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ว่าถ้าเกิดมีผลจินหยินมากกว่าหนึ่งผล ข้าอยากจะนำสิ่งมีค่าขอแลกกับมัน แต่ถ้ามีแค่ผลเดียว ข้าจะขอดูเพื่อความสนุกเฉย ๆ และจะไม่เข้าไปแย่งชิงกับพวกท่าน”
เมื่อได้ยินที่นางพูด ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่น ๆ ก็ยิ่งชื่นชอบจอมยุทธ์ผู้นี้มากขึ้น
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
ฉีอวิ๋นเหล่ยตอบด้วยรอยยิ้ม เขาหันหน้าไปมองเหวินซื่อชู่ ภายในใจเหมือนจะตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว
“เอ่อคือว่า พวกข้าไม่รู้ว่าจะเรียกอ่านว่าอะไรดี”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มออกมาอีกครั้ง และถามชื่อของฉินอวี้โม่
“อวี๋โม่”
ฉินอวี้โม่ตอบด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่านางไม่มีทางบอกชื่อจริงของตัวเองออกไปแน่
“อวี๋โม่?”
เมื่อได้ยินชื่อของนาง ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ชะงักไป เหมือนจะครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะมองฉินอวี้โม่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักพี่อวี๋โม่”
ซูเสี่ยวจวิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจับแขนของฉินอวี้โม่อย่างสิบสนม
ฉินอวี้โม่เองก็ไม่ได้คิดจะไล่นางออกไปและปล่อยให้นางจับได้ตามใจชอบ
สาวน้อยที่สดใสน่ารักผู้นี้ทำให้นางนึกถึงฉีฉีที่อยู่ในดินแดนหวนหลิงที่นางจากมา สองคนนี้ดูมีนิสัยที่คล้าย ๆ กันอยู่
“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีที่ได้รู้จักจอมยุทธ์อวี๋โม่ ชื่อของข้าคือฉีอวิ๋นเหล่ย ส่วนคนนี้คือเหวินซื่อชู่ ส่วนสาวน้อยผู้นี้คือซูเสี่ยวจวิ้น”
แม้ว่าจะรู้ว่าฉินอวี้โม่คงรู้ชื่อพวกเขาหมดแล้ว แต่ก็ยังคงแนะนำตัวเองออกไปตามมารยาท
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมยิ้มให้พวกเขา และไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
หลังจากพูดคุยรวมถึงแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ก็พาคนของตัวเองมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งอย่างช้า ๆ
ขณะกำลังเดิน ซูเสี่ยวจวิ้นก็ชวนฉินอวี้โม่คุยเกี่ยวกับเรื่องผลจินหยินอย่างกระตือรือร้น
ข่าวเรื่องผลจินหยินนี้ขุมกำลังของพวกเขาเป็นคนได้รับมาเอง
ผลจินหยินเป็นผลไม้ที่หายากมาก มันต้องใช้เวลาถึงหนึ่งร้อยปีกว่าที่จะสุกอย่างสมบูรณ์ เมื่อร้อยปีก่อนมีคนจากขุมกำลังของพวกเขาบังเอิญมาพบมันในป่าแห่งในในสภาพที่เพิ่งจะออกผลพอดี ดังนั้นแล้วคาดว่าคงใช้เวลาอีกไม่นานมันก็คงจะสุกจนพูดเด็ดออกมา
เมื่อใกล้ครบเวลาตามที่คำนวณเอาไว้ พวกเขาก็รีบออกมาเพื่อจะเก็บผลไม้วิเศษนี้ให้ได้ก่อนใคร
“นอกจากพวกท่านแล้วดูเหมือนว่าขุมกำลังอื่นก็พอจะทราบข่าวนี้เหมือนกัน ผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีมากน้อยแค่ไหน ?”
หลังจากได้ที่ฟัง ฉินอวี้โม่ก็มีข้อสงสัยและแอบหลังว่าครั้งนี้กลุ่มเสื้อคลุมทมิฬอาจจะมาด้วยก็ได้
“นอกจากเราแล้วคงมีขุมกำลังอื่น ๆ ได้ข้อมูลนี้มาเช่นกัน แต่ข้าคิดว่าขุมกำลังอันดับหนึ่งคงไม่มา ส่วนกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬช่วงนี้เหมือนจะมีเรื่องต้องทำหลายแม้ว่าจะสนใจผลจินหยินแต่คงไม่น่าจะส่งคนมา ส่วนขุมกำลังอื่น ๆ น่าจะให้ความสำคัญการเตรียมตัวเข้าร่วมงานชุมนุมวายุเมฆา ข้าจึงคิดว่าคงมีคนมาไม่มากนัก”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ฉีอวิ๋นเหล่ยก็กล่าวต่อ “จริงแล้วที่เรามาก็เพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น ไม่ได้คิดจะแย่งชิงจนถึงขั้นถวายชีวิต หากครั้งนี้พลาดไปก็ไม่ได้เสียดาย”
หลังจากได้ฟังฉีอวิ๋นเหล่ยพูด ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า นางพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว