คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 277 แม่นางฉุ่ยเยว่
“ฮิฮิ ไม่ทราบว่าคุณชายท่านใดตอบโคลงคู่ของข้ารึเจ้าคะ ?”
ฉุ่ยเยว่เดินนวยนาดเข้ามาในห้องด้วยท่าทางทรงเสน่ห์ชวนมองพร้อมรอยยิ้มหวานหยดประดับบนใบหน้า เรือนร่างของนางสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและทุกส่วนบนใบหน้าเนียนละเอียดนั้นงดงามยิ่งกว่า กลิ่นอายทรงเสน่ห์น่าหลงใหลเสริมให้นางดูราวกับเทพธิดาและยากที่ผู้ใดจะลืมเลือน
น้ำเสียงหวานใสกังวานของฉุ่ยเยว่ฟังดูรื่นหูทำให้ผู้ฟังเสนาะหูอย่างยิ่ง
เมื่อฉุ่ยเยว่ก้าวเข้ามาในห้อง แน่นอนว่านางก็ได้พบกับฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยที่นั่งอยู่
นางลอบมองทั้งสองพลางพยักหน้าอยู่ในใจ
สตรีหมายเลขหนึ่งของหอนางโลมแห่งเมืองซิวเสียนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบุรุษทั้งสองตรงหน้าแผ่กลิ่นอายของความเป็นผู้ดีมีตระกูลจนผู้มองรู้สึกได้ตั้งแต่แวบแรก
แม้เพียงนั่งเฉย ๆ เช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครในสองคนก็ไม่อาจถูกมองข้ามได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะสตรีอันดับหนึ่งแห่งหอนางโลม ฉุ่ยเยว่ก็มีความรู้กว้างขวางและรู้ข้อมูลมากมายในดินแดน เพียงเห็นหนึ่งในบุรุษตรงหน้า นางก็คาดเดาตัวตนของฉีอวิ๋นเหล่ยได้ไม่ยาก
จะมีก็แต่ฉินอวี้โม่ บุรุษอีกคนผู้สวมหน้ากากบดบังใบหน้าจนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง นางไม่สามารถคาดเดาตัวตนของคนผู้นี้ได้เลย
“ฮ่าฮ่า แม่นางฉุ่ยเยว่ช่างเลอเลิศยิ่งนักที่สามารถแต่งโคลงคู่แบบนั้นได้ ถ้าตัวข้าไม่ได้อ่านศึกษาตำราทุกวันหยุดเป็นอาจิณและพอเข้าใจอยู่บ้าง เกรงว่าข้าคงไม่อาจตอบโคลงคู่ของแม่นางได้”
คุณหนูสี่ตระกูลฉินยิ้มและกล่าวด้วยลักษณะวาจาท่าทางของบุรุษผู้ชื่นชมอิสตรี
นางรู้สึกสนใจและอยากรู้เกี่ยวกับสตรีตรงหน้าอยู่ไม่น้อย
แม้เป็นหญิงคณิกาในหอนางโลม นางก็มีเสน่ห์ที่เกินต้านทาน ทั่วร่างของนางไม่มีส่วนใดที่หม่นหมองแม้แต่ส่วนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางฉุ่ยเยว่ผู้นี้ก็เต็มไปด้วยความลึกลับซึ่งทำให้ผู้มองใคร่ค้นหาคำตอบและต้องการเจาะลึกเข้าไปในความลับเหล่านั้น
“คุณชายชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ฝึกในช่วงเวลาว่างเท่านั้น น่าทึ่งเหลือเกินที่ท่านแต่งโคลงตอบได้อย่างสวยงาม”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มหวานพลางเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย
นางหยุดลงและมองบุรุษอันดับหกของทำเนียบรุ่นเยาว์ผู้เลื่องชื่อพร้อมกล่าว “ลือกันว่าฉีอวิ๋นเหล่ย นายน้อยแห่งขุมกำลังราชาสวรรค์อ่อนโยนและมีรอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้าอยู่เสมอ เขามีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่สุด ข้าเชื่อแล้วว่าสมดังคำร่ำลืออย่างแท้จริง”
“โอ้ แม่นางฉุ่ยเยว่เอ่ยชมกันเกินไปแล้ว”
ฉีอวิ๋นเหล่ยลุกขึ้นยืนทักทายและส่งรอยยิ้มอันอบอุ่น
“แม่นางฉุ่ยเยว่ นั่งก่อนเถอะ”
ทั้งสองผายมือไปด้านข้างเพื่อเชื้อเชิญให้สตรีตรงหน้านั่งลง
ฉุ่ยเยว่ตอบรับคำเชิญและนั่งลงด้วยทางท่าสง่างามโดยรอยยิ้มยังคงไม่คลายหายไป
“ฮิฮิ ท่านทั้งสองให้เกียรติมาถึงหอนางโลมแห่งนี้ ข้าเชื่อว่าท่านคงอยากรู้ข่าวสารบางอย่างใช่รึไม่เจ้าคะ ?”
ฉุ่ยเยว่เป็นสตรีผู้มีสมองเป็นเลิศอย่างแท้จริงและนางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง
นางยกยิ้มมุมปากและกล่าวกับแขกทั้งสอง
“แม่นางฉุ่ยเยว่ช่างเฉลียวฉลาดจริง ๆ พวกข้ามาที่นี่เพราะอยากสืบหาเบาะแสและข้อมูลบางอย่าง หากข้าจำไม่ผิด ว่ากันว่าที่ที่รู้ข้อมูลมากที่สุดในแต่ละดินแดนก็คือหอนางโลม”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมยิ้มกริ่ม
ไม่ว่าในยุคสมัยใด ทั้งยุคนี้และศตวรรษ 21 ที่ ‘เธอ’ จากมา สถานที่แห่งความรื่นรมย์อย่างหอนางโลมมักเป็นสถานที่ที่หาข่าวสำคัญและสืบเสาะข้อมูลพิเศษได้ง่ายที่สุด
แม้แต่ขุมกำลังเอกพิภพที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มหน่วยข่าวกรองอันดับหนึ่งในดินแดนอ้างว้างก็อาจมีข่าวสารไม่มากเท่าหอนางโลมเสียด้วยซ้ำ
“คุณชายก็พูดเกินไปเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรหอนางโลมของเราก็เทียบกับขุมกำลังเอกพิภพไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มด้วยความรู้สึกแปลกใหม่เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธมัน
หอนางโลมแห่งนี้มีข้อมูลข่าวสารบ้านเมืองมากมาย และบางเรื่องที่พวกเขารู้นั้นแม้แต่เอกพิภพก็อาจจะไม่มีข้อมูลด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม มีเพียงน้อยคนที่จะเอ่ยมันอย่างตรงไปตรงมาและมีเพียงไม่กี่คนที่รู้อย่างแท้จริง
“ขออนุญาตขอรับ”
เด็กหนุ่มรับใช้ของหอนางโลมเอ่ยขออนุญาตก่อนเดินเข้ามาในห้องพร้อมยกสำรับน้ำชาและของว่างเข้ามาวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าคนทั้งสามด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม
ฉุ่ยเยว่ผายมือส่งสัญญาณให้เด็กรับใช้กลับออกไปก่อนเหยียดกายลุกขึ้นและช่วยบุรุษทั้งสองปรุงชารสดีประจำหอแห่งนี้
“ฮิฮิ ชานางโลมนี้เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งประจำหอนางโลมของพวกเราเจ้าค่ะ คุณชายทั้งสองเชิญลิ้มรสได้เลย และท่านจะติดใจกับรสกรุ่นของชานี้”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มอย่างเชื้อเชิญและนั่งลงตามเดิม
ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยสบตากันอย่างไม่ลังเลหรือกังวลว่าหอนางโลมจะเติมส่วนผสมผิดแปลกอะไรลงในชาหรือไม่ จากนั้นก็ยกดื่มอย่างช้า ๆ เพื่อลิ้มรสชาหอมกรุ่น
ทันทีที่น้ำชาไหลลงสู่กระเพาะ รสชาติและความสดชื่นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างทำให้ทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด
“เป็นจริงอย่างที่ว่า มันเป็นชารสดีจริง ๆ รสชาติฝาดละมุนลิ้นช่างเข้ากลับกลิ่นหอมผ่อนคลายของมัน อีกทั้งยังมีรสกรุ่นในลำคออย่างไม่รู้จบ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มพลางกล่าวชม บุรุษอ่อนโยนชอบจิบน้ำชาในช่วงวันหยุดเป็นประจำและได้ลิ้มลองชารสดีมาแล้วทั่วทุกสารทิศ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ดื่มชานางโลมนี้
เมื่อฉุ่ยเยว่ได้ยินคำชมอย่างประทับใจของอีกฝ่าย มุมปากของนางก็ยกยิ้มอีกครั้ง
“หากท่านทั้งสองต้องการรู้สิ่งใดก็เชิญพูดมาตรง ๆ ได้เลยเจ้าค่ะ ข้าลั่นวาจาไปแล้วว่าจะปรนนิบัติท่านทั้งสองตลอดทั้งวันและข้าไม่ใช่คนผิดคำพูด ท่านอยากรู้อะไรก็เพียงแค่เอ่ยออกมาตรงๆ หากข้ามีข้อมูล ข้าจะตอบไปตามความจริงโดยที่ไม่ปิดบัง”
นอกจากปัญญาอันเป็นเลิศและไหวพริบดีเยี่ยม หญิงคณิกาอันดับหนึ่งผู้นี้ยังเป็นคนกล้าหาญไม่เอียงอาย ทั้งฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยรู้สึกถูกชะตากับนางในทันที
ฉินอวี้โม่ไม่ลังเลอีกขณะยิ้มให้กับวาจาของสตรีและกล่าวตามตรง “ข้าได้ยินข่าวเรื่องที่ผู้นำตระกูลเฟิงพบหลานสาวผู้พลัดพราก ไม่ทราบว่าแม่นางฉุ่ยเยว่พอจะให้ข้อมูลเรื่องนี้ได้รึไม่ ?”
แม้ว่าฉีอวิ๋นเหล่ยได้ส่งคนออกไปสืบเสาะข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ทว่าเขาก็ไม่ได้เบาะแสอะไรมาเลย ในเมื่อวันนี้พวกเขาเดินทางมาเยือนหอนางโลมประจำถิ่นซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องข่าวสาร ฉินอวี้โม่จึงคาดเดาว่าที่นี่จะต้องมีข้อมูลอยู่ไม่มากก็น้อย
ฉุ่ยเยว่ยิ้มและกล่าว “ฮ่าฮ่า บังเอิญจริง ๆ เรื่องหลานสาวคนนั้นของผู้นำตระกูลเฟิง หอนางโลมของเราเพิ่งได้ข่าวมาพอประมาณ”
หลังจากกล่าวจบ นางก็เริ่มเล่าข้อมูลที่หอนางโลมแห่งนี้ได้รู้มาให้กับอีกฝ่าย
“หลานสาวผู้พลัดพรากของผู้นำตระกูลเฟิงซึ่งถูกพบตัวมีอายุเพียงสิบสามถึงสิบสี่ปีเท่านั้น ว่ากันว่านางเป็นบุตรีที่เกิดจากสตรีสามัญชนธรรมดาตอนที่บุตรชายของเขาออกไปท่องโลกสั่งสมประสบการณ์การฝึกฝน เดิมทีเด็กและมารดาควรจะกลับสู่จวนตระกูลเฟิงตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนั้นและรับตำแหน่งหลานสาวของผู้นำตระกูล อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุเคราะห์ร้ายกับผู้เป็นบิดาซึ่งเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้นำ จากนั้นเด็กน้อยและมารดาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
“หลังจากเหตุการณ์นั้น พวกเขาก็ออกตามหาผู้สูญหายเป็นเวลานานทว่าไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย เวลาล่วงเลยมาหลายปี จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้มีคนในเมืองลั่วหยางพบเบาะแสของเด็กคนนั้นและพวกเขาก็รับตัวนางกลับจวนตระกูลทันที จากนั้นตระกูลเฟิงก็ประกาศอย่างเปิดเผยเพื่อให้คนทั้งดินแดนรู้จักผู้สืบทายาทคนนี้”
หลังฟังข้อมูลจากฉุ่ยเยว่ คุณหนูสี่ตระกูลฉินในอาภรณ์บุรุษลึกลับก็พยักหน้ารับฟัง ทว่านางก็มั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าทายาทตระกูลเฟิงคนนี้น่าจะใช่เสี่ยวเหยียนอย่างที่นางคิดไว้
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้นำตระกูลเฟิงและบิดาของเสี่ยวเหยียนคงจะรักและทะนุถนอมนางมาก ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนถึงงานเลี้ยงของตระกูลคงไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเฟิงมิได้เรียบง่ายและราบรื่นอย่างที่โลกภายนอกมองเห็น ถึงอย่างไรก็ต้องมีการวางแผนสมคบคิดและใช้เล่ห์เพทุบายมากมาย ฉินอวี้โม่กลัดกลุ้มกังวลใจว่าเสี่ยวเหยียนผู้ไร้เดียงสาจะถูกคนอื่นรังแก
แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้น นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต่อให้นางบุกไปที่จวนตระกูลเฟิงเสียตอนนี้ คุณหนูตัวคนเดียวอย่างนางก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยชื่อเสียงของนางที่เป็นที่กล่าวถึงทั่วทั้งดินแดน นางได้ท้าทายเฟิงอู๋และขุมพญายมอย่างไม่น่าให้อภัย เมื่อใดก็ตามที่ตัวตนแท้จริงของนางถูกเปิดเผย แม้แต่อดีตนักฆ่าสาวเองก็ต้องเผชิญกับปัญหาตามมาอีกมาก
ถึงแม้ฉุ่ยเยว่และฉีอวิ๋นเหล่ยรู้สึกถึงว่าฉินอวี้โม่กำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ทั้งสองก็ไม่อาจคาดเดาความคิดที่แท้จริงของนางได้
“ฮิฮิ รู้สึกว่าดรุณีน้อยจากตระกูลเฟิงคนนี้มีนามว่าเฟิงมู่เหยียนซึ่งตอนนี้ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีจากผู้นำตระกูลเฟิงและบิดาของนาง ไม่มีใครกล้ารังแกนางอย่างแน่นอน”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มอีกครั้งพลางกล่าวเสริม นางบอกข้อมูลทุกอย่างที่รู้ให้กับบุรุษสองคนตรงหน้าอย่างไม่บิดปังซ่อนเร้นใด ๆ
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยืนยันตัวตนของเสี่ยวเหยียนได้ อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดใคร่ครวญอย่างเป็นกังวลอีกต่อไป ในเมื่อได้รู้ว่าเด็กสาวอยู่ที่ไหน นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้ควรจะเป็นงานชุมนุมช่างหลอมที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า ส่วนเรื่องของเสี่ยวเหยียนคงต้องรอจนกว่าจะถึงงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงหลังงานชุมนุมช่างหลอมเพื่อจัดการสะสาง
“ขอบคุณแม่นางฉุ่ยเยว่มากที่บอกข้อมูลทั้งหมด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างซาบซึ้งและกล่าวกับสตรีตรงหน้า
“ฮิฮิ คุณชายสุภาพยิ่งนัก ในเมื่อท่านสามารถต่อโคลงคู่ของข้าได้ก็เท่ากับว่าชะตาฟ้าลิขิตให้เราได้พบกัน เราทุกคนในหอนางโลมล้วนมีหลักคติของตนเอง ไม่ว่าท่านอยากรู้สิ่งใด แน่นอนว่าข้าต้องให้ข้อมูลอย่างสัตย์จริง”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มตอบเช่นกัน นางรู้สึกถูกใจทัศนคติและอากัปกิริยาของ ‘บุรุษ’ ตรงหน้าอย่างยิ่ง
“แม่นางฉุ่ยเยว่จะไปที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงและงานชุมนุมวายุเมฆาหลังจากนั้นรึไม่ ?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยซึ่งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ยิ้มและเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้
ฉุ่ยเยว่มิได้ปิดบังอะไรขณะยิ้มพลางกล่าวตอบ “แน่นอนว่าข้าต้องไปที่นั่น ข้าไม่ยอมพลาดงานสำคัญแบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้าเพียงแค่ไปเข้าร่วมเพื่อความรื่นรมย์เท่านั้น หัวใจหลักของงานขึ้นอยู่กับจอมยุทธ์อย่างพวกท่าน”
ฉุ่ยเยว่ตระหนักถึงระดับพลังของตนเองดี มันยากที่นางจะได้ผลลัพธ์หรืออันดับดี ๆ ในงานใหญ่ที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างงานชุมนุมวายุเมฆา
ในขณะที่ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่และหลายคนในทำเนียบรุ่นเยาว์ล้วนเป็นจอมยุทธ์เลื่องชื่อในงานชุมนุมวายุเมฆา
“จะว่าไปแล้ว นายน้อยฉีน่าจะเคยได้ยินถึงฉินอวี้โม่ที่เหนือธรรมชาติยิ่งกว่าท่านเสียอีก”
จู่ ๆ ฉุ่ยเยว่ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาและกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด
ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักศีรษะโดยไม่เอ่ยปฏิเสธ
“ข้าคิดมาตลอดมาข้าเป็นสตรีทรงพลังในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ซึ่งมีพรสวรรค์พอสมควร แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีสตรีที่ทรงพลังมากกว่าข้าเสียอีก ฉินอวี้โม่คนนี้.. ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ พลังหรือแม้แต่รูปโฉมของนาง ทุกอย่างล้วนไม่เป็นรองข้า ในสายตาของคนมากมาย ข้าเทียบนางไม่ได้แม้แต่น้อย ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าแม่นางฉินอวี้โม่คนนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร”
วาจาของฉุ่ยเยว่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมเคารพที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน ในฐานะสตรีด้วยกัน ทั้งในด้านพรสวรรค์ความสามารถและรูปโฉมต้องตาชายทั้งแผ่นดิน สตรีนามว่า ‘ฉินอวี้โม่’ ทำให้สตรีอันดับหนึ่งของหอนางโลมชื่นชมและสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริง
นางอยากรู้เป็นที่สุดว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นเป็นอย่างไร ทว่าแม้แต่หอนางโลมที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งข่าวที่ดีที่สุดก็มีข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
เมื่อได้ยินวาจาของฉุ่นเยว่ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็อดยิ้มออกมากับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ คุณหนูสี่ตระกูลฉินเองก็ยกยิ้มมุมปากเช่นกันโดยไม่ได้พูดอะไร
ฉินอวี้โม่ไม่เคยรู้เลยว่าชื่อเสียงของตนแผ่ไปอย่างกว้างขวางแล้ว แม้แต่หญิงคณิกาอันดับหนึ่งยังอยากรู้เกี่ยวกับนาง หากฉุ่ยเยว่รู้ว่า ‘บุรุษ’ ตรงหน้าแท้จริงแล้วคือฉินอวี้โม่ที่นางกำลังพูดถึงอย่างชื่นชมก็คงต้องชะงักค้างจนพูดไม่ออกเป็นแน่
“ในงานชุมนุมวายุเมฆา ฉินอวี้โม่คนนี้จะต้องได้รับความสนใจจากทุกคนเป็นแน่ ข้าเชื่อว่านางคงไม่พลาดงานใหญ่แบบนั้น งานนั่นจะเป็นโอกาสดีให้ข้าได้ยลโฉมสตรีที่ผู้คนลือกันว่างดงามราวกับเทพเซียน”
น้ำเสียงของฉุ่ยเยว่แสดงความรู้สึกอย่างชัดเจนและร่องรอยแห่งความสงสัยก็ปรากฏบนใบหน้าอย่างไม่ปกปิด
.